วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

“เรืองไกร ”ฟันธง “ปู”ถูก ป.ป.ช.เชือดจำนำข้าว เมื่อ 30 มี.ค.57



“เรืองไกร ”ฟันธง “ปู”ถูก ป.ป.ช.เชือดจำนำข้าว
 
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ  ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่าจากการที่ได้ติดตามการทำงานและศึกษาแนวทางการใช้อำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.ในชุดปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ ป.ป.ช.ได้เร่งพิจารณากรณีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อย่างเร่งรีบ ลุกลี้ลุกลนจนเป็นที่ผิดสังเกตนั้นก็ไม่เหนือความคาดหมาย และมีการเปรียบเทียบกับการตรวจสอบกรณีการทุจริตเรื่องข้าวของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็สามารถที่จะคาดเดาผลการพิจารณาของ ป.ป.ช. ในวันที่ 31 มี.ค. ที่จะถึงนี้ได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องพึ่งหมอดู ซึ่งตนขอฟันธง ว่า นายกรัฐมนตรี จะถูกชี้มูลความผิดแบบผิด ๆ จาก ป.ป.ช. ชุดนี้ทั้งที่มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวมาไม่ถึง 2 เดือนอย่างแน่นอน
นายเรืองไกร กล่าวต่อไปว่า เนื่องจากพฤติกรรมของ ป.ป.ช.ที่เกิดขึ้นนั้นสอดรับกับเป้าหมายสำคัญ ซึ่งเชื่อว่าถูกสั่งการโดยมีมือที่มองไม่เห็นผ่านองค์กรอิสระโดยมีขั้นตอนการปฏิบัติ  3 ขั้นตอน
1.สร้างเรื่องให้ร้อง
2.วางแผนให้ฆ่าและ 
3.สั่งการฆ่า ด้วยวิธีการลงมือฆ่ารัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ไม่ชอบขี้หน้านั้นใช้วิธีคลาสสิกแบบไทย ๆ คือ การลงดาบด้วยการชี้มูลความผิดโดย ป.ป.ช. แล้วส่งต่อให้ ส.ว.โหวตถอดถอนต่อไป ทั้ง ๆ ที่กระบวนการตรวจสอบดังกล่าวสร้างความเคลือบแคลงว่า ดำเนินการอย่างถูกต้องหรือไม่ และหากยังพยายามเดินหน้าที่จะชี้มูลความผิดแบบมีธงและขาดความโปร่งใส ตนเชื่อว่าคำวินิจฉัยดังกล่าว จะถาโถมโหมกลับไปยัง ป.ป.ช. ทั้ง 9 คนยิ่งกว่าคลื่นสึนามิในอีกไม่นานอย่างแน่นอน ถ้ายังเดินหน้าตามธงโดยไม่ยึดหลักความถูกต้องเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ การกระทำของ ป.ป.ช. จะเสี่ยงต่อการโดน บูมเมอแรงย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง และอาจเข้าตำราศรีปราชญ์ที่ว่า " คนบ่ผิดท่านประหารดาบนั้นคืนสนอง "
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า ยกตัวอย่างเช่น 1.คำร้องของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่นำรายชื่อ ส.ส. ที่ลาออกไปแล้ว ซึ่งถือว่าไม่มีสิทธิ์ในการยื่นคำร้อง 6คนมาลงชื่อในคำร้องนั้น  ย่อมทำให้คำร้องดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2.คำร้องของนายอภิสิทธิ์ผิดกฎหมายป.ป.ช. มาตรา 61 ก็ยังดันทุรังจะพิจารณาให้ได้  3.หลักฐานกล่าวหานายกฯมีเพียง 49 แผ่น และไม่สมบูรณ์ มีข้อพิรุธมาก ก็ยังฝืนทำพอมีการทักท้วงก็ช่วยกันเอาสีข้างเข้าไถ  
4.เอกสารตัวเลขปิดบัญชีของน.ส. สุภา ปิยะจิตติรองปลัดกระทรวงการคลังที่พยายามนำเอามาเป็นหลักฐานเด็ดในการฆ่าปิดปาก แต่หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่า รายงานทางราชการที่ออกมาทั้ง 2 ครั้งมีตัวเลขที่เป็นสาระสำคัญไม่ตรงกัน แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือเอกสารรายงานดังกล่าวปรากฏเป็นการทั่วไปแต่ ป.ป.ช..ก็ยังพยายามใช้พยานหลักฐานดังกล่าวที่มีข้อเท็จจริงไม่ตรงกันมาใช้ประกอบการพิจารณาจึงอาจถูกตั้งข้อสังเกตได้ว่าใช้เอกสารหลักฐานที่เป็นเท็จ
5. เกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจนระหว่างคดีของนายกยิ่งลักษณ์ฯกับนายอภิสิทธิ์เรื่องความมีอคติและสองมาตรฐาน 
6.มีการตั้งข้อสังเกตว่า ป.ป.ช. เพิ่งจะส่งเอกสารให้กับทนายความผู้รับมอบอำนาจของนายกฯ ซึ่งเป็นทนายของผู้ถูกกล่าวหาเพิ่มอีก 280 หน้า  ก่อนหน้านี้เอกสารเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหนทำไมจึงพึ่งนำมาส่งให้กับผู้ถูกกล่าวหา การกระทำดังกล่าวสอดคล้องกับความเชื่อที่ว่าป.ป.ช. มีธงให้ฟันมาตั้งแต่แรกใช่หรือไม่ 
แม้ว่าเอกสารสำนวนยังไม่สมบูรณ์ ป.ป.ช. ก็จะรีบชี้มูลแล้วส่งให้วุฒิสภาถอดถอนโดยเร็วต่อไป ถือว่า ป.ป.ช.ทั้ง 9คน เสี่ยงตายทำเรื่องผิด ๆ อย่างนี้แทนใครหรือไม่อย่างไรตนอยากให้จำกรณีของพล.อ. สนธิ บุญยรัตนกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ  ที่เป็นแกนนำการปฏิวัติรัฐประหารในปี 2549 ให้ดี ว่า ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร อยากให้ท่องคำว่าเสร็จนาฆ่าโคถึงเสร็จศึกฆ่าขุนพลเพราะผู้อยู่เบื้องหลังทำมาโดยตลอด
นายเรืองไกร กล่าวว่า   นอกจากนี้ต้นทางของเรื่องต่าง ๆ ก็ไม่โปร่งใส่ ไม่สามารถตอบคำถามสังคมได้ในหลาย ๆ เรื่อง ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เช่น 1.ทำไมกรรมการป.ป.ช.ปัจจุบัน 6 คนถึงไม่ได้เข้ารับการโปรดเกล้าฯในการรับตำแหน่งสำคัญของประเทศทั้งๆที่เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีทั้งต่อตนเองและครอบครัว  2.มีหลักฐานสำคัญที่ตรวจสอบแล้วพบว่า นายวิชา  มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. เคยโดนลงโทษ ให้งดบำเหน็จความชอบติดตัว ดังนั้นเรื่องดังกล่าวจึงเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่เป็นความผิดพลาดของคณะปฏิวัติรัฐประหารปี 49 ใช่หรือไม่ ที่บังอาจคัดเลือกคนที่มีตำหนิและด่างพร้อยมาก่อนอย่างนายวิชาให้เข้ามารับตำแหน่ง ป.ป.ช. จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นายวิชาไม่สามารถได้รับโปรดเกล้าฯใช่หรือไม่
นอกจากนั้นยังมีกรณีของ นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. ที่ปรากฏหลักฐานชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าขาดคุณสมบัติในการเป็นกรรมการ ป.ป.ช. มาตั้งแต่แรก แต่ก็ยังกล้าที่จะปฏิบัติหน้าที่อยู่ ทั้งๆที่ก็รู้ว่าทุกๆคดีที่มีนายภักดีร่วมสังฆกรรมนั้นอาจไม่ชอบและอาจถูกร้องให้เป็นโมฆะ  ทั้งหมดเป็นเรื่องที่กรรมการ ป.ป.ช.ไม่กล้าตอบคำถามสังคมดังนั้น เมื่อกล้าลงดาบอย่างเลือดเย็น คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทุกคนก็ย่อมต้องพร้อมที่จะรอดาบนั้นคืนสนองเพราะพี่น้องประชาชนคนไทยที่เป็นเจ้าของอธิปไตยย่อมไม่ยอมให้เกิด
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น