|
ขอบคุณภาพจาก "แนวหน้า" |
ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร.กับพวกรวม 5 คน คดีอุ้มฆ่า "อัลรูไวลี่" นักธุรกิจชาวซาอุฯ เหตุหลักฐานไม่เพียงพอ
วันที่ 31 มี.ค.57 ศาลอาญามีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจ พ.ต.อ.สรรักษ์ หรือสมชาย จูสนิท ผกก. สภ.สบเมย จว.แม่ฮ่องสอน
พ.ต.อ.ประภาส ปิยะมงคล ผกก.สภ.น้ำขุ่น จว.อุบลราชธานี พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี และจ.ส.ต.ประสงค์ ทอรั้ง จำเลยที่ 1- 5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อปกปิดการกระทำของตนเองและร่วมกันห่วงเหนี่ยวกันกั้นผู้อื่นเป็นเหตุ ให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญาม.289 และ 310 กรณีเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2533 นายมูฮำหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจส่งแรงงาน ไปประเทศซาอุฯได้หายตัวไป
โดยศาลพิจารณา พยานหลักฐานที่พนักงานอัยการ ฝ่ายคดีพิเศษ นำสืบแล้วเห็นว่ายังไม่เพียงพอ
โดยโจทก์ไม่ได้นำ พ.ต.ท.สุวิชัย แก้วผลึก ที่อ้างว่าเป็นประจักษ์พยานได้รับแหวน มาจากจำเลยที่ 4 ในคดีนี้ซึ่งอ้างว่าเป็นแหวนที่ตกอยู่ในถังน้ำมันที่ได้มีการเผาทำลายศพนาย อัลลูไวลี่ ที่อ.ศรีราช จ.ชลบุรี โดยโจทก์มีเพียงบันทึกคำให้การของ พ.ต.ท.สุวิชัย มานำสืบเท่านั้น ถือว่าเป็นเพียงพยานบอกเล่าขณะที่พยานหลักฐานดังกล่าวมีข้อพิรุธ เนื่องจากหากมีการได้รับแหวน ซึ่งอ้างว่าเป็นของนายอัลรูไวลี่จริงก็ควรต้องนำส่งผู้บังคับบัญชา แต่กลับมีการนำเรื่องไปบอกกล่าว กับ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งในทางนำสืบญาตินายอัลรูไวลี่ก็ไม่ได้บอกความยืนยันเกี่ยวกับแหวนดัง กล่าวเป็นของนายอัลรูไวลี่หรือไม่
อีกทั้งที่มีการอ้างว่าได้มีการนำแหวนดังกล่าวไปประกอบพิธีทางศาสนาอิสลาม
และมีการบันทึกภาพไว้ก็ไม่ปรากฏว่ามีญาติของนายไอรูไวรี่ร่วมพิธีด้วย จึงเสมือนว่าได้มีการทำพยานหลักฐานขึ้นมาใหม่เพื่อจะให้เห็นว่ามีแหวนเป็น พยานหลักฐานสำคัญ ซึ่งอ้างว่าเป็นของนายไอรูไวลี่ ดังนั้นเมื่อพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่าต้องรับฟังด้วยความ ระมัดระวัง อีกทั้งความผิดที่ฟ้องมีความผิดถึงประหารชีวิต พยานหลักฐานโจกย์จะต้องรับฟังได้อย่างมั่นคงและไร้ตำหนิ จึงพิพากษา ยกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังฟังคำพิพากษาญาตินายอัลรูไวลี่ และเจ้าหน้าที่สถานทูตที่มาร่วมฟังคำพิพากษา ยังไม่ให้สัมภาษณ์โดยเตรียมแถลงข่าว โรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล แยกราชประสงค์ เวลา 13.00 น.
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น