ยิ่งลักษณ์ 'พ้นสภาพ' รักษาการ
เมื่อประเทศเข้าสู่ "สุญญากาศ" ทางอำนาจบริหาร สิ่งหนึ่งที่ปรากฏเด่นชัดคือ "ภาคธุรกิจ" ขาดความมั่นใจ เมื่อขาดความมั่นใจ สิ่งที่จะตามมาติดๆ คือ ชะลอการลงทุน ที่ลงทุนอยู่แล้ว จะย้ายฐานการลงทุนไปที่อื่น!
ความจริง สัญญาณเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง" รอบ ๒ ส่งสัญญาณมาแล้วตั้งแต่ไตรมาส ๓ ของปี ๒๕๕๖ แต่ด้วยวงรอบระบบที่เข้มแข็งมาก่อน จึงยังเป็นแรงเหวี่ยงให้ระบบเศรษฐกิจประเทศขับเคลื่อนมาได้เรื่อยๆ
ถ้าภายในไตรมาสแรก ประเทศยังไม่มีรัฐบาลบริหาร และไม่ประกาศเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ก็หวังได้ร้อยละ ๙๙,๙๙......!จบไตรมาส ๒ คือประมาณต้นกรกฎา แรงเหวี่ยงเศรษฐกิจที่เริ่มหมุนช้าลงทุกขณะเวลานี้ จะ "หยุดนิ่ง"
ประเทศไทยเข้าโซน "ต้มยำกุ้ง" อีกครั้งหนึ่ง!เหมือนครั้งแรก ผมจำได้ว่า สัญญาณเศรษฐกิจประเทศพังปรากฏแต่ปลายรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา ในปี ๒๕๓๘ แต่ไม่มีใครสนใจมากนัก
จนถึงรัฐบาลชวลิต ยงใจยุทธ ในปี ๒๕๓๙ หมดทั้งแรงส่ง-แรงเหวี่ยง อย่างที่พูดกันตอนนั้นว่า "เลือดไหลไม่หยุด"
บวกเข้ากับ "กลุ่มทุน-กลุ่มการเมือง" ที่บางตัวยังลอยหน้าอยู่ในระบอบทักษิณวันนี้ ถล่มค่าเงินบาทซ้ำเติม
เศรษฐกิจไทยที่สิ้นสภาพ ก็...พังพาบ ล้มครืนทันที!๒ กรกฎา ๔๐ ไทยสูญเสียเอกราชทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจให้จักรวรรดินิยมทุนสหรัฐ ต้องลดค่าเงินบาท ถูกบังคับให้ออกกฎหมาย "ขายประเทศ" แลกเงินกู้ IMF อันเป็นองค์กรเครือข่าย CFR
พูดไปแล้วก็เหมือน "วัฏจักรอุบาทว์" รอบ ๑๐ ปี เราผ่านวิกฤติต้มยำกุ้ง ด้วยค่อยๆ ฟื้นจากปี ๒๕๔๐ มาแล้วจวบ ๑๐ ปี
จนปลายปี ๒๕๕๔ เมื่อเข้าสู่ยุค "ผู้ปกครองหญิง" ก็เกิดเหตุ การณ์ดังคำทำนายล่วงหน้าที่ว่า.....
"ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียว....ฯลฯ"ถ้าไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๗ นี้ ยังไม่จัดการปัญหาคาราคาซังว่าด้วยระบอบทักษิณและร่างทรงยิ่งลักษณ์ ที่เหมือน "ขี้คาตูด" ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
มิถุนา-กรกฎา สัญญาณล่มสลายทางเศรษฐกิจรอบใหม่ที่เรายังเป็นทองไม่รู้ร้อนกันอยู่ขณะนี้
จะถึงจุด "หลอมละลาย"!ตระกูลทักษิณไม่ตาย แต่ระบบประเทศ ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะชาวนา สินค้าเกษตร สินค้าส่งออก ผู้ค้าแรงงาน
จะเป็น "ศพเศรษฐกิจ" กองสูงท่วมประเทศ!กองทัพบก โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ท่านทำรัฐ ประหารรัฐบาลรักษาการ โดยไม่ฉีกรัฐธรรมนูญ ซ้ำเจ้าตัวคือรัฐบาลก็ไม่รู้สึก สำเร็จมาแล้วขั้นหนึ่งเวลานี้
ชนชาวประชาธิปไตยทั้งไทยและเทศ ชื่นชมกันมาก และทึ่งในยุทธ วิธีกองทัพที่ อุ้มไก่ออกจากเล้าไปเชือด โดยไก่ไม่ตื่นร้องกระต๊าก
ศรส.ตอนนี้ เหมือนซ่องโสเภณีร้าง...!อำนาจสั่งการทั้งหลาย ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกพลเอกประยุทธ์ใช้เคล็ดลับวิชา "เคลื่อนกระดูก-ย้ายเส้นเอ็น" ในฐานะรอง ผอ.รมน. ไปบริหาร-จัดการเอง เกือบทั้งหมด
โดยประชาธิปไตยไม่ช้ำ รัฐธรรมนูญไม่ต้องฉีก...เห็นๆ!ไอ้พวก "เมาเยี่ยวแม้ว" แยกประเทศด้วยโง่เง่า ไอ้พวกกร่าง..ซ่า..เพราะว่าตำรวจคุ้มหัว สะแอ๋งจะจับนายทหาร กลายเป็นแมวถูกกองทัพเอาหนังสติ๊กรัดไข่ ไปไหนไม่ถูก
บ้านเมือง "คล้าย" คืนสถานการณ์สงบ ยิ่ง กปปส.สลายเวที นำมวลมหาประชาชน "พักร้อน" ที่สวนลุมพินี คืนพื้นที่ถนนทั้งหมดให้ประชาชน
ทุกอย่างดูเหมือนสดใส หุ้น...ดัชนีความสบายใจนักลงทุน "สวนเศรษฐกิจ" ขึ้นไปตั้ง ๒๐ กว่าจุด ก่อนรูดเก็บกำไรระยะสั้น
ต้องบอกว่า...นี่แค่พลเอกประยุทธ์กระแอม-กระไอ สถานการณ์บ้านเมืองยังพลิกกลับไปทางสดใสขนาดนี้
ถ้าพลเอกประยุทธ์เบิ๊ดกะโหลก ยังไม่ต้องถึงเอกเซอร์ไซส์ ผมว่าสัญ ญาณเศรษฐกิจซบปลายไตรมาส ๒ อาจไม่ถึงทรุดในไตรมาส ๓ ก็เป็นได้
ยิ่งจับเข่ายิ่งลักษณ์ บอกให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน...!แค่นั้น...ด้วยศักยภาพ ททท. "การท่องเที่ยวไทย" จะช่วยปั๊มเงินเข้าประเทศทดแทนค้าขายฝืดเคืองได้ทันตาเห็นในปลายปี
ทดแทนไม่ได้อย่างเดียว คือ ๑.๓ แสนล้าน ที่ยิ่งลักษณ์ชักดาบค่ารับจำนำข้าวจากชาวนาไป!
การท่องเที่ยวถือเป็น "รายได้หลัก" ที่ไม่ต้องลงทุนรับจำนำ แต่ที่รัฐบาล นังโง่ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้นักท่องเที่ยวหดหายไปกว่าครึ่ง-กว่าค่อน
นักท่องเที่ยวไม่กลัวการชุมนุม อยากมาดู-มาร่วมด้วยซ้ำ แต่ด้วยคำว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน "ค่าประกัน" ในระบบท่องเที่ยว มันสูงจนผู้ประกอบการและคนเที่ยว
เซ็ง...ทั้งปู-ทั้งเป็ด-ทั้งแม้ว!ที่ประกาศฉุกเฉินก็ในความหมาย "ภัยจากการชุมนุม" แต่ข้อเท็จจริงในบ้านเรา ภัยอันมาจากความรุนแรงผู้ชุมนุมไม่มี ไม่ปรากฏ เพราะมวลมหาประชาชนชุมนุมสันติ-อหิงสา
ที่มี ที่ปรากฏความรุนแรง มาจาก "ฝ่ายรัฐบาล" ทั้งในและนอกกฎหมาย "ทำต่อผู้ชุมนุมเอง"!
และนี่ มวลมหาประชาชนเขารวมตัวเป็นที่-เป็นทางแล้ว ไม่มีเหตุ ผล ไม่มีเงื่อนไขที่จะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้
ถ้าบอกว่ายังจำเป็น และอาจมีความรุนแรง นั่นก็บอกได้สถานเดียวว่า เป็นความรุนแรงมาจาก นปช.เพื่อไทย อันเป็นฝ่ายรัฐบาลเอง
สมคบตำรวจบางหมู่-บางคณะ และคนนอกชาติ ปาระเบิด ยิงเอ็ม ๗๙ หรือยกคนบุกมาทำร้ายผู้ชุมนุม
นี่..เมื่อวาน (๓ มี.ค.) ศาลอาญานัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ ๒๖ พ.ค. ที่ทั้งยิ่งลักษณ์-เฉลิม-อดุลย์-ธาริต และนายตำรวจอีกหลายนาย ตกเป็นจำ เลย โทษฐานยกกำลังไปสลายชุมนุมที่ผ่านฟ้าฯ เมื่อ ๒๔ ก.พ. จนมีคนบาดเจ็บ ล้มตายหลายคน!
ในเมื่อกองทัพเข้าคุมสถานการณ์มีผลทางบวกเช่นนี้ ก็ลดระดับจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เหลือแค่ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงก็พอ
หรือไม่พอ....!?เพราะนับจากวันนี้ ๔ มี.ค. รัฐบาลและนายกฯ รักษาการ "หมดสภาพ" โดยสิ้นเชิงแล้ว เนื่องจากไม่สามารถเปิดประชุมรัฐสภานัดแรกได้ หลังเลือกตั้งทั่วไปครบ ๓๐ วัน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒๗
แต่ "ผีไม่ยอมทิ้งโลง" ดื้อจะอยู่ตายคาสนามรบโดยไม่มีกำหนด ใครมาไล่ จะใช้เสื้อแดงที่ลั่นกลองรบตูมตามยกมาตีรันฟันแทง
คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ ด้วยความหมายอย่างนั้นหรือเปล่า เมื่อวาน ขนาดทหารตั้งหน่วยรักษาการตำตา ยังปาระเบิดตั้ง ๒ ลูกเข้าไปที่ศาลอาญา รัชดาฯ...เห็นมั้ย!
ผมว่าจะปล่อยปัญหาอำนาจบริหาร "คาบลูก-คาบดอก" ไว้อย่างนี้ไม่ได้ เมื่อการเข้าสู่อำนาจบริหาร จากขั้นตอนที่ ๑ คือเปิดรัฐสภาไม่ได้ภายใน ๓๐ วัน
มันก็จะเข้าสู่ขั้นตอนที่ ๒ ที่ ๓ ไปจบกระบวนการไม่ได้!ที่อ้างมาตรา ๙๓ วรรค ๖ มีเวลารักษาการ ๑๘๐ วัน คือ ๖ เดือน ในระหว่างจัดการเลือกตั้งให้ได้ ส.ส.ครบจำนวนนั้น ไม่สามารถนำมาบังคับใช้กรณี "เปิดรัฐสภานัดแรกไม่ได้"
เพราะมาตรา ๙๓ วรรค ๖ ระบุชัด ใช้ในกรณีเลือกตั้งทั่วไปแล้วได้ไม่ครบตามจำนวน ที่นี้คือ ๕๐๐ คน แต่ที่ได้แล้ว มีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของจำนวนเต็ม คือ ๕๐๐ ให้ถือว่าสมาชิกจำนวนร้อยละ ๙๕ นั้น ประกอบเป็น "สภาผู้แทนราษฎร"
ถ้าแบบนี้ ให้ใช้เวลาภายใน ๑๘๐ วัน ไปเลือกตั้งให้ได้ครบ ๕๐๐!แต่ที่เป็นขณะนี้ ภายใน ๓๐ วันหลังเลือกตั้ง ยังไม่มี ส.ส.ร้อยละ ๙๕ ประกอบเป็นสภาผู้แทนราษฎรเลยซักคน
ฉะนั้น จะโมเม ตีขลุม อ้างเงื่อนไข ๑๘๐ วัน ตื๊ออยู่เป็น "รัฐบาลเป็นนายกฯ รักษาการ" ไม่ได้!
นายไพศาล พืชมงคล "อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติ" ให้ความเห็นตรงนี้ไว้น่าสนใจว่า...
"ประธานวุฒิสภาจะต้องนำความกราบบังคมทูลฯ พระมหากษัตริย์ว่า บัดนี้การเลือกตั้งทั่วไปล่วงพ้นไปแล้ว แต่ไม่สามารถได้มาซึ่งสภาผู้แทนราษฎร ไม่สามารถได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
กรณีจึงต้องนำความในมาตรา ๗ แห่งรัฐธรรมนูญมาใช้บังคับ ดังนั้น ประธานวุฒิสภา จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาเพื่อทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี โดยประธานวุฒิสภา เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
และในกรณีนี้ อย่าไปตีขลุมว่า เป็นอำนาจของประธานวุฒิสภาที่จะกำหนดตัวนายกรัฐมนตรีได้ตามอำเภอใจ เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่จะทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
ส่วนประธานวุฒิสภา มีหน้าที่เพียงเป็นผู้รับสนองพระบรมราช โองการในฐานะของประธานรัฐสภาเท่านั้น"
ยิ่งลักษณ์...กลับบ้าน เก็บของ เตรียมบิน (หนี)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น