เมื่อถามว่าหนักใจหรือไม่ที่ถูกมองว่าทหารเลือกปฏิบัติ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อตนดำรงตำแหน่งอยู่ตรงนี้ ก็ต้องทำใจให้ได้ และอดทน รวมถึงยึดมั่นในหลักการ คือ กระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ว่าคนนั้นมาตัดสินอย่างนี้ แต่พอคนนี้ไปแล้วจะเปลี่ยนคำตัดสิน แต่ต้องนำหลักฐานพยานมาสู้กันและยอมรับในกติกาบ้าง เชื่อว่าบ้านเมืองจะสงบ ขณะนี้มีผลกระทบกับทุกฝ่าย แต่ไม่อยากให้มีผลกระทบกับทั้งรัฐบาลและกปปส. ถ้าใครผิดตรงไหนต้องไปว่าตรงนั้น ตนไม่ได้เข้าข้างเขา และไม่ได้เข้าข้างใครทั้งสิ้นที่ผิดกฎหมาย
ส่วนกรณีกลุ่มคนเสื้อแดง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้คุยกับนายกฯ มาตลอด ท่านบอกว่าจะพยายามห้ามปราม ตนก็พยายามรายงานขึ้นไปตลอด ส่วนที่มีรัฐมนตรีบางคนออกมาเคลื่อนไหวนั้น ต้องไปถามเขา ตนพูดคุยกับนายกฯ ไปแล้ว ทั้งนี้ จากการหารือกับนายกฯ ท่านสอบถามถึงสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร ทหารทำหน้าที่อะไร ตนได้อธิบายให้ท่านฟังและนำเรียนให้ทราบถึงปัญหาความวุ่นวาย โดยนายกฯ รับว่าจะนำเรื่องไปดำเนินการ แต่ท่านขอร้องให้ทหารทำหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม ซึ่งตนยืนยันว่าทำอยู่แล้ว และอธิบายให้ท่านเข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็น ท่านก็เข้าใจ
เมื่อถามถึงความสัมพันธ์กับรัฐบาลและนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนทั้งประเทศ ไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ตนเป็นทหารของประชาชน ไม่ได้รังเกียจรังงอนใครสักคน ไม่ว่าสีไหนจะด่าตนยังไง ตนก็ไม่เกลียดเขา เพราะเกลียดไม่ได้ เขาเป็นคนไทย วันนี้สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นต้องแก้ให้ได้ เราฆ่าฟันกันไม่ได้ การใช้ความรุนแรงไม่เกิดประโยชน์ เพราะคนเจ็บตายก็คนไทยทั้งนั้น ถามว่าถ้าคนเจ็บตายเป็นพี่น้องตัวเองจะยอมได้หรือไม่ ทุกคนต้องเคาพกติกา จะใช้ความรุนแรงกดดันกันไม่ได้
สื่อถามถึงประเด็นที่เกี่ยวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็พูดกันบ้างเล็กน้อย ทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่ตน แต่อยู่ที่คนพูดคุยกัน ตนไม่อยากเข้าไปอยู่ในส่วนตรงนี้เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะคุยกันอย่างไรไม่ใช่เรื่องของตน หน้าที่ตนคือสร้างสภาวะแวดล้อมให้ปลอดภัย เรื่องอื่นเป็นเรื่องของการเมือง เรื่องผิดกฎหมายเป็นเป็นเรื่องของศาล กระบวนการยุติธรรม ส่วนทหารไปช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยของประชาชน ขณะที่ตำรวจไปติดตามจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามเรื่องความวุ่นวายในสังคมจะจบอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ทุกคนกลับบ้านหมด ไปกินข้าวบ้าน และให้กระบวนการทำงานไป ต้องกำหนดบทบาทแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน สังคมวันนี้จะหยุดได้โดยพวกเราช่วยกันให้ทุกคนเคารพกติกา และเชื่อมั่นให้กระบวนการยุติธรรม ถ้าใช้อาวุธต่อสู้ไม่มีใครชนะ ทหารก็ปล่อยไม่ได้ที่จะให้ทุกคนมารบกัน
เราต้องเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม หากเราไม่เชื่อมั่น ประเทศจะไปไม่ได้ ทุกประเทศต้องใช้กระบวนการยุติธรรม ส่วนจะเป็นธรรมหรือไม่ต้องติดตามดู คิดว่าการตัดสินอะไรก็แล้วแต่ ท้ายสุดจะอยู่ที่กระบวนการตรวจสอบ พยานหลักฐาน และสิ่งที่พิสูจน์ทราบได้ชัดเจน และแก้ต่างได้หรือไม่ แต่จะถูกหรือผิด ไม่ได้อยู่ที่เราเป็นคนตรวจสอบ ผมไม่ก้าวล่วงอำนาจศาล เป็นเรื่องที่ประชาชนทุกคนพูดได้ว่าใครถูกหรือผิด แต่พูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ และสุดท้ายต้องเข้าไปสู่กระบวนการยุติธรรม ตัดสินด้วยการไม่ถูกบังคับ แต่ถ้าคิดว่าตัดสินไม่ดีก็อุทธรณ์ ต่อสู้ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามถึงการปรับกำลังทหารในการดูแลสถานการณ์ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะมีการปรับกำลังทหารให้เหมาะสม และกำหนดบทบาทให้ชัดเจน เพราะถูกกล่าวหาว่าไปดูแลใครเป็นพิเศษ ยืนยันว่าเราไม่ได้ไปดูแลให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ที่ต้องนำกำลังทหารไปดูแล เพราะพื้นที่ตรงนั้นเป็นที่หมายในการใช้อาวุธสงคราม และการใช้ความรุนแรงทั้งในและนอกพื้นที่ หากเราลดจุดหนึ่งจุดใดลงไปจะทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ตนไม่โทษฝ่ายใด เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้ อีกฝ่ายก็ต้องป้องกันเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนการดูแลความปลอดภัยสถานที่ราชการนั้น เราวางกำลังอยู่ตามแผนของศรส. ซึ่งเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องดูแลสถานที่ราชการให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ส่วนกรณีนายกรัฐมนตรีต้องการให้ปรับบังเกอร์ทหาร เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า พยายามปรับอยู่ อาจจะปรับติดดอกไม้ เอาผ้าม่านสีชมพูมาติดมั้ง แต่การดำเนินการเป็นไปตามโซนนิ่งเพื่อควบคุมดูแลความปลอดภัย ส่วนที่มีการใช้อาวุธสงคราม เราก็ป้องกันอยู่ และที่สร้างบังเกอร์เพราะต้องใช้ป้องกัน เนื่องจากทหารไม่ได้ใช้อาวุธ แต่อาจจะทำให้บังเกอร์ดูนุ่มนวลลงหน่อย แต่ทหารก็คือทหาร จะให้อ่อนแอ พับเพียบเรียบร้อยเป็นลิเกหรืออย่างไร
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น