|
|
ผ่าประเด็นร้อน
ต้องเรียกว่าเคลื่อนไหวมาล่วงหน้าอย่างน้อยสองสามวันแล้วสำหรับ “ฝ่ายทักษิณ ชินวัตร” ที่สั่งการผ่านรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในนามของ ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) นำโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในการระดมกำลังตำรวจจากทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 25,000 นายเพื่อสลายการชุมนุม และยึดพื้นที่สำคัญกลับคืนมา ไม่ว่าจะเป็นทำเนียบรัฐบาล ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และถนนราชดำเนินบริเวณแยกผ่านฟ้าลีลาศ เป็นต้น ที่ผ่านมาก็มีการประลองกังหยั่งท่าทีอย่างต่อเนื่อง ทำท่าเหมือนจะบุกเข้ามา แต่แล้วเมื่อเจอกับการต่อต้านก็ถอยร่นกลับไป
อย่างไรก็ตาม ช่วงเช้ามืดวันที่ 18 กุมภาพันธ์ กำลังตำรวจพร้อม “อาวุธครบมือ”แทบทุกชนิดที่ระดมกันมาเต็มพิกัด เพราะมีทั้งตั้งแต่พื้นๆ เช่น โล่ กระบอง แก๊สน้ำตา อาวุธปืนเอ็ม 16 ซึ่งมาในชุดของ “อรินทราช” คลุมหน้าคลุมตาเป็น “ไอ้โม่ง” ดูขึงขังน่ากลัว ทำท่าราวกับเข้าชิงตัวประกัน หรือบุกเข้ามา “จู่โจมผู้ก่อการร้าย” หากมองกันแบบไม่คิดอะไรก็ดูเท่ดี เหมือนกับในหนังสงครามไม่มีผิด
แต่ถึงอย่างไรแม้ว่ากำลังตำรวจสามารถยึดคืนพื้นที่ในกระทรวงพลังงานได้แล้วก็ตาม เนื่องจากที่นั่นมีมวลชนอยู่น้อยมาก และแทบตัดขาดจากโลกภายนอก ส่วนในพื้นที่อื่นยังสามารถยันเอาไว้ได้ โดยตำรวจถอยร่นไปอยู่ในที่ตั้ง พื้นที่สำคัญอื่นๆ ยังยึดคืนไม่ได้ ขณะเดียวกันเป็นที่น่าสังเกตว่าคราวนี้ก็มี “มือลึกลับ” ออกมาช่วยมีการยิงโต้ตอบตำรวจจนมีการเสียชีวิตหนึ่งรายและบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ขณะที่ฝ่ายผู้ชุมนุมก็มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตหนึ่งรายและบาดเจ็บเช่นเดียวกัน
นั่นว่ากันไปตามสถานการณ์จริง!!
แต่สิ่งที่ต้องวิเคราะห์กันก็คือ ทำไม “ฝ่ายทักษิณ” ถึงได้เกิดคึกขึ้นมาอยากสลายการชุมนุมเอาในช่วงนี้อีกครั้งหลังจากมีการชุมนุมยืดเยื้อนานเข้าเดือนที่ 4 แล้ว
เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบรอบด้านก็ได้เห็นความเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างพอดี นั่นคือเริ่มตั้งแต่ความเคลื่อนไหวของ ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวปรากฏตัวพร้อมกันที่พม่า พร้อมกับข่าวการก่นด่าสั่งการ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ว่าไม่มีน้ำยาจัดการกับผู้ชุมนุม จากนั้นจึงเป็นที่มาของคำประกาศของ เฉลิม ว่าจะยึดคืนพื้นที่และให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าทำงานในทำเนียบรัฐบาล การระดมกำลังตำรวจและควมมพยายามเข้ายึดพื้นที่จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเข้มข้นดุเดือดรุนแรงตั้งแต่เช้าวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เป้าหมายก็เพื่อให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ซึ่งถือว่ามีควมมสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะต่อ “ชะตากรรม” ของ ฝ่ายทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นสถานะของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของตัวเอง รวมไปถึง “รัฐตำรวจ” ที่ต้องร่วมชะตากรรมเดียวกัน เพราะในวันรุ่งขึ้นกลุ่ม กปปส.ที่นำโดย กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้นัดดีเดย์ชุมนุมใหญ่อีกรอบเพื่อขับไล่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากรักษาการนายกฯ
และคราวนี้จะ “พิเศษ” กว่าทุกครั้งคือ มีการ “ผนึกกำลัง” กับชาวนา “จริง”ทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่มีชาวนาจำนวนหนึ่งที่เคยเป็นฐานเสียงสำคัญของ“ระบอบทักษิณ” ออกมาประท้วงขับไล่และทวงเงินที่ถูกโกงเงินจากการ “ขายข้าว” ให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มานาน 5-6 เดือนแล้ว
หากวิเคราะห์สถานการณ์แล้วเพียงแค่ “ม็อบกำนัน” อย่างเดียวก็ทำให้ ยิ่งลักษณ์ และทักษิณ แทบรากเลือดแล้ว นี่ยังกระหน่ำมาด้วยม็อบชาวนาอีกมันก็เหมือน“สองแรงบวก” โคม่าเข้าไปใหญ่ เพราะต้องไม่ลืมว่าการถูกม็อบชาวนาเข้ามาไล่ถือว่า “เสียหายเสียเครดิต” เนื่องจากเคยเป็นพวกเดียวกัน และขณะเดียวกันจะทำอะไรรุนแรงก็จะดูน่าเกลียด
ขณะเดียวกัน อีกเรื่องหนึ่งที่ถือว่าสำคัญยิ่งยวดไม่แพ้กันก็คือ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ศาลแพ่งมีกำหนดนัดชี้ขาดว่าการ “ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ของรัฐบาลเป็นไปโดยชอบหรือเหมาะสมหรือไม่ ตามที่ ถาวร เสนเนียมและคณะ ไปร้องเอาไว้ และที่ผ่านมามีการไต่สวนเบิกความจนครบแล้วและเตรียมนัดชี้ขาดมาตรงกันวันสำคัญดังกล่าวพอดี สมมติศาลบอกว่าออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินมิชอบก็ต้องบอกว่า “สนุกแน่” ทำให้เครื่องมือในการลุยม็อบปราบฝ่ายต่อต้านทำได้ยาก เพราะอย่างมากก็ต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เท่านั้นซึ่งมีอำนาจลดลง การถลุงงบประมาณ “พิเศษ” ที่ว่ากันว่าทั้งนักการเมืองตำรวจชั้น “นาย” ต่างรวยกันพุงปลิ้น ก็ต้องอด “กินหมู” โดยพลัน
นี่แหละเมื่อทุกอย่างประดังเข้ามาพร้อมกัน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องเร่งสลายการชุมนุมยึดพื้นที่สำคัญกลับคืนมา อีกทางหนึ่งยังเป็นขู่ชาวนาซึ่งเป็นม็อบชาวบ้านในชนบทให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า “อย่าหือ” เป็นอันขาดอะไรประมาณนี้ เพราะถ้าปล่อยให้ถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ปล่อยให้มีม็อบใหญ่เกิดขึ้น มันก็จบเห่เร็วขึ้น เพราะล่าสุดทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ตื่นขึ้นมาประกาศว่าจะมีการแจ้งข้อหา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในข้อหาทุจริตโครงการจำนำข้าวมีความผิดตาม มาตรา 157 ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์อีกด้วย ทำให้ความชอบธรรม “เหลือศูนย์” ทันที
ดังนั้น ถ้าบอกว่าหากผ่านไปถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็แทบไม่เหลืออะไร ไม่มีความชอบธรรมเหลืออยู่เลย!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น