วันพุธ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557
เหตุการณ์รุนแรงจนมีผู้เสียชีวิต ๕ คน บาดเจ็บเกือบร้อยคนซึ่ง มีต้นเหตุมาจากขอคืนพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนิน เมื่อ ๑๘ ก.พ. ๕๗ ตามคำสั่งของ ศรส.นั้นจะโทษใครไม่ได้ แม้กระทั่ง “ตำรวจ” เพราะคนที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้มีแค่คน ๒ คนเท่านั้น คือ คุณเฉลิมฯ และนายกฯ รักษาการ จริงไม่จริงก็ลองอ่านดูครับ
(๑) ภารกิจนี้ประกาศว่าแค่มุ่งขอคืนพื้นที่ผิวจราจรเป็นบางส่วน ถึงกลับจะมีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ด้วย ทำให้ทางผู้ชุมนุมเกิดความรู้สึกไว้วางใจ แตเมื่อการปฏิบัติเกิดขึ้นจริง กลับกลายเป็นภารกิจแฝงเร้นในรูปการจับกุมแกนนำ และสลายการชุมนุมแทน โดยตำรวจส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมก็ไม่ได้รู้ถึงแผนดังกล่าวนี้ สาเหตุดังกล่าวนี้จึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น
(๒) มีการระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ๒ หมื่นกว่าคนพร้อมอาวุธทุกอย่าง แม้แต่อาวุธที่ใช้ในภารกิจลอบสังหารระยะไกลเฉพาะ “เหตุการณ์ก่อการร้ายสากล” ก็ปรากฏอยู่ด้วย ทำให้ขบวนการขอคืนผิวจราจรที่ประกาศออกมาไม่สมจริงมากขึ้น แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีการนำเอาชายที่คลุมหน้าด้วยโม่งดำ สวมรองเท้าผ้าใบ (ทหารเขมรนิยมใช้) พร้อมด้วยอาวุธสงคราม เข้ามาอยู่ในพื้นที่ด้วย แต่ “บุคคลเหล่านี้” กลับไม่มีป้ายหรือสัญลักษณ์ในการระบุถึงสังกัด นอกจากรหัสบอกฝ่าย “แถบสีเหลือง” นั้น ทำให้ประชาชนและหน่วยข่าวกรองทางทหารเริ่มสงสัยว่าการเคลื่อนไหวของชายเหล่านี้ อาจเป็นชาวต่างชาติที่ได้รับการอำนวยความสะดวกในการเข้ามาสร้างความวุ่นวายขึ้น เพื่อถือโอกาส ลอบทำร้ายประชาชนหรือลอบสังหารแกนนำได้
(๓) ความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้น เมื่อตำรวจไปขอเปิดผิวจราจรบางส่วนกับ ทางสันติอโศก ซึ่งตกลงกันได้ด้วยดี แต่อีกไม่ถึง ๕ นาที ตำรวจซึ่งเข้ามาเห็นสภาพว่ามีคนน้อย จึงรีบเข้ามาสลายการชุมุนม ท่ามกลางเสียงสวดอิติปิโส ทันที โดยข้ามขั้นตอนการปฏิบัติและใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม, การจับกุมแกนนำและการทำลายสิ่งของ ประชาชนบางส่วนก็สวดมนต์อยู่ต่อไป บางส่วนก็ตบะแตก ลุกขึ้นมาต่อสู้ขว้างปาสิ่งของใส่ตำรวจบ้าง ความรุนแรงจากการใช้อาวุธจึงเกิดขึ้นทันที(๔) ก่อนที่ประชาชนจะบาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้น เมื่อการสวด “อิติปิโสครบ ๓ รอบ” (หมายเหตุ การสวดอิติปิโสเป็นคาถาที่ใช้ไล่สัตว์ร้ายด้วย) พวกป็อบคอร์น “ที่อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ก็ปรากฏตัวขึ้น ปฏิบัติการโดยใช้หลักการณ์เชิงสันติวิธี คือ ใช้ความรุนแรงน้อย เพื่อยับยั้งความรุนแรงอันมหาศาล เห็นได้จากการใช้ “ระเบิดเทียมเสียง” แทน “ระเบิดสังหาร” ปามาที่กลุ่มตำรวจ ซึ่งถ้าเป็นการปาระเบิดสังหารแล้วตรงนั้นจะมีตำรวจตายมากกว่า๓คนและ บาดเจ็บอีกมาก จากนั้น ตำรวจจึงขอยุติยกเลิกการขอคืนพื้นที่ทันที ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของตำรวจบางคนนั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีคนสั่ง ถ้าไม่มีคนรู้เห็นด้วย ถ้าไม่มีการนำเอาตำแหน่งหน้าที่มาต่อรองกับตำรวจบางคน
เจอรี่ ฮิวเกต ฝรั่งที่อาศัยอยู่ในไทยจนพูดไทยได้ ได้แสดงความเห็นที่น่าสนใจ ผ่าน นสพ.นิวยอร์กไทมส์ สรุปว่า “คนไทยรู้เรื่องการเมืองมากขึ้น จึงไม่ไปเลือกตั้ง เพราะ ประชาธิปไตยถูกครอบงำโดยกลุ่มคนเล็กๆ ที่ใช้อำนาจผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมอย่างอุกอาจ รวมถึงการผ่าน พ.ร.บ.เงินกู้ ๒.๒ ล้านล้านบาท ที่อยู่นอกกระบวนการงบประมาณ ทำให้ไม่มีการควบคุมการใช้เงิน และเรื่องที่กู้มาก็ไม่จำเป็นด้วย” เห็นไหมครับ เรื่องเหล่านี้ แม้ชาวต่างชาติ ก็เริ่มรู้ข้อเท็จจริงบ้างแล้ว
นอกจากนั้น ในกรณีที่รัฐบาลใช้ชาวนาเป็นเครื่องมือทำนาวิธีใหม่ ลงทุนน้อยแต่ได้ผลผลิตมาก คือ “การทำนาบนหลังชาวนา” อีกทีหนึ่ง ซึ่งทำให้รัฐบาลได้เงินไป ส่วนชาวนาได้ใบประทวนไปแทนเงิน เรื่องเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ต่างชาติก็เริ่มรู้อีกเช่นกัน และเป็นตัวอย่างส่วนน้อยในจำนวนนับร้อยๆ เรื่อง ที่ทำให้ กปปส.มีความมั่นคงและมีความถูกต้องเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นโอกาสที่นายกฯ รักษาการจะแพ้จึงมีมากเกือบ ๑๐๐% เพราะการเป็นนายกฯ รักษาการอยู่โดยไม่มีอำนาจเต็มที่ในการใช้จ่ายเงินและการโยกย้ายข้าราชการนั้น มันไม่ง่ายนัก แม้จะมีเงินกองสลากหนุนอยู่ก็ตาม นอกจากนั้น คดีต่างๆ ก็เริ่มใกล้ตัวนายกฯ เข้ามาทุกทีแล้ว ดังนั้นวิธีเดียวที่รัฐบาลจะทำได้ คือ ต้องล้ม กปปส.ไปให้ได้ก่อน ภายใต้เวลาอันจำกัดไม่เกิน ๓ สัปดาห์ ซึ่งเป็นทางชนะวิธีเดียวที่เหลืออยู่ องค์ประกอบการล้ม กปปส.มีอยู่ ๕ วิธี ได้แก่
(๑) การขอคืนพื้นที่การชุมนุม, (๒) การจับตัวแกนนำหรือการลอบสังหาร, (๓) การใช้ความรุนแรงจากอาวุธสงครามเพื่อข่มขู่ประชาชนไม่ให้เข้ามาชุมนุม, (๔) การข่มขู่ การ์ดให้ถอนตัวออกไป และ (๕) การส่งคนเข้ามาแทรกซึมบ่อนทำลายในพื้นที่การชุมนุม ด้วยความรุนแรง
ซึ่งปัจจุบัน ศรส.ก็ได้มีการทำกันมาตามลำดับเกือบทุกข้อแล้ว คงเหลืออยู่เรื่องเดียว คือ ข้อ(๕)ครับ กปปส.ก็ต้องระวังกันให้ดีครับ เพราะเวลาของรัฐบาลเหลืออยู่ไม่น่าจะเกิน ๓ สัปดาห์แล้ว คุณยิ่งลักษณ์ฯ ก็จะไปแล้ว ดังนั้น ความรุนแรงจึงต้องถูกนำมาใช้เพื่อล้ม กปปส.ลงให้ได้ก่อน |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น