ยอดตายแซนดี้ ถล่ม ทะลุ 50 ราย | |||
|
วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ยอดตายแซนดี้ ถล่ม ทะลุ 50 ราย เมื่อ 31 ต.ค.55
"อุดมเดช" ให้ฝ่ายค้านซักฟอก 25-26 พ.ย. - "ขุนค้อน"ไฟเขียวดีเดย์ซักฟอก 26-27 พ.ย. วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 14:31:44 น.
เมื่อเวลา 12.00 น. ที่รัฐสภา นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวภายหลังประชุมวิปรัฐบาลถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่าก่อนหน้านี้เราทราบความเคลื่อนไหวการอภิปรายไม่ไว้วางใจมาตลอด เพราะฝ่ายค้านตั้งใจจะยื่นญัตติในวันนี้ (31 ต.ค.) แต่จากการประสานงานกับฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่จะต้องชี้แจงในการอภิปรายนั้น ต้องเดินทางไปประชุมที่ต่างประเทศและเป็นกำหนดการล่วงหน้ามาก่อนหน้านี้แล้ว จึงหารือกับวิปฝ่ายค้านและเห็นตรงกันว่ามีเวลาที่เหมาะสมคือ วันที่ 26 -27 พฤศจิกายน ซึ่งฝ่ายค้านก็พยายามที่จะบริหารเวลาให้อยู่ในกรอบการอภิปรายอย่างกระชับ เบื้องต้นขอให้กรอบการอภิปรายอยู่ภายใน 2 วัน เพราะหากไม่ทันจริงๆ ก็จะทำให้มีปัญหา เพราะในวันที่ 28 พฤศจิกายน เป็นการปิดสมัยประชุมสมัยสามัญทั่วไป
"เพื่อความรอบคอบในการทำหน้าที่กรอบระยะเวลาก็กำหนดไว้ในวันที่ 25-26 พฤศจิกายน และลงมติในวันที่ 27 พฤศจิกายน ส่วนวันที่ 28 พฤศจิกายน ก็จะประสานงานให้วุฒิสภาได้อภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่ลงมติได้ อย่างไรก็ตาม หากการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่สามารถเสร็จทันได้ภายใน 2 วันนั้น ก็จะให้ลงมติในช่วงเช้าวันที่ 28 พฤศจิกายน และช่วงบ่ายให้วุฒิสภาอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ" นายอุดมเดชระบุ
เมื่อถามว่าการแถลงผลดำเนินการของรัฐบาลครบรอบ 1 ปีจะดำเนินการเมื่อใด นายอุดมเดช กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องรอสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่เป็นฝ่ายจัดทำผลงานและเอกสาร ซึ่งหากประสานมาเมื่อใดเราก็จะนัดหมายวันอภิปรายได้
ขณะที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ ส่วนจะไปอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลวันใด ขึ้นอยู่กับวิปรัฐบาลกับวิปฝ่ายค้านจะไปตกลงกันเอง แต่ต้องก่อนวันที่ 28 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันปิดสมัยประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไป หากต้องการจะอภิปรายระหว่างวันที่ 25-26 พฤศจิกายน ก็ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนวันที่ 28 พฤศจิกายน หากทาง ส.ว.ต้องการเปิดอภิปรายทั่วไป แบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ก็ไม่ขัดข้อง แล้วแต่ ส.ว.กับรัฐบาลจะไปตกลงกัน
บช.น.จัดจราจรวันพระราชพิธีขบวนพยุหยาตราทางชลมารค วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 14:41:41 น.
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รอง ผบช.น. ดูแลงานจราจรเปิดเผยถึงมาตรการการดูแลความปลอดภัยและจราจรในวันซ้อมใหญ่พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราทางทางชลมารคเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา 7รอบ 5ธันวาคม 2554 ว่า ในวันที่ 6พฤศจิกายนที่เป็นวันซ้อมใหญ่ และวันพิธีจริงวันที่ 9 พฤศจิกายนนั้นขบวนจะเริ่มบริเวณสะพานพระราม 8 ไปถึงวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ซึ่ง บช.น. ได้เตรียมแผนรองรับปัญหาไว้แล้วซึ่งเส้นทางเชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยาและริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเส้นทางที่เสด็จผ่านจะเป็นหน้าที่ของตำรวจแต่ละสน.จัดกำลังเข้าไปดูแลรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านจราจร
พล.ต.ต.วรศักดิ์กล่าวอีกว่า สำหรับบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะสะพานปิ่นเกล้าที่เป็นเส้นทางที่ขบวนเสด็จจะลอดผ่านจะใช้กำลังของตำรวจจราจรจากกองบังคับการตำรวจนครบาล1 (บก.น.1) และตำรวจจราจรของกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ดูแลทั้งสองฟากฝั่งโดยจะปิดไม่ให้รถสัญจรผ่านเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อไม่ให้กระทบการจราจร ซึ่งระยะเวลาที่ปิดถนนอาจมีรถสะสมบ้างแต่หลังขบวนเสด็จผ่านก็จะเปิดให้ใช้ตามปกติ พร้อมแนะนำให้ประชาชนที่มาเฝ้ารอรับเสด็จควรใช้รถบริการสาธารณะดีกว่ารถยนต์ส่วนตัวเพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัด
อุทธรณ์แก้จำคุก 2 แนวร่วม นปช.เหลือ 9 ปีเศษ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พกระเบิด รับของโจร วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 15:14:46 น.
ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 31 ตุลาคม ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายประสงค์ มณีอินทร์ และนายโกวิทย์ แย้มประเสริฐ อาชีพรับเหมาก่อสร้าง และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยที่ 1-2 ฐานฝ่าฝืนประกาศข้อกำหนด ห้ามมิให้มีการชุมนุม และการใช้เส้นทางคมนาคม, ร่วมกันมีวัตถุระเบิด, ร่วมกันมีเครื่องวิทยุคมนาคม, ร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง, ร่วมกันลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค.53 จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปและมั่วสุมขณะที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยจำเลยที่ 1 ขับรถกระบะโตโยต้า ไมตี้เอ็กซ์ ทะเบียน ปว 2816 กรุงเทพมหานคร มีจำเลยที่ 2 นั่งร่วมด้วยพร้อมวัตถุระเบิดและวิทยุคมนาคมไปตามเส้นทางที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และงัดประตูร้านสะดวกซื้อแล้วลักทรัพย์ 60 รายการ เป็นเงิน 38,251 บาท เหตุเกิดที่แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน, แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 จำคุกคนละ 8 เดือน ฐานร่วมกันลักทรัพย์ จำคุกคนละ 5 ปี ฐานมีวัตถุระเบิด จำคุกคนละ 6 ปี ฐานมีวิทยุสื่อสารปรับ 6,000 บาท และพาอาวุธไปในที่สาธารณะ ปรับ 100 บาท รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 11 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 6,100 บาท ริบของกลาง จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าที่จำเลยอุทธรณ์ว่าทหารปะทะกับคนเสื้อแดงในการชุมนุมทำให้เป็นปฏิปักษ์กับจำเลยมานั้น ฝ่ายจำเลยไม่มีพยานนำสืบให้เห็นว่าทหารที่จับกุมเป็นผู้เข้าร่วมทำร้ายคนเสื้อแดง ส่วนวิทยุสื่อสารที่จำเลยอ้างว่าเป็นอาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ก็ไม่นำสืบหักล้าง จึงฟังได้ว่าจำเลยพกพาวิทยุสื่อสารและร่วมกันพกพาอาวุธและวัตถุระเบิด
ส่วนข้อหาลักทรัพย์นั้นฝ่ายโจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกความว่า จากการจับกุมได้ตรวจค้นพบเครื่องอุปโภค บริโภคเช่น เหล้า บุหรี่ บัตรเติมเงิน ฯลฯ เห็นว่า ประเด็นนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเข้าไปลักทรัพย์ พยานหลักฐานจึงไม่เพียงพอที่จะลงโทษฐานลักทรัพย์แต่ฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานรับของโจร ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้ ให้จำคุกจำเลยเหลือคนละ 9 ปี 4 เดือน ปรับคนละ 6,100 บาท
′ปู′สั่งศึกษาเงินกู้จีนซื้อแท็บเล็ต แจกนักเรียนทุกชั้น-เล็งยุบร.ร.ขนาดเล็ก วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 15:37:27 น.
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการ ศธ. เพื่อรับทราบนโยบายด้านการศึกษา ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำเรื่องการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษา เพราะมีความสำคัญทั้งปริมาณกำลังคนและเนื้อหาการจัดการเรียนการสอน ที่ผ่านมาไม่มีการประสานงานระหว่างสถานประกอบการกับทางสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ว่ามีความต้องการกำลังคนจากอาชีวศึกษามาก และคนที่มาเรียนสายอาชีวะก็มีน้อยมาก ฉะนั้นต้องไปหารือกับสถานประกอบการว่าต้องการกำลังคนด้านไหนบ้างเพื่อให้ สอศ.ผลิตนักเรียนนักศึกษาตรงความต้องการ นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้สอบถามถึงกองทุนตั้งตัวได้ที่จะให้ทุนแก่นักศึกษาไปประกอบธุรกิจว่าดำเนินการไปถึงไหนแล้ว โดยขณะนี้ดำเนินการเสร็จแล้ว รอประชุมคณะกรรมการระดับชาติก็จะเดินหน้าได้ ส่วนงบประมาณได้รับอนุมัติ 5,000 ล้านบาท รวมกับงบประมาณเก่าของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อีก 1,300 ล้านบาท ที่สามารถใช้ได้เลย ซึ่งนายกรัฐมนตรีอยากเน้นให้กลุ่มนักเรียนนักศึกษาได้เข้าโครงการนี้และควรดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อให้นักศึกษาที่จบมีงานทำ
ปลัด ศธ.กล่าวต่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังได้สอบถามถึงโครงการจัดหาแท็บเล็ตให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ว่าแจกครบแล้วหรือไม่ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รายงานว่าเหลืออีกประมาณ 200,000 เครื่อง และคาดว่าจะแจกได้แล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังพูดถึงการจัดซื้อแท็บเล็ตให้นักเรียนระดับชั้นอื่นให้ครบทุกชั้น ได้แก่ ประถมศึกษาปีที่ 3-6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3-6 อาจไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐบาลเพราะประเทศจีนพร้อมจะให้เงินกู้มาก่อนแล้วทางรัฐบาลค่อยโอนเงินจ่ายเป็นรายปีไปให้ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปโดยนายกรัฐมนตรีมอบให้มาศึกษาข้อดีข้อเสียและจำนวนงบประมาณที่ต้องใช้
"นายกฯยังมีนโยบายเรื่องโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียน 30-40 คน ว่าควรย้ายเด็กไปเรียนโรงเรียนอื่นแทนและให้หารถรับส่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้ ซึ่งนายกฯเห็นว่าหากยังเปิดสอน ก็จะมีค่าใช้จ่ายสูง ส่วนโรงเรียนขนาดเล็กที่ย้ายเด็กไปเรียน ก็ต้องไปดูว่าจะใช้ประโยชน์อะไรต่อได้" นางพนิตากล่าว
ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า การจัดหาเครื่องแท็บเล็ตให้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษา 2556 นั้น ยังคงเป็นความร่วมมือกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ซึ่งไอซีทีจะรับผิดชอบในส่วนของการกำหนดสเปก และการดำเนินการทางด้านเทคนิคต่างๆ ส่วนแนวทางการจัดซื้อเครื่องแท็บเล็ตนั้น จะจัดซื้อด้วยวิธีประมูลผ่านอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบอีออคชั่น โดยแบ่งเป็น 5 โซน เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และเป็นการกระจายที่ช่วยลดความเสี่ยง เนื่องจากจัดซื้อจำนวนมากประมาณ 1.6 ล้านเครื่อง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีแนวคิดที่จะขยายการจัดสรรแท็บเล็ตให้ครอบคลุมนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกคนให้รวดเร็วมากขึ้นด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการแสวงหาแนวทางการดำเนินการ
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า ส่วนเนื้อหาที่จะบรรจุในแท็บเล็ตนั้น สพฐ.จะติดตามการใช้ที่ผ่านมา และส่งเสริมการพัฒนาสื่อ โดยจะจัดประกวดสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้วงการผลิตสื่ออีคอนเทนต์ (e-content) มีความตื่นตัวมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีได้เสนอแนะว่า ควรสร้างแรงจูงใจให้คนหันมาส่งผลงานเข้าประกวด โดยให้ความสำคัญกับเครดิตของผลงาน ซึ่งหากผู้ชนะมาจากภาคเอกชนก็ควรเปิดโอกาสให้สามารถนำผลงานบรรจุลงในแท็บเล็ตได้ด้วย แต่หากผู้ชนะเป็นครู ทาง สพฐ.ก็มีแนวคิดที่จะให้ผลงานมีผลต่อการประเมินวิทยฐานะ เพราะในเกณฑ์การประเมินของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) มีการพิจารณาจากรางวัลระดับชาติด้วย ดังนั้น สพฐ.จะเสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุม ก.ค.ศ. เพื่อให้การรับรองรางวัลที่ชนะจากการประกวดสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการประเมินวิทยฐานะด้วย
ตร.กองปราบออกหมายเรียก "เสธ.อ้าย" รับทราบข้อหากบฏ 7 พ.ย.นี้ วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 15:56:08 น.
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 31 ตุลาคม ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีที่ นายคารม พลพรกลาง ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมทีมทนายความกลุ่มคนเสื้อแดง เข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ให้ความดำเนินคดีกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ในข้อหายุยงให้ราษฎรเป็นกบฏ ยุยงทหารให้ก่อการปฏิวัติ และแสดงความคิดเห็นไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กรณีที่บุคคลทั้ง 2 ออกมาแสดงความคิดเห็นอันเป็นการล้มล้างรัฐบาล เมื่อวันที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา ว่า หลังจากสอบปากคำ นายคารม และตรวจสอบพยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำมามอบให้แล้ว พนักงานสอบสวนจึงได้ทำการส่งหมายเรียกให้ นายสนธิ และ พล.อ.บุญเลิศ มารับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าวที่กองปราบปรามในวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ เวลา 10.00 น.
พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานพบว่า นายสนธิ ได้พูดในรายการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา ที่ บ้านพระอาทิตย์ ส่วน พล.อ.บุญเลิศ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับลวงพราง ของสถานีวิทยุ อ.ส.ม.ท. เมื่อวันที่ 21 มกราคม ซึ่งพนักงานสอบสวนพบว่าคดีดังกล่าวมีมูลจึงออกหมายเรียกให้ผู้ถูกกล่าว หามารับทราบข้อกล่าวหา ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าอาจจะมีการปะทะกันระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดง กับกลุ่มคนเสื้อเหลืองเหมือนเมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมานั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยตนจะเสนอ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อรับมือปัญหาดังกล่าว เบื้องต้นได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดไว้อย่างน้อย 1 กองร้อย นอกจากนี้จะประสานตำรวจปราบจลาจล ของกองบัญชาการตำรวจนครมาร่วมดูแลความปลอดภัยเพิ่มด้วย อย่างไรก็ดีจะให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความเคลื่อนไหวด้านการข่าวพร้อมทั้ง ประเมินสถานการณ์เพื่อเตรียมการรับมือต่อไป
กำนัน-ผญบ.เดือดจัด เตรียมขนม็อบใหญ่เข้ากรุง 7 พ.ย. ลั่นชุมนุมยืดเยื้อจนกว่าจะชนะ วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 17:13:42
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 31 ต.ค. ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ มีการประชุมของสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวคัดค้านการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ โดยมีนายยงยศ แก้วเขียว นายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้าน เป็นประธานการประชุม ร่วมกับประธานกำนันผู้ใหญ่บ้าน 44 จังหวัด โดยนายยงยศแถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมยืนยันจุดยืนในการถอนร่างกฎหมายลักษณะปกครองท้องที่ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการทั้ง 5 ฉบับ โดยจะนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 7 พ.ย. ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า นอกจากนี้ จะมีการรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อยื่นคำร้องขอถอดถอน ส.ส. ที่เสนอร่างกฎหมายเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งของกำนันผู้ใหญ่บ้านเหลือ 5 ปี ทั้ง 5 ฉบับ โดยให้กำนันผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อยื่นต่อวุฒิสภาให้พิจารณาถอดถอน ขอยืนยันว่าการดำเนินการไม่ได้ทำเพื่อตัวกำนันผู้ใหญ่บ้านแต่ทำเพื่อส่วนรวม ทั้งนี้ มีโทรศัพท์มาขู่ตนว่ากำลังไม่ปลอดภัย ลูกก็จะลำบาก แต่ไม่กลัวขอประกาศว่าถ้าตนต้องตายก็ให้ชุมนุมต่อสู้ต่อไป
นายยงยศกล่าวอีกว่า ยืนยันมติที่ประชุมที่จะชุมนุม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะนี้ทราบว่ามีความพยายามไม่ให้กำนันผู้ใหญ่บ้านมาชุมนุม แต่สมาคมยืนยันจะเดินทางมารวมกันเพื่อเดินทางไปลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่โรงพยาบาลศิริราช โดยสมาคมได้ทำหนังสือถึงกรมวังเพื่อขอให้อนุญาตกำนันผู้ใหญ่บ้าน 50,000 คน เดินเท้าจากลานพระบรมรูปทรงม้าไปยังโรงพยาบาลศิริราชโดยจะมีตัวแทน 2,000 คน เข้าไปลงนามถวายพระพร แล้วจะกลับมาทำกิจกรรมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และไม่ว่าวันที่ 7 พ.ย. ฝ่ายปกครองจะเรียกประชุมกำนันผู้ใหญ่ผ่านระบบการประชุมทางไกลหรือดำเนินการวิธีการใดกำนันผู้ใหญ่บ้านก็จะชุมนุมไม่เปลี่ยนแปลง การชุมนุมจะดำเนินต่อไป และการชุมนุมอาจยืดเยื้อแต่ต้องต่อสู้จนกว่าได้รับชัยชนะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมได้มีตัวแทนจากคณะกรรมาธิการการปกครอง วุฒิสภา โดยนายกฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร กรรมาธิการมาร่วมประชุมและร่วมแถลงข่าวว่า กรรมาธิการได้พิจารณาร่างกฎหมายแล้ว โดยมีความเห็นไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว เพราะมีวัตุประสงค์ให้สถาบันกำนันผู้ใหญ่บ้านเข้าใกล้ความเป็นสถาบันการเมืองมากเกินไป จึงมีความเห็นให้ต่อสู้เพื่อไม่ให้สถาบันกำนันผู้ใหญ่บ้านถูกทำลาย
วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555
คลิปที่คนไทยควรดู วันอังคาร ที่ 30 ตุลาคม 2555
วันอังคาร ที่ 30 ตุลาคม 2555
Posted by idin , ผู้อ่าน : 399 , 21:48:24 น. หมวด : การเมือง
พิมพ์หน้านี้ โหวต 1 คน
นฤตย์ เสกธีระ : จ้องถล่ม"ปู" วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 21:29:41 น.
คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 โดย นฤตย์ เสกธีระ max@matichon.co.th (มติชนรายวัน 30ต.ค.2555)
สัปดาห์ที่แล้วยังลังเลใจว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจะปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ปรับ
เพราะหวยออกได้ทั้งสองทางอย่างที่เคยว่าไว้ เพียงแต่หากปรับคณะรัฐมนตรีก็มีโอกาสนำพาคนชุดใหม่เข้ามาทำงานให้บรรลุภารกิจใหม่
แล้วในที่สุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ตัดสินใจเลือกที่จะปรับคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
กลายเป็นคณะรัฐมนตรีชุด "ปู 3" ทูลเกล้าฯถวายรายชื่อไปเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม
มีรัฐมนตรีเดิมที่ต้องพ้นจากคณะรัฐมนตรี จำนวน 12 คน เปลี่ยนตำแหน่งและแต่งตั้งใหม่รวม 23 คน
การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้มีนักการเมืองจากบ้านเลขที่ 111 เข้ามาบ้าง
แต่ข้อน่าสังเกตกลับมาสะดุดตรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่เพิ่มขึ้น
อย่างน้อย นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็ควบรองนายกฯ
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ควบรองนายกฯ
นายปลอดประสพ สุรัสวดี แม้จะไม่ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว แต่ก็ยังเป็นรองนายกฯ
ทั้ง 3 คนเป็นรองนายกฯ เพิ่มเติมจากที่มีรองนายกรัฐมนตรีเดิมอยู่แล้ว
อย่างรองนายกฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นต้น
ว่ากันว่า ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีคือตำแหน่งที่นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายงานให้
เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำ ก็ต้องสามารถตอบคำถามแทนนายกรัฐมนตรีได้
นอกจากนี้ ยังมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เช่น นายวราเทพ รัตนากร น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ ที่ขยับจากโฆษกรัฐบาลเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็มักได้ดูแลงานที่ต้องขึ้นกับนายกรัฐมนตรี เช่น งานประชาสัมพันธ์ งานด้านงบประมาณ และอื่นๆ
การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้นอกจากตำแหน่งรองนายกฯเพิ่ม เปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯแล้ว ยังวางตัวรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างๆ อีก
การให้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะช่วยหนุน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการฯ
หรือเปล่า?
การให้ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเข้าไปดูแลงานนโยบายของพรรคเพื่อไทย
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเข้าไปช่วย นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการฯ
น่าสังเกตว่า แต่ละคนที่เอ่ยชื่อมา ส่วนใหญ่ผ่านการทดสอบด้านการพูดมาจากการปฏิบัติ
เมื่อแลดูตำแหน่งผนวกกับความสามารถเชิงวาทะ จึงมีผู้วิเคราะห์ว่า รัฐมนตรีชุดนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อรับภารกิจสำคัญ คือ คุ้มครอง "ปู"
คนจะวิเคราะห์ไปเช่นนี้ก็ไม่น่าผิด เพราะตอนนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์กลายเป็นจุดแข็งของรัฐบาล
ถ้าจะเล่นงานรัฐบาลก็ต้องเล่นงานนายกรัฐมนตรี โดยพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของ "ปู"
นายกรัฐมนตรีกำลังถูกโจมตีเรื่องการพูด นโยบายรัฐบาลหลายเรื่องตกเป็นเป้าเพราะบกพร่องเรื่องการสื่อสารกับสังคม แถมฤดูกาลหน้าสภาผู้แทนราษฎรมีศึกหนักรออยู่...
อภิปรายไม่ไว้วางใจ !
ดูเหมือนว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคประชาธิปัตย์ล็อกเป้าไว้แล้วว่าถล่ม "ปู"
หัวข้อชัดเจน เรื่องนโยบายจำนำข้าว และการทุจริต เป็นต้น
นอกจากนี้ การชุมนุมเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ที่สนามม้านางเลิ้งก็เห็นกันแล้ว
กลุ่มต่อต้านรัฐบาล คู่รักคู่แค้นกันมาตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ก่อตัวใหม่ เล็งเป้าหมายถล่ม "ปู" เช่นกัน
หัวข้อการถล่มก็ชัดเจน เรื่องนโยบายจำนำข้าว และการทุจริต
เป็นเรื่องจำนำข้าวที่ใช้เงินมาก และเรื่องการทุจริตที่เหมือนกัน
มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ถล่ม "ปู"
บิ๊กตู่ เตรียมเยือน"สหรัฐ-ญี่ปุ่น" 31 ตุลาคม -8 พฤศจิกายน วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 23:29:34 น.
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2555 พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่าระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม-4 พฤศจิกายนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีกำหนดเดินทางเยือนกองกำลังทางบกสหรัฐอเมริกาประจำภาคพื้นแปซิฟิก (USARPAC) รัฐฮาวาย ตามคำเชิญของกองทัพสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ
จากนั้นวันที่ 5-8 พฤศจิกายนนี้ จะเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น เพื่อกระชับความสัมพันธ์และหารือถึงความร่วมมือในด้านการบรรเทาสาธารณภัยกับกองทัพญี่ปุ่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ นายลีออน พาเนตตา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ จะเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางทหารกับรัฐบาล โดยมีหมายกำหนดเข้าหารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ทบ. ชงซื้อบินสอดแนม อิสราเอล 2 พันล้าน วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 22:46:30 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ว่าในการประชุมคณะกรรมการวิจัยกองทัพบก ที่มี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธาน เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้สั่งชะลอโครงการวิจัยพัฒนามินิ ยูเอวี ของกองทัพบก จำนวน 6 ระบบ งบประมาณ 60 ล้านบาท ในปี 2557-2559 ออกไปก่อน โดยอนุมัติงบประมาณ 10 ล้านบาท ให้จัดทำ 1 ระบบ แต่จะให้มีการจัดซื้อมินิ ยูเอวี ยี่ห้อราเวน จากประเทศอิสราเอล จำนวน 120 ระบบๆ ละ 16 ล้านบาท รวม 1,920 ล้านบาท
“ม็อบเสธ.อ้าย” ประมาทไม่ได้ที่รวมพลคนเกลียด “ยิ่งลักษณ์” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 ตุลาคม 2555 07:43 น.
สะเก็ดไฟ
ย้อนภาพก่อนการชุมนุมไปสัก 2-3 สัปดาห์ คนในรัฐบาลดาหน้าออกมาปรามาสการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามของ “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ว่าเป็นแค่ม็อบหยุมหยิม ถากถางคนจะมาไม่ถึงพันจนต้องม้วนเสื่ออายหน้าหุบกลับบ้านไป
แต่พอเอาเข้าจริง ผิดถนัด! แถมเหนือความคาดหมายหลายเท่าทวี เพราะมวลชนที่ไม่ชอบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร้อมใจกันมาแบบไม่ได้นัดหมาย ตบเท้าอุ้มลูกจูงหลานมุ่งหน้าสู่ราชตฤณมัยสมาคมฯ หรือสนามม้านางเลิ้ง กันเรือนหมื่น
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อเหลืองบางส่วน กลุ่มเสื้อหลากสี กลุ่มสันติอโศก กองทัพปลดแอกเพื่อประชาธิปไตย กลุ่ม 13 สยามไท แฟนคลับบลูสกายและพรรคประชาธิปัตย์ ประชาชนทั่วไปที่เบื่อหน่ายการทำงานของรัฐบาลหุ่นเชิด ไล่ไปจนถึงนักวิชาการระดับที่สังคมให้การยอมรับ อาทิ “ต่อตระกูล ยมนาค” นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมถ์ “ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ” อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
งานนี้คนที่เคยดูแคลน “ม็อบเสธ.อ้าย” กลืนน้ำลาย หงายท้องกันเพียบ
โดยเฉพาะในราย “เด็จพี่” พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ รักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ถึงกับต้องเทกแอ็กชันผ่านไมค์ ขอร้องให้ประธานองค์การพิทักษ์สยามหยุดระดมมวลชนกันได้แล้ว เช่นเดียวกับแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) “คางคกตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ที่สะกิดเตือนคนในรัฐบาลให้อย่าชะล่าใจ
อย่าคิดว่า “ม็อบนางเลิ้ง” ไม่มีอะไร เพราะของจริงกำลังจะตามมา!
เรียกว่า หนนี้ทีมยุทธศาสตร์คนเสื้อแดง และทีมยุทธศาสตร์รัฐบาลที่มี “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหมู่บัญชาการ ขายขี้หน้ากันเต็มๆ เพราะประเมินการต่ำกว่าเกณฑ์กันไปเยอะ
โดยเฉพาะท่าทีของ “เป็ดเหลิม” ที่กำลังอิ่มเอมสนุกสนานอยู่กับพ้องเพื่อนเพื่อไทย อยู่ที่โบนันซ่า เขาใหญ่ จ.นครราชสีมาในช่วงกลางวัน แต่ตกบ่ายทางทีมงานรายงานสถานการณ์แบบอัพเดตส่งตรงไปให้ ไอ้ที่ประเมินไว้หลักพัน ตอนนี้ปาเข้าไปหลักเรือนหมื่นแล้ว!!
ก้นร้อนจนต้องมุ่งหน้าเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาลแบบกะทันหัน เพื่อมาตรวจสอบสถานการณ์ แถมให้กำลังใจลูกน้องที่ยืนอารักขาอยู่รอบรั้วทำเนียบฯ เป็นสิบกองร้อย
ตามคิวหัวหมู่ฝั่งธนฯ อ้าปากยอมรับการข่าวมีปัญหา ประเมินคลาดเคลื่อนไปเยอะ แต่ยังกล้าสำทับว่าอย่างไรก็จุดไม่ติด
จับจังหวะ “ม็อบนางเลิ้ง” หนนี้ แม้จะจุดไม่ติดภายในรอบเดียว แต่รัฐบาลคงต้องเสียวหลังกันมากขึ้นหลังจากนี้ โดยเฉพาะปรากฏการณ์แนวต้านร่วมกันตี ที่จะมีขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะ “เสธ.อ้าย” ที่แม้จะไม่ใช่แกนนำที่มีเครดิตและมวลชนอยู่ในมือเยอะเหมือนกับคนอื่นๆ แต่คุณสมบัติพ่วงติดตัวที่น่าสนใจ คือ รวมพลได้ เพราะไม่มีศัตรู ไม่ใช่คู่ขัดแย้งของทั้งพรรคสีฟ้า และ คนเสื้อสีต่างๆ แถมยังเป็นทางลง และตรงกลางให้แนวต้านทุกหมู่เหล่าตบเท้าเข้าสมทบได้อย่างสบายใจ
ตามหนทางสู่บันไดโค่นรัฐบาลนอมินี การบ้านของ “เสธ.อ้าย” จึงต้องเลี้ยงอารมณ์มวลชนแนวต้านให้อยู่หมัด จากนั้นประสานข้อมูลจากครั้งนี้ที่เล่นเรื่องการบริหารผิดพลาด ยกระดับไปสู่การเปิดโปงการทุจริต
ชิงจังหวะ กระทุ้งรัฐบาล แฉหลักฐานกันบ่อยๆ เมื่อใดความจริงปรากฏ ทุจริตกันบานตะไท เมื่อนั้นแนวร่วมไหลมาเป็นพรวนแน่
ถึงเวลานั้น รัฐบาลจะไม่กลัว “ม็อบเสธ.อ้าย” ให้รู้ไป
เจ๊งแน่!ยื่นนายกฯชะลอค่าจ้าง300 เมื่อ 30 ต.ค.55
เจ๊งแน่!ยื่นนายกฯชะลอค่าจ้าง300
ส.อ.ท.บุกทำเนียบพบ 'ยิ่งลักษณ์' ยื่นชะลอปรับค่าจ้าง 300 ทั่วปท.ปีหน้า ยันรบ.ต้องมีมาตรการช่วยเหลือก่อนแบกปัญหาจนต้องปิดตัว
30 ต.ค. 55 แม้ดูเหมือนรัฐบาลจะตัดสินใจเดินหน้าเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศ ในวันที่ 1 มกราคม 2556 แต่เสียงคัดค้านจากภาคเอกชนยังมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการสายงานอุตสาหกรรมจังหวัด สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้มีมติที่จะขอนัดเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี วันนี้ (30 ต.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าว
นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธาน ส.อ.ท.เปิดเผยว่า คณะกรรมการสายงานอุตสาหกรรมจังหวัด ส.อ.ท.จะเชิญประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ 74 เข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ครั้งนี้ด้วย เพื่อยืนยันว่าผู้ประกอบการทั่วประเทศได้รับผลกระทบ ซึ่งสมาชิก ส.อ.ท.หวังว่าจะได้พบนายกรัฐมนตรี เพราะรัฐบาลต้องดูแลทุกภาคส่วน ที่ผ่านมาภาคเกษตรได้รับการดูแลจากรัฐบาล เช่น โครงการรับจำนำข้าว และการปรับค่าจ้างขั้นต่ำส่งผลกระทบต่อเอสเอ็มอีมาก จึงคิดว่ารัฐบาลจะดูแลหรือมีมาตรการชดเชยให้ผู้ประกอบการเหมือนกัน
"ถ้ารัฐบาลยืนยันจะปรับค่าจ้างก็ควรมีโมเดลการช่วยเหลือออกมาทุกจังหวัด และรัฐบาลไม่ควรปล่อยให้ปิดตัวก่อนแล้วค่อยมีมาตรการช่วยเหลือออกมา ซึ่งขณะนี้ผู้ประกอบการบางรายปิดโรงงานมีทั้งที่เป็นและไม่เป็นสมาชิก ส.อ.ท. โดยโรงงานบางแห่งอาจปิดโรงงานก่อนวันที่ 1 มกราคม 2556 ซึ่งต้องการปิดก่อนที่ค่าจ้างใหม่จะมีผลบังคับใช้ และอยากบอกรัฐบาลให้รู้ว่า โรงงานที่ปิดตัวไปส่วนใหญ่จะปิดตัวเงียบๆ" นายทวีกิจกล่าว
ทั้งนี้ สมาชิก ส.อ.ท.จะยื่นข้อเสนอและชี้แจงนายกรัฐมนตรี 5 ข้อ คือ 1. การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ จึงต้องการให้รัฐบาลคงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปัจจุบันไว้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 แต่สามารถทบทวนได้ตามความเหมาะสม 2. การพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำควรเป็นหน้าที่ของคณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดเป็นผู้เสนอคณะกรรมการค่าจ้างกลาง โดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง 3. หากมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรจ่ายให้ลูกจ้างที่จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 4. หลังจากวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ให้ยกเลิกอัตราค่าจ้างขั้นต่ำมาใช้ค่าจ้างลอยตัวตามกลไกตลาด และ 5. รัฐบาลต้องมีโครงการช่วยเหลือ เยียวยาและชดเชยให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบเป็นรูปธรรม
ทางเลือกสุดท้าย"แดงขู่ตั้งพรรค" 30 ตุลาคม 2555 เวลา 11:25 น.
โดย...ทีมข่าวการเมือง
ครม.ปู 3 เพิ่งรับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง แต่ไม่มีจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดงเป็นรัฐมนตรี ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สัญญาว่าจะตอบแทน สร้างความไม่พอใจให้กับคนเสื้อแดง จนบรรดาแกนนำออกมาเรียกร้องให้นายกฯ ชี้แจง กลายเป็นคลื่นใต้น้ำที่อาจเป็นปัญหาต่อเสถียรภาพรัฐบาล
สุดา รังกุพันธ์ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ในฐานะนักวิชาการสายเสื้อแดง กล่าวว่า การที่ จตุพร หลุดโผ ครม.ไม่ได้ทำให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ของคนเสื้อแดงเสื่อมคลายลง เป็นเพียงแรงกระเพื่อมเล็กน้อยเท่านั้น เพราะจิตสำนึกที่เกิดจากการเรียนรู้ปัญหาการเมืองผ่านเหตุการณ์รัฐประหาร ตุลาการภิวัตน์ยุบพรรคไทยรักไทย และสังหารประชาชน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลเพื่อไทยง่ายๆ เพียงแค่ จตุพรไม่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี อาจมีมวลชนไม่พอใจบ้าง แต่ยังเคารพการตัดสินใจของรัฐบาลที่พวกเขาเลือกตั้งมากับมือถึง 3 ครั้ง
“ครม.ปู 3 จะอยู่บนเส้นด้ายที่เล็กลงเรื่อยๆ เพราะไม่ใช่แค่ฝ่ายค้าน หรือประชาชนทั่วไปที่จับตามอง แต่มวลชนเสื้อแดงเองจะตรวจสอบอย่างเข้มข้นขึ้น ว่าคนของรัฐบาลจะปฏิรูปประชาธิปไตยตามที่สัญญาหรือไม่ หรือที่สุดแล้วหากรัฐบาลถูกระบอบอำมาตย์ครอบงำหรือกลืนกินจริง ถ้าเป็นเช่นนั้น ประชาชนก็จะให้บทเรียนโดยไม่เลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ และอาจตั้งพรรคการเมืองเองซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายรองจากเลือกพรรคเพื่อไทย”
สมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนอนกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง กล่าวว่า การที่คนเสื้อแดงเรียกร้องตำแหน่งรัฐมนตรี ไม่ถือว่าหลงลืมอุดมการณ์ปฏิรูปประชาธิปไตย เพียงแต่กรณีจตุพรต้องอธิบายสถานะตนเองให้ได้ว่าการขึ้นสู่ตำแหน่งไม่ใช่การต่อสู้เพื่อหวังผลประโยชน์ทางอำนาจ ตำแหน่งต้องไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นเพียงวิธีการที่จะนำไปสู่เป้าหมาย คือการปฏิรูปประชาธิปไตยเท่านั้น ที่สำคัญรัฐมนตรีไม่ใช่ตำแหน่งเดียวที่จะนำไปสู่การปฏิรูปประชาธิปไตยได้ เป็นผู้นำมวลชนก็สวมบทบาทเรียกร้องประชาธิปไตยได้เช่นกัน
สมบัติ ยังวิเคราะห์โครงสร้าง 3 ขา เพื่อไทย รัฐบาล และคนเสื้อแดง ว่า ทั้ง 3 องค์กรต้องจัดความสัมพันธ์ให้เหนียวแน่น ส่วนตัวเข้าใจรัฐบาลที่ไม่ให้จตุพรได้ตำแหน่ง แต่รัฐบาลต้องจัดสมดุลอำนาจให้เหมาะสมระหว่างชนชั้นนำ ทหารและกลุ่มมวลชน กรณีแกนนำพลาดหวังเก้าอี้เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ แต่ต่างฝ่ายต้องต่างเรียนรู้ มวลชนต้องเข้าใจข้อจำกัดของรัฐบาล รัฐบาลก็ต้องเรียนรู้ความต้องการของมวลชน รับฟังกัน ให้อภัยกันเป็น 3 เส้าที่ต้องเดินคู่กันไป แตกแยกกันไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพังแน่นอน
ขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร กล่าวว่า วันนี้คนเสื้อแดงเสียใจได้ที่จตุพรไม่ได้ตำแหน่ง แต่อย่าเสียสติ และจตุพรควรทำใจได้แล้ว ตำแหน่งมันไม่ใช่ของเป็นของตายอะไร เป็นเพียงลาภ ยศ หมวกใบหนึ่งเท่านั้น
“สื่อก็น่าจะรู้ว่าความจำเป็นคืออะไร คุณจตุพรก็รู้อยู่ในใจ แต่มันพูดไม่ได้ เหมือนกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน พูดถึงการปฏิวัติที่ตอบไม่ได้ ตายก็ตอบไม่ได้ เหมือนพวกเราก็ตอบไม่ได้จริงๆ ว่าเพราะอะไรที่นายจตุพรเป็นรัฐมนตรีไม่ได้”
เต้นแฉม็อบเสธอ้ายปูทางรัฐประหาร 30 ตุลาคม 2555 เวลา 14:09 น.
“ณัฐวุฒิ” ปลุกประชาชนต้านม็อบ “เสธ.อ้าย”ปูดได้กลิ่นรัฐประหาร ค้านขวัญชัยนำม็อบแดงต้าน ปัดขัดแย้ง “จตุพร” นั่งเก้าอี้รมต.
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์และแกนนำ นปช. แถลงถึงการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม นำโดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า การที่กลุ่มคนจำนวนหนึ่งซึ่งเคยร่วมกันโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทั้งรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกมาแสดงท่าทีดีใจที่มีคนมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มของ เสธ.อ้าย จำนวนมากนั้น สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่คนที่มาชุมนุมแต่อยากให้มองว่าเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างเพื่อต้องการโค่นล้มและทำลายกระบวนการประชาธิปไตยอีกครั้ง เห็นได้จากบุคคลที่ปรากฏตัวบนเวทีและที่ยังไม่ปรากฏตัวเป็นขบวนการเดิมที่สร้างเส้นทางนำไปสู่การรัฐประหารและโค่นล้มนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งด้วยการเปิดเกมรุกเข้าใส่รัฐบาล ทั้งการไปยื่นเรื่องให้หน่วยงานต่างๆตรวจสอบรัฐบาลเพื่อรอจังวะเข้าฮอร์สเล่นงานรัฐบาล
"ขอสื่อสารไปยังประชาชน และผู้ที่มีจุดยืนที่เป็นกลางทางการเมืองทั้งหลาย ให้ปฏิเสธการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ เพื่อปกป้องกระบวนการประชาธิปไตยของประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ อย่าปล่อยให้มีการพูดสะสมความเท็จจริงจนเข้าใจว่ากลายเป็นความจริง เพราะเราเคยมีประสบการณ์จากเรื่องการทำบุญวัดที่พระแก้วและปฏิญญาฟินแลนด์มาแล้ว สุดท้ายกลายเป็นระเบิดเวลามาทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ดังนั้นหากรัฐมนตรีหรือบุคคลท่านใดที่พบว่ามีการกล่าวร้ายเพื่อหวังให้เป็นเท็จจริง ก็ควรใช้กระบวนการกฎหมายอย่างเด็ดขาด สำหรับตนถ้าพบว่ามีอะไรที่เป็นความเท็จจริงจะใช้ช่องทางกฎหมายทุกช่องทางดำเนินการเอาผิดต่อไป"นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ ยังระบุถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถือเป็นดุลยพินิจของนายกฯ ซึ่งคนเสื้อแดงก็ไม่ได้ออกมาเรียกร้องอะไร เป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตเท่านั้น
ส่วนท่าทีของนายจตุพร พรมพันธุ์ แกนนำ นปช. ก็ไม่ได้ออกมาเรียกร้องเก้าอี้รัฐมนตรี แต่ได้ให้ข้อคิดเพราะสงครามยังไม่จบ ดังนั้นการให้กำลังใจนักรบจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ส่วนท่าทีของนายจตุพร พรมพันธุ์ แกนนำ นปช. ก็ไม่ได้ออกมาเรียกร้องเก้าอี้รัฐมนตรี แต่ได้ให้ข้อคิดเพราะสงครามยังไม่จบ ดังนั้นการให้กำลังใจนักรบจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ส่วนที่นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง จังหวัดอุดรธานี ระบุว่า หากไม่นำพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับประเทศ จะไม่สนับสนุนรัฐบาล และจะนำมวลชนมาต่อต้านองค์การพิทักษ์สยามนั้น ถือเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น เพราะหากเร่งด่วนผลีผลามคงไม่มีประโยชน์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)