ผบ.ตร.รับงานนักโทษ ‘นช.ทักษิณ’สั่งปราบส่วย‘อดุลย์’ลิ้นพันเปล่าคุยกัน
วงการตำรวจอื้อฉาวอีกครั้ง เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นนักโทษหนีคุก ได้สั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจัดการขบวนการเก็บส่วยท่องเที่ยว “อดุลย์ แสงสิงแก้ว” ลิ้นพันปัดรับบัญชาการจากนักโทษ อ้างทำตามนโยบายจากนายกฯ เท่านั้น ขณะที่สอบจริยธรรม “คำรณวิทย์” ให้นักโทษประดับยศผ่านมากว่า 2 เดือน ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ด้าน ส.ส.-รัฐมนตรีลิ่วล้อทั้งหลายแห่บินขอตำแหน่งถึงมาเก๋า หลังนายใหญ่ส่งสัญญาณปรับ ครม.ตุลาคมนี้
พ.ต.ท.ทักษิณได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Thaksin Shinawatra เมื่อช่วงดึกวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า “วันนี้เป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ของประเทศเรา เมื่อวานนี้ก็เป็นวันสุดท้ายในการรับราชการของผู้เกษียณ และวันนี้ก็เป็นวันเริ่มต้นของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งแทนผู้เกษียณทุกคน ก็ถือเป็นเรื่องปกติทุกปี เพราะก็ต้องมีคนรุ่นใหม่มารับภาระหน้าที่แทนคนรุ่นเก่า อยากให้คนถือว่าตำแหน่งคือภารกิจหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมาย เมื่อหมดหน้าที่ก็ไม่ต้องยึดติด กลับไปให้เวลากับครอบครัวลูกหลาน
และที่สำคัญคือดูแลสุขภาพตัวเองครับ พออายุมากๆ สุขภาพจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าสุขภาพดีก็มีแรงทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าสุขภาพไม่ดีก็ทนทุกข์ทรมาน เสียเงินรักษาจำนวนมาก อยู่ก็ไม่มีความสุข ไปไหนมาไหนก็ลำบาก อายุ 60 ก็ยังไม่สายที่จะออกกำลัง รับประทานอาหารที่เหมาะสมทางโภชนาการ และรักษาอารมณ์ปล่อยวางที่ดี ไม่ว้าวุ่นจากการยึดติดใดๆ ก็ขอให้ผู้เกษียณมีความสุข เพื่อจะได้เอาความรู้ประสบการณ์ที่มีมาถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังต่อไปนานๆ
สำหรับผู้ที่รับตำแหน่งใหม่ก็ขอให้ช่วยกันทุ่มเทให้บ้านเมืองนะครับ เรายังต้องปรับตัวให้ทันโลก ทันภูมิภาคอีกเยอะครับ ถ้าเราไม่เห็นโลกเราก็คิดว่าเราสุดยอดแล้ว แต่ที่ไหนได้ เราต้องปรับปรุงตัวเราอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศักยภาพในการแข่งขัน โครงสร้างพื้นฐาน และการปรับตัวเข้าสู่การเป็น Creative Economy และ Knowledge Based Economy เพราะหลังจากการเปิด AEC ในปี ค.ศ.2015 และการแข่งขันการเปิดเสรีทางการค้า (FTA) เราจะเผชิญกับความท้าทายอีกหลายด้าน
ผมเพิ่งออกจากฮ่องกง มาเก๊า และกำลังเดินทางไปปักกิ่ง ก็ยังเห็นว่าความเป็นประเทศไทยที่คนไทยมีคุณภาพในการให้บริการสูงจนเป็นที่ติดอกติดใจของผู้มาเยือนทั้งหลายนั้น ก็ยังต้องปรับปรุงตัวเองเพื่อรองรับการขยายตัวของการท่องเที่ยวอีกมาก หรือการให้บริการทางการแพทย์ของเราหลังจากฮิตมาก ก็เริ่มถูกต่อต้านเพราะพาณิชย์มาก จนขาดความเหมาะสมต่อจรรยาบรรณทางการแพทย์แล้ว overchange
เดี๋ยวปีหน้าจีนกับไทยอาจจะบรรลุข้อตกลงในการยกเลิก VISA ต่อกัน ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวมากขึ้นอีก สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองจะรองรับไม่ไหว ภูเก็ตเองก็ overload ไปแล้ว คงต้องเร่งขยายอย่างหนักเลยครับ แต่โรงแรมไทยก็แข่งกันลดราคาจนกลายเป็นว่าเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกค่าที่พักในโรงแรม 5 ดาวของไทยถูกที่สุด ถูกเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับฮ่องกง มาเก๊า ปักกิ่ง สิงคโปร์ หรือแม้กระทั่งดูไบ
นักโทษหนีคุก-หนีคดี บอกว่า “วันก่อนได้คุยกับท่าน ผบ.ตร. ผมก็บอกว่าผมได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านที่ขายของทั้งหลายในเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ภูเก็ต ว่ามีหน่วยงานทั้งหลายในตำรวจและหน่วยงานภายนอกเดินเก็บส่วยกันมากจนเป็น cost ของผู้ประกอบการ และแน่นอนก็จะผ่านไปยังผู้บริโภค ทั้งๆ ที่รัฐบาลได้จัดการปัญหาเรียกรับเงินในการแต่งตั้งโยกย้ายออกไปอย่างสิ้นเชิง ก็ยังไม่ง่าย เพราะนิสัยที่ชอบเก็บส่วยได้แพร่กระจายเป็นวงกว้าง ขอให้ช่วยกันจัดการด่วน! ท่านก็บอกว่าท่านนายกฯ ได้สั่งการมาแล้วครับ ผมเลยหวังว่าทุกอย่างก็คงจะดีขึ้นครับ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังข้อความของ พ.ต.ท.ทักษิณถูกเผยแพร่ออกไปบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความไม่เหมาะที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต้องตกอยู่ภายใต้คำสั่งการของนักโทษหนีคุกหนีคดี และขณะเดียวกันในฐานะตำรวจ ก็ไม่มีการดำเนินการเอาผิดกับนักโทษซึ่งหนีคุก 2 ปี ในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินรัชดาฯ
เช้าวันพุธที่ทำเนียบรัฐบาล หลังการบันทึกเทปเนื่องในวันตำรวจแห่งชาติ (13 ตุลาคม) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิเสธถึงเรื่องดังกล่าวโดยอ้างว่า “ได้รับนโยบายเรื่องส่วยจากนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ”
ขณะที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เลือกที่จะเดินหนี โดยไม่ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ถามว่า “พ.ท.ต.ทักษิณบอกว่าได้ให้นโยบายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในการดำเนินการกับการรับส่วยท่องเที่ยว เรื่องนี้ได้มีการมอบนโยบายแก่ท่านด้วยหรือไม่”
มีรายงานว่า วันที่ 3 ตุลาคมนี้ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จะเดินทางเข้ามอบนโยบายการบริหารราชการของ สตช.ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 โดยจะมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. และนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ถึงผู้บังคับการ (ผบก.) จากทั่วประเทศเข้าร่วมรับมอบนโยบาย
ทั้งนี้ตลอดวันพุธที่ผ่านมา กองเกียรติยศจากนายร้อยตำรวจหญิง สังกัดโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้มีการซักซ้อมการทำพิธีต้อนรับนายกรัฐมนตรีที่จะเดินทางมามอบนโยบายในวันที่ 3 ตุลาคม ซึ่งถือเป็นกองเกียรติยศผู้หญิงล้วนที่ใช้ในการต้อนรับนายกฯ เป็นครั้งที่ 2 แล้ว
สำหรับความคืบหน้ากรณีการตั้งคณะกรรมการสอบ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่บินลัดฟ้าไปให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และมีฐานะเป็นนักโทษประดับยศให้ หลังผู้ตรวจการแผ่นดินได้ส่งหนังสือแจ้งมายัง สตช. และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.อมรินทร์ อัครวงษ์ อดีตจเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ล่าสุดเวลาผ่านไปนานเกือบ 2 เดือน กลับยังไม่มีความคืบหน้า จน พล.ต.อ.อมรินทร์ได้เกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ก่อนที่ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน จะเข้ามาทำหน้าที่จเรตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พร้อมรับงานตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
ที่กระทรวงกลาโหม พล.ต.ท.คำรณวิทย์พร้อมด้วยนายตำรวจระดับสูงเดินทางมาเข้าพบ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อแสดงความยินดีที่ได้รับตำแหน่ง พร้อมกับหารือถึงการประสานการทำงานร่วมกัน โดย พล.อ.นิพัทธ์กล่าวว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์เป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 14 (ตท.14) เมื่อตนเข้ารับตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมจึงมาแสดงความยินดีตามปกติ
“อย่ามองเป็นเรื่องการเมือง เพราะแจ๊สกับผมเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน ตอนนี้มีผม แจ๊ส และแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน จะทำให้การทำงานง่ายขึ้น แจ๊สคุยกับผมว่า อยากดูว่าการทำงานกระทรวงกลาโหมว่ามีอะไรบ้าง เขาบอกมาตั้งแต่ช่วงที่มีม็อบมาชุมนุมบริเวณท้องสนามหลวงแล้ว พอผมเข้ารับตำแหน่งเลยพาแจ๊สมาทัวร์” พล.อ.นิพัทธ์กล่าว
ช่วงค่ำวันเดียวกัน มีรายงานจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส.ส.พรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีบางคนเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง และมาเก๊า โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้กำชับทุกคนที่ได้เข้าพบเกี่ยวกับการเตรียมตัวเลือกตั้ง สั่งเกาะติดพื้นที่พร้อมสำหรับการเลือกตั้งทุกเมื่อ แม้ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะต้องทำการยุบสภาฯ ก็ตาม
ทั้งนี้ แหล่งข่าวระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังจัดวางตัวผู้สมัครทั้งระบบบัญชีรายชื่อ และเขตต่างๆ โดยจะมีการปรับเปลี่ยนในหลายพื้นที่ และได้สั่งให้ว่าที่ผู้สมัครที่กำหนดตัวไว้เบื้องต้นลงไปทำพื้นที่แล้ว แม้จะมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยอยู่ในเขตนั้นๆ ก็ตาม เนื่องจากพบว่ากระแสไม่ดี และก่อนการตัดสินใจส่งใครลงสมัครจะมีการทำโพลเพื่อประเมินตัวผู้สมัครเป็นระยะ
“พ.ต.ท.ทักษิณยังบอกกับคนที่ไปพบด้วยว่าจะมีการปรับ ครม.เร็วๆ นี้ หรือภายในเดือนตุลาคม เพื่อรีบเคลียร์บิล เปลี่ยนตัวให้ผู้พลาดหวังจากครั้งก่อนได้มีโอกาสเป็นรัฐมนตรีบ้าง โดยให้รัฐมนตรีที่เป็นมาระยะหนึ่งแล้วออกไป ตามเกณฑ์ที่ทำมาตลอดในรัฐบาลนี้ ขณะเดียวกันจะให้รัฐมนตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องหุ้นออกไปก่อนเพื่อตัดปัญหา แล้วรอจังหวะเข้ามาใหม่ หรือมอบหมายงานสำคัญให้ทำแทน” แหล่งข่าวอ้างคำพูดนักโทษหนีคุก
มีรายงานด้วยว่า สำหรับรัฐมนตรีที่มีแนวโน้มถูกปรับออกคือ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย สืบเนื่องจากปัญหาภายในกระทรวง โดยเฉพาะคนใกล้ชิดที่เข้ามาก้าวก่ายแทรกแซงกิจการภายใน โดยอาจถูกโยกไปเป็นรองนายกฯ ขณะที่นายประชา ประสพดี รมช.มหาดไทย อยู่ในข่ายถูกปรับออก เนื่องจากเป็นรัฐมนตรีมาเกือบ 1 ปีแล้ว ต้องเปลี่ยนตัวให้คนอื่นที่รอจ่อคิวอยู่
นอกจากนี้ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ อาจถูกปรับออกสืบเนื่องจากปัญหาภายในกระทรวง เช่น โครงการจัดซื้อรถตู้รับ-ส่งนักเรียน นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าข่ายถูกปรับออกเช่นกัน จากเรื่องการถือหุ้นที่ยังเป็นปัญหา รวมทั้งนายสรวงศ์ เทียนทอง รมช.สาธารณสุข สำหรับบุคคลที่คาดว่าอยู่ในข่ายเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ประกอบด้วย พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู นายวีระวัฒน์ โอสถานุเคราะห์ ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย เป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น