วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จะเอายังไงดีนายกฯปู ? “NSA” ใช้ “สถานทูตออสเตรเลีย” ดักฟังทั่ว “เอเชีย” และ “ไทย” โดนตั้งแต่ยุค 80 - “จีน”ต้องการคำอธิบายจาก “วอชิงตัน” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 ตุลาคม 2556 18:24 น


จะเอายังไงดีนายกฯปู ? “NSA” ใช้ “สถานทูตออสเตรเลีย” ดักฟังทั่ว “เอเชีย” และ “ไทย” โดนตั้งแต่ยุค 80 - “จีน”ต้องการคำอธิบายจาก “วอชิงตัน”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์31 ตุลาคม 2556 18:24 น
สถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย
       เอเจนซีส์/รอยเตอร์ - The Sydney Morning Herald ของออสเตรเลีย รายงานวันนี้ (31) ว่า หน่วยงาน NSA สหรัฐฯที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง FIVE EYES กับประเทศสมาชิกทั้ง 5 ได้ใช้ที่ทำการสถานทูตออสเตรเลียทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ทำการจารกรรมข้อมูลใน อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน อินเดีย ปาปัวนิวกินี และมาเลเซีย รวมถึงสถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทยด้วย โดยออสเตรเลียนั้นพุ่งเป้าไปที่อินโดนีเซีย เพื่อต่อต้านก่อการร้ายและการแอบลักลอบขนคนเข้าเมือง ในขณะที่กรุงเทพฯ นั้นพบว่ามีการติดตั้งระบบดักฟังขึ้นตั้งแต่ในยุค 80 อ้างจากเอกสารลับของ NSA ที่ถูกเปิดเผยโดยเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ในขณะที่จีนนั้นต้องการคำอธิบายจากวอชิงตันในเรื่องการถูกดักฟังนี้ รวมทั้งขอให้ออสเตรเลียทำตามอนุสัญญาเวียนนา
      
       มีการพบว่าข้อมูลการสื่อสารนั้นจะถูกรวบรวมจากสถานทูตออสเตรเลียในแถบเอเชียและแปซิฟิก รวมถึง กรุงจาการ์ตา กรุงฮานอย กรุงปักกิ่ง กรุงนิวเดลี รวมถึงกรุงเทพฯ อ้างจากสำนักข่าวแฟร์แฟกซ์ นอกจากนี้ สถานทูตออสเตรเลียที่ตั้งอยู่ในประทศเครือจักรภพอังกฤษ เช่น กรุงกัวลาลัมเปอร์ และกรุงพอร์ตมอร์สบี
      
       จากการเปิดเผยของนิตยสารเยอรมัน แดร์สปีเกล พบว่ามีการรวบรวมข้อมูลชั้นความลับที่สำคัญเป็นจำนวนมากผ่านช่องทางสถานทูตของสหรัฐฯ และของประเทศสมาชิกทั้ง 5 ตามข้อตกลง FIVE EYES หรือ FVEY ที่มี สหรัฐฯ แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นประเทศสมาชิก
      
       โดย FIVE EYES นั้นกำเนิดมาจากกฎบัตรแอตแลนติกตั้งแต่ปี 1941 ซึ่งปฏิบัติการร่วมมือสอดแนมของ FIVE EYES นี้อยู่ภายใต้ชื่อรหัสโครงการ “STATEROOM” ที่มุ่งดักฟังทางวิทยุ การสื่อสาร และทางจราจรบนอินเทอร์เน็ต โดยเอกสารลับของ NSA ได้ระบุว่า ปฏิบัติการ Australian Defence Signals Directorate ภายใต้โครงการ STATEROOM นั้นปฏิบัติการภายในสถานทูตออสเตรเลีย
      
       นอกจากนี้เอกสารลับยังบ่งชี้ว่า หน่วยปฏิบัติการล้วงความลับของออสเตรเลียนั้น “เล็กทั้งขนาดและกำลังคน” ซึ่งเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ในสถานทูตนั้นจะไม่ทราบถึง “ภารกิจที่แท้จริงของหน่วยงานนี้” นอกจากนี้เอกสารลับของหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯยังชี้ว่า มีการซ่อนอุปกรณ์ดักฟังต่างๆ ภายในสถานทูตเพื่อให้กลมกลืนกับสถานที่ เช่น อาจมีการซ่อนเสาอากาศไว้กับตัวอาคารสถานที่ให้กลมกลืน เช่น สิ่งตกแต่งอาคาร หรือหลังคา เป็นต้น ในขณะที่กระทรวงต่างประเทศออสเตรเลียปฏิเสธที่จะยืนยันข้อมูลในเรื่องนี้ โดยโฆษกประจำกระทรวงกล่าวเพียงว่า “มันเป็นข้อปฏิบัติของออสเตรเลียมานานแล้วที่จะไม่ตอบคำถามเกี่ยวข้องกับข้อมูลทางความมั่นคง”
      
       แต่ถึงแม้ว่าเอกสารลับของสหรัฐฯไม่ได้ระบุถึงสถานที่ตั้งที่ของปฏิบัติการสอดแนม Australian Defence Signals Directorate ที่แน่ชัด แต่ทว่าอดีตเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในหน่วยนี้ได้เผยกับสำนักข่าวแฟร์แฟกซ์ว่า ปฏิบัติการนั้นทำขึ้นภายในที่ทำการสถานทูตออสเตรเลียตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และยังเผยต่อไปว่า การรวบรวมข้อมูลในกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย นั้นถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการต่อต้านก่อการร้ายและป้องกันการแอบลักลอบนำคนเข้าเมือง แต่จุดมุ่งหมายหลักนั้นอยู่ที่การเมือง การทูต และการค้า โดยอดีตเจ้าหน้าที่ชาวออสเตรเลียผู้นี้ยังเผยต่อว่า “การเพิ่มจำนวนเครือข่ายการใช้โทรศัพท์มือถือในอินโดนีเซียนั้นมาก และคนระดับสูงของอินโดนีเซียเป็นพวกชอบพูดไม่หยุดถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าหน่วยงานการข่าวของประเทศตนเองอาจแอบดักฟังอยู่ พวกเขาเหล่านั้นยังคงพูดต่อไป” และอดีตเจ้าหน้าที่ผู้นี้ยังเผยต่อว่า กงสุลออสเตรเลียประจำเดนปาร์ซาร์ และบาหลี นั้นใช้เป็นแหล่งในการรวบรวมข่าวความมั่นคงด้วยเช่นกัน
แผนที่แสดงประเทศที่เป็นเป้าหมายถูกจารกรรมข้อมูล
       นอกจากนี้ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลติมอร์ตะวันออกได้ออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะว่า โดนออสเตรเลียแอบสอดแนม รวมถึงการดักฟังทางการสื่อสาร และจารกรรมข้อมูลในระหว่างที่ทางรัฐบาลติมอร์ตะวันออกกำลังทำข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของประเทศ นอกจากนี้ยังพบว่า ในช่วงยุคปี 80 นั้นมีการติดตั้งเครื่องมืออุปกรณ์สอดแนมพิเศษในสถานทูตออสเตรเลียประจำ ปาปัวนิวกินี จาการ์ตา และกรุงเทพฯ
      
       และเอกสารลับยังเผยต่อว่า ยังมีการแอบจารกรรมข้อมูลลับสุดยอดด้านการทหารของอินโดนีเซีย และติมอร์ตะวันออก ในปี 1999 โดยระบุว่าออสเตรเลียสามารถดักฟังการสื่อสารความลับที่สำคัญทางทหารและการสื่อสารของประชาชนชาวอินโดนีเซียได้อย่างกว้างขวาง
      
       ผู้เชี่ยวชาญข่าวกรอง ศาสตราจารย์ เดส บอล เผยกับแฟร์แฟกซ์ว่า หน่วย Australian Defence Signals Directorate นั้นได้มีความร่วมมือกับ NSA ของสหรัฐฯมานานแล้วในการแอบมอนิเตอร์การสื่อสารของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก รวมถึงการมีหน่วยปฏิบัติการคอยสอดแนมดักฟังประจำสถานทูตหรือสถานกงสุลในต่างแดน โดยผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ย้ำว่า “การได้รู้ว่าเพื่อนบ้านของเรากำลังคิดอะไรจริงๆ อยู่นั้นมีความสำคัญกับการทูต และข้อตกลงทางการค้า”
      
       และหลังจากที่ข่าวการดักฟังทั่วเอเชียและแปซิฟิกจากสถานทูตออสเตรเลียนั้นแพร่ออกไป จีนรู้สึกเป็นกังวลต่อข่าวนี้มาก และต้องการฟังคำอธิบายจากรัฐบาลของประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ในเรื่องนี้ โดยโฆษกประจำกระทรวงการต่างประเทศจีนเผยว่า “จีนมีความวิตกต่อข่าวการสอดแนมที่รายงานออกมาจากสื่อ และเรียกร้องให้สหรัฐฯมีคำอธิบายที่ชัดเจนในเรื่องนี้” และเธอยังกล่าวต่อไปว่า “ทางจีนยังเรียกร้องให้ทั้งสถานทูตต่างชาติตลอดจนเจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตนั้นๆ ประจำจีนให้เคารพอนุสัญญาเวียนนาและกฎหมายสนธิสัญญาต่างๆ และไม่ข้องเกี่ยวกับกิจกรรมใดก็ตามที่ไม่มีความเกี่ยวพันกับทางสถานทูต หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อจีนหรือผลประโยชน์ของจีน” และเธอกล่าวตบท้ายว่า “จีนหวังว่าทางออสเตรเลียจะให้ความร่วมมืออย่างมากต่อคำขอนี้”
       
       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น