|
|
เชื่อว่าหลายคนเริ่มคิดได้ และเริ่มบ่นกันแบบนี้ดังๆ มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้เห็นฝีมือการบริหารของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังจากผ่านมาเกินครึ่งทาง คือกว่า 2 ปีกำลังย่างเข้าสู่ปีที่ 3 เพราะสิ่งที่เห็นหากบอกว่าทั้งรัฐบาลและรัฐสภาล้วนอยู่ภายใต้การกำหนดชี้นิ้วจาก ทักษิณ ชินวัตร ทุกอย่าง เมื่อผลออกมาอย่างที่เห็นมันก็จะโทษใครไม่ได้ นอกจาก “ทักษิณ” เพียงคนเดียว และรับรองว่าพูดแบบนี้ไม่มีทางผิดเนื่องจากเป็นแบบนั้นจริงๆ
เวลานี้สิ่งที่เห็นก็คือ คนที่ได้ประโยชน์และร่ำรวยมากขึ้นล้วนแล้วแต่เป็น ทักษิณ ชินวัตร ที่นิตยสารเศรษฐกิจต่างประเทศยกให้เป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นติดอันดับต้นๆ ของไทย ขณะเดียวกัน เมื่อลองสำรวจดูก็จะได้เห็นคนในครอบครัวของเขา ญาติพี่น้องของเขา ธุรกิจในครอบครัวชินวัตร รวมไปถึงนักการเมือง และนักธุรกิจใกล้ชิดเขาในรัฐบาลน้องสาวของเขา ล้วนแล้ว “ร่ำรวยเพิ่ม”
ในที่นี้ย่อมหมายรวมถึงบรรดาหัวโจกคนเสื้อแดงในระดับที่มีชื่อ ไปจนถึงพอมีชื่อลดหลั่นกันไป ยกเว้นพวกคนเสื้อแดงระดับล่างที่เคยออกมาแลกชีวิต เลือดเนื้อเพื่อปกป้องให้ครอบครัวทักษิณได้มีอำนาจ และแสวงหาความร่ำรวยเพิ่มขึ้นเท่านั้นที่ยังมีชีวิตยากลำบาก และลำบากหนักกว่าเดิม เพราะได้รับผลกระทบจากนโยบาย “ประชานิยม” มักง่ายจนเดือดร้อนแสนสาหัสไปตามๆ กัน
ภาพที่เกิดขึ้นล้วนเป็นแบบนั้นจริงๆ หากมีการยอมรับความจริง ไม่หลอกตัวเอง ก็ต้องบอกว่าทุกอย่างมันแย่เสื่อมทรุดลงไปหมดทุกเรื่อง
หากเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวอย่างเรื่องเศรษฐกิจ เกี่ยวกับปัญหาปากท้องก็ต้องบอกว่าเป็นยุคที่ “ของแพง” ที่สุดยุคหนึ่งอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้มานานแล้ว สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการมีนโยบายในการบริหารบ้านเมืองที่ผิดพลาด และไร้ประสิทธิภาพอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผลกระทบแทบทั้งหมดล้วนมาจากนโยบายประชานิยม ซื้อเสียงลวงหน้า ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้ “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” กำลังสร้างความฉิบหายวายป่วงอยู่ในเวลานี้
จากนโยบายค่าแรงวันละ 300 บาทพร้อมกันทั่วประเทศ, เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท, รถคันแรก, บ้านหลังแรก, ยกเลิกกองทุนน้ำมัน เลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันลดลงทันทีลิตรละ 7-8 บาท (ชั่วคราว) และทีเด็ดก็คือ นโยบายจำนำข้าว จากนโยบายดังกล่าวได้สร้าง “จิตวิทยาเทียม” ที่สำคัญคือ การ “สร้างรายได้เทียม” และจากนโยบายเหล่านี้ได้กลายเป็นปัจจัยทำให้สินค้าขึ้นราคาล่วงหน้ากันไปพรวดพราด โดยเฉพาะการอ้างของภาคขนส่งที่เป็นต้นตอของต้นทุนสินค้าหลังจากปล่อยให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นราคาไปทะลุลิตรละ 30 บาทอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งในตอนนั้นทุกภาคสวนล้วนใช้เป็นข้ออ้าง เป็นข้อตกลงว่าต้องปรับขึ้นราคาใหม่ แม้ว่าต่อมาจะมีการควบคุมราคาน้ำมันดีเซลให้กลบมาไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาทก็ตาม แต่ราคาสินค้าและค่าขนส่งก็ไม่ได้ลดลงตามมาด้วย
จนกระทั่งล่าสุดมีการปรับขึ้นราคาพลังงานอย่างก๊าซหุงต้มอีกกิโลกรัมละ 50 สตางค์ และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ก็จะปรับเพิ่มขึ้นไปอีกกิโลกรัมละ 50 สตางค์ นี่ยังไม่นับเรื่องการปรับราคาค่าไฟฟ้าอีก 7 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งการขึ้นราคาพลังงานแบบนี้แหละที่เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้มีการปรับราคาสินค้าแพงขึ้นโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคแพงขึ้นโดยอ้างต้นทุนดังกล่าว ที่สำคัญสินค้าในหมวดอาหารทั้งประเภทจานด่วนและไม่ด่วนทั้งหลายล้วนเขียนป้ายปรับราคาใหม่กันหมดแล้ว มีหลักฐานปรากฏ ไม่ใช่ “คิดไปเอง” แน่นอน
ความผิดพลาดที่เห็นได้ชัดจากนโยบายรถคันแรก เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลายเป็นว่าผลออกมาในทางตรงกันข้าม ทำให้เศรษฐกิจชะงัก คนไม่จับจ่ายเพิ่ม เพราะหมดเงินไปกับค่างวดรถยนต์ อีกทั้งยังก่อให้เกิดหนี้ครัวเรือน และหนี้เสียตามมา ส่วนนโยบายจำนำข้าวก็ทำให้รัฐขาดทุนอย่างมหาศาลตัวเลขล่าสุดที่เพิ่งเผยออกมาจากประธานอนุกรรมการปิดบัญชีของกระทรวงการคลัง รองปลัดสกระทรวงการคลัง สุภา ปิยะจิตติ ที่ระบุว่าขาดทุนรวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันได้ทำลายคุณภาพข้าวและการส่งออกย่อยยับป่นปี้
ขณะเดียวกัน ราคาสินค้าเกษตรตัวอื่นกลับราคาตกต่ำทุกรายการ จนเกิดการประท้วงให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรชาวสวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน หรือตอนนี้ก็เป็นพวกเกษตรกรปลูกข้าวโพดทางภาคเหนือที่กำลังประท้วงปิดถนน ปิดศาลากลาง เพื่อกดดันให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามาช่วยเหลืออย่างจริงจัง
จากรายงานและสรุปตัวเลขการส่งออกล่าสุดของกระทรวงพาณิชย์ก็ต้องยอมรับว่าการส่งออกในปีนี้จะต้องลดเป้าลงมาอีกจากเดิมที่คาดว่าจะโตกว่าร้อยละ 7 ก็จะเหลือแค่ร้อยละ 4 เท่านั้น และมีแนวโน้มลดลงมาอีก เพราะยังไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดคู่ค้าของไทยทุกประเทศยังไม่ฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง และที่สำคัญที่จะผ่านไปไม่ได้ก็คือ “สินค้าไทยมีราคาสูงกว่าคู่แข่ง” อันเนื่องมาจากต้นทุนสูง สูงมาจากอะไรก็มาจากนโยบายประชานิยมมักง่ายไงล่ะ
นี่คือความล้มเหลวที่เกิดขึ้น สร้างความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นกับคนไทยโดยไม่จำเป็นต้องเลือกว่าใส่เสื้อสีอะไร แต่ภายใต้ความล้มเหลวดังกล่าวกลับไปสร้างความร่ำรวยให้กับ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวรวมไปถึงคนใกล้ชิดเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น อย่างไรก็ตามก็ยังตั้งคำถามกับคนไทยบางกลุ่มที่ยังไม่ลืมหูลืมตาสนับสนุน คนในครอบครัวนี้อยู่ได้ เพราะสิ่งที่กำลังดำเนินการอยู่ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มา ส.ว.เพื่อสร้าง “สภาผัวเมีย” สร้างสภาผู้แทนสาขาสองให้กลายเป็น “สภาทาส” ในปีหน้า ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่อง “ส่วนตัว” ทั้งสิ้น ชาวบ้านไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ทั้งที่รัฐบาลห่วยแตก
และหากเป็นความคิดและฝีมือของ ทักษิณ ที่อยู่เบื้องหลังเมื่อผลออกมาแบบนี้ถือว่า มันแสนห่วย-โคตรกระจอก นี่แค่สองปียังเป็นแบบนี้ เวลาที่เหลือจะเป็นอย่างไร ลองหลับตานึกภาพเอาเองก็แล้วกัน!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น