1.
คณะแพทย์ ขอ “ในหลวง”ทรงงดพระราชกิจ หลังทรงอ่อนเพลีย-เจ็บพระชานุ ด้าน รพ.ศิริราช
เลื่อนเปิดสถาบันการแพทย์ฯ !
|
เมื่อวันที่ 29 ม.ค. สำนักพระราชวัง
ออกแถลงการณ์ว่า คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรายงานว่า พระองค์ทรงมีพระปรอทต่ำๆ ในบางช่วงเป็นเวลา 1 สัปดาห์
เสวยได้น้อยลง และทรงมีพระอาการอ่อนเพลีย คณะแพทย์ได้ถวายตรวจพระวรกายทุกวันตั้งแต่ทรงมีพระปรอท
ไม่พบอาการเจ็บที่พระวรกาย การเต้นของพระหทัยเป็นปกติ
การหายพระทัยเร็วกว่าธรรมดาเล็กน้อย ความดันพระโลหิตปกติ การถวายตรวจพระอุระปรากฏว่า
เป็นปกติ ผลการตรวจพระบังคนเบาและพระบังคนหนักเป็นปกติ
ต่อมา วันที่ 30
ม.ค. ทรงมีอาการเจ็บพระชานุ(เข่า)
เมื่อเคลื่อนไหว แพทย์ได้ถวายตรวจและพบว่า พระชานุทั้งสองข้างบวมอักเสบ จึงได้ขอพระราชทานถวายตรวจพระโลหิตเพื่อหาสาเหตุของพระอาการผิดปกติดังกล่าว
ผลตรวจพระโลหิตไม่ได้แสดงว่ามีอาการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
จึงได้ถวายพระโอสถเสวย รักษาอาการอักเสบของพระชานุ ทั้งนี้ ทรงบรรทมได้
แต่ยังเสวยพระกระยาหารได้น้อยกว่าปกติ และยังทรงมีพระอาการอ่อนเพลีย คณะแพทย์จึงกราบบังคมทูลขอให้ทรงงดพระราชกิจสักระยะหนึ่ง
ด้าน ศ.คลินิก
นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
กล่าวหลังสำนักพระราชวังออกแถลงการณ์พระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ต้องของดกำหนดการซ้อมใหญ่พิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงอุ้มสมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ และสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช
ในวันที่ 30 ม.ค. รวมทั้งวันที่ 1 ก.พ.ที่ตามหมายกำหนดการ
เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ มาทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ และสถาบันการแพทย์ฯ
ก็ต้องงดไว้ก่อน โดยคณะแพทย์ต้องการให้พระองค์ทรงพักผ่อนอย่างเต็มที่
ส่วนจะมีพิธีเปิดในวันใด ต้องรอดูพระอาการของพระองค์ต่อไป
2. ศาล รธน.มีมติ
6 : 3 “วราเทพ” ไม่ขาดคุณสมบัติ
รมต. เหตุไม่เคยถูกจำคุกจริง ด้านเจ้าตัว รีบขอบคุณตุลาการเสียงข้างมาก-นายกฯ
|
เมื่อวันที่ 1 ก.พ.
ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยคดีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของนายประสาร
มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา และคณะรวม 24 คน
ที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 และ 92 ขอให้ศาลวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายวราเทพ รัตนากร
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 182 (3) และ (5) ประกอบมาตรา
174 (5) หรือไม่
เนื่องจากนายวราเทพพ้นโทษจำคุกในคดีหวยบนดินยังไม่ครบ 5 ปี
ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อปี 2552
ทั้งนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3
เสียง เห็นว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายวราเทพ
ไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 (3) และ (5)
ประกอบมาตรา 174 (5) เนื่องจากมาตรา
182 (3) และ (5) จะใช้ก็ต่อเมื่อรัฐมนตรีผู้นั้นดำรงตำแหน่งอยู่
และศาลมีคำพิพากษาตัดสินให้จำคุก แต่กรณีของนายวราเทพ ศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว
จึงค่อยมารับตำแหน่งรัฐมนตรี ขณะที่มาตรา 174 (5) จะใช้ในกรณีต้องโทษและให้มีการจำคุกจริง
แต่กรณีของนายวราเทพอยู่ระหว่างรอการลงโทษ(รอลงอาญา)
จึงไม่เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลง
สำหรับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย
3 คน ประกอบด้วย นายจรัญ
ภักดีธนากุล ,นายนุรักษ์ มาประณีต และนายอุดมศักดิ์
นิติมนตรี
ด้านนายวราเทพไม่ได้เดินทางมาฟังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยแต่อย่างใด
แต่ได้เผยความรู้สึกหลังทราบผลคำวินิจฉัย
โดยขอบคุณตุลาการเสียงข้างมากที่ได้วินิจฉัยเรื่องนี้ให้เป็นบรรทัดฐาน
ซึ่งจะทำให้การทำหน้าที่รัฐมนตรีของตนไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป “ขอบคุณตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากที่ยึดหลักการในเรื่องของการตีความรัฐธรรมนูญ
วินิจฉัยข้อขัดแย้งในรัฐธรรมนูญโดยตรงอย่างเคร่งครัด
และขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ได้กรุณาเลือกผมเข้ามาในตำแหน่งเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว โดยเชื่อมั่นว่าคุณสมบัติครบถ้วน” นายวราเทพ ยังอ้างด้วยว่า
กรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุกตนในคดีหวยบนดินนั้น
ไม่ได้เป็นเรื่องการทุจริต แม้จะมีข้อกล่าวหาว่าทุจริตก็ตาม
3. ตร.กองปราบฯ
บุกรวบตัว “กำนันเป๊าะ” คาด่านมอเตอร์เวย์
ย่านพัฒนาการ ด้านศาล ออกหมายรวมโทษจำคุก 30 ปี 4
เดือน!
|
เมื่อวันที่ 30 ม.ค. เวลา 11.00น.ตำรวจกองปราบปรามได้นำกำลังตำรวจคอมมานโด ชุดจู่โจม 30 นายพร้อมอาวุธครบมือเข้าปิดล้อมตรวจสอบรถยนต์ต้องสงสัยยี่ห้อเลกซัส
รุ่นอาร์เอ็กซ์ 270 สีดำ ทะเบียน ฎฎ 9579 กรุงเทพมหานคร ที่กำลังขับเข้ามายังด่านเก็บค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์
กรุงเทพฯ -ชลบุรี ขาออก เขตลาดกระบัง กทม. หลังสืบทราบว่า รถคันดังกล่าวมีนายสมชาย
คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ บิดานายสนธยา คุณปลื้ม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาเมื่อวันที่ 14
มี.ค.2555 ข้อหาร่วมกันใช้
จ้างวานให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อยู่ภายในรถด้วย
จากการตรวจค้น
พบมีผู้อยู่ในรถรวม 4 คน ประกอบด้วย คนขับ ,นายวินัย พ้นภัยพาล กำนัน ต.เสม็ด
อ.เมือง จ.ชลบุรี ,นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ
และแพทย์ประจำตัวของนายสมชาย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้แสดงหมายจับ
ก่อนนำตัวทั้งหมดไปทำบันทึกการจับกุมที่กองปราบฯ
ซึ่งนายสมชายไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด
แต่มีสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัดและไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
นอกจากนี้ภายในรถ
ยังพบถุงใส่กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 6 นัด ซุกซ่อนอยู่ใต้เบาะที่นั่งคนขับ ซึ่งนายวินัย บอกว่า เป็นกระสุนที่หลงเหลือ ตกหล่นอยู่ในรถนานแล้ว ตนลืมนำออกมา
และไม่ได้นำไปใช้ก่อเหตุใดใด ส่วนบริเวณกระโปรงหลังรถ
เจ้าหน้าที่พบถุงยาจำนวนหนึ่งของโรงพยาบาลสมิติเวช สาขาศรีนครินทร์
และใบเสร็จค่ายาในชื่อ “นายกิม แซ่ตั้ง”
ด้าน พล.ต.ต.สุพิศาล
ภักดีนฤนาถ ผู้บังคับการกองปราบปราม บอกว่า
จะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลดังกล่าวว่า
นายสมชายได้เดินทางเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยครั้งแค่ไหน
รวมทั้งจะตรวจสอบประวัติคนไข้ที่ชื่อ นายกิม แซ่ตั้ง ซึ่งคาดว่าเป็นชื่อปลอมของนายสมชายที่ใช้ในการเข้ารักษาพยาบาลด้วย
ขณะที่ พ.ต.อ.อธิป
แท่นนิล ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการปราบปราม เผยว่า
การจับกุมนายสมชายได้ครั้งนี้ เนื่องจากมีประชาชนให้เบาะแสกับ
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางว่า นายสมชาย
ยังคงหลบหนีอยู่ในประเทศไทยและใช้ชีวิตตามปกติ แม้จะถูกศาลออกหมายจับก็ตาม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จึงสั่งให้ พล.ต.ต.สุพิศาลและตนลงพื้นที่ตรวจสอบ
และพบว่านายสมชายอยู่ในบ้านพักชื่อบ้านแสนสุข ที่ จ.ชลบุรี
จึงเฝ้าติดตามมาประมาณ 2 เดือน กระทั่งวันดังกล่าวนายสมชายเดินทางเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวช
เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าติดตามจึงวางแผนเข้าจับกุม
ทั้งนี้
หลังทำบันทึกการจับกุมแล้ว ตำรวจคอมมานโด กองปราบปราม
ได้นำตัวนายสมชายไปยังศาลอาญา จากนั้นศาลได้ออกหมายจำคุกนายสมชายคดีใช้จ้างวานฆ่านายประยูร
สิทธิโชติ หรือกำนันยูร เมื่อปี 2546 แต่จำเลยหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่
12 มี.ค.2555 โดยให้จำคุกนายสมชายเป็นเวลา
25 ปี บวกโทษจำคุกคดีทุจริตซื้อที่ดินกำจัดขยะ
ต.เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี ที่ศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาจำคุก 5 ปี 4 เดือน รวมจำคุกนายสมชาย 30 ปี 4 เดือน จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายสมชายขึ้นรถตู้ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
โดยมีหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกรมราชทัณฑ์มาอารักขาด้วยปืนยาวอัตโนมัติ เอชเค 33
ร่วมกับรถกองปราบปราม เพื่อป้องกันการแย่งชิงตัว
ด้านนายทวี
ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา บอกว่า นายสมชายไม่สามารถขอประกันตัวได้
เพราะคดีของนายสมชาย ศาลฎีกาพิพากษาแล้ว จึงถือว่าคดีถึงที่สุดแล้ว
ส่วนท่าทีของนายสนธยา
คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บุตรชายนายสมชาย หรือกำนันเป๊าะ
ต่อกรณีที่บิดาถูกจับนั้น นายสนธยา บอกว่า ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ยืนยันว่า จะไม่นำตำแหน่งรัฐมนตรีไปแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่
พร้อมเชื่อว่า การจับกุมบิดาตนไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
และจะไม่กระทบต่อตำแหน่งรัฐมนตรีของตน
4. ASTVผู้จัดการ
ออกแถลงการณ์ยันทำหน้าที่ต่อ แม้เป็นสื่อที่ถูกคุกคามหนักสุดในประวัติศาสตร์
ด้าน “เฉลิม” ปัด
เอี่ยวคนร้ายยิงรถข่าว ASTV!
|
ความคืบหน้ากรณีคนร้ายลอบยิงรถข่าว ASTV จำนวน 4
คัน และยิงใส่อาคารอนุรักษ์ ซึ่งเป็นสำนักบริหารของ ASTV
ด้วย โดยกล้องวงจรปิดของบ้านเจ้าพระยา
สามารถจับภาพชายต้องสงสัยได้ 1 ราย ขณะที่
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล บอกว่า เบื้องต้นมองสาเหตุกว้างๆ
ทั้งเรื่องความขัดแย้งส่วนตัว การสร้างสถานการณ์ หรือมือที่สาม พร้อมยืนยัน
จะจับคนก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้นั้น
ปรากฏว่า
เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ASTVผู้จัดการ
ได้ออกแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สรุปความว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุข่มขู่คุกคาม
ASTVผู้จัดการ เพราะนับตั้งแต่ก่อตั้ง ASTVผู้จัดการมา ได้เผชิญกับการช่มขู่คุกคามมาโดยตลอด เช่น
สมัยที่ผู้จัดการเพิ่งก่อตั้ง
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเป็นสื่อเดียวที่กล้าเปิดโปงอิทธิพลอำนาจเถื่อนของเจ้าพ่ออย่าง
แคล้ว ธนิกุล ที่ใหญ่คับฟ้า กระทั่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกแคล้วสั่งให้เข้าพบ
เพื่อให้ยุติการเสนอข่าว เมื่อสนธิปฏิเสธ
ทำให้ถูกข่มขู่คุกคามหมายเอาชีวิตในเวลาต่อมา หรือแม้แต่ช่วง “พฤษภาทมิฬ” ปี 2535 หนังสือพิมพ์ผู้จัดการก็เป็นสื่อที่กล้าต่อสู้กับเหล่าเผด็จการ
ด้วยการนำเสนอความจริงยืนหยัดกับประชาชนที่ถูกปิดหูปิดตา
กระทั่งปี 2548
เรื่อยมาถึงปัจจุบัน
เมื่อผู้จัดการเข้าร่วมกับมวลชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อสู้กับรัฐบาลทักษิณ
ทั้งเปิดโปงเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน การรวบอำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ทับซ้อน ASTVผู้จัดการ ก็ถูกข่มขู่คุกคามต่างๆ นานา ทั้งสำนักงานถูกปาระเบิด
ถูกยิงด้วยอาวุธสงคราม M79 เรียกได้ว่า ASTVผู้จัดการเป็นสื่อเดียวในประเทศไทยที่ถูกอาวุธสงครามยิงถล่มหนักที่สุดในประวัติศาสตร์
มาถึงวันนี้ ASTVผู้จัดการ ได้พิสูจน์ให้สังคมประจักษ์แล้วว่า
หากเป็นเรื่องที่ถูกต้องและทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แล้ว ASTVผู้จัดการ พร้อมเสมอ ไม่หวาดหวั่นต่อการคุกคาม แม้แต่กระสุน 200 นัด ที่ตั้งใจจะฆ่าสนธิ
ตั้งใจจะหยุด ASTVผู้จัดการ ก็ไม่สามารถหยุดได้
แถลงการณ์ ASTVผู้จัดการ ยังระบุด้วยว่า นอกจากการข่มขู่คุกคามจะทำอะไร ASTVผู้จัดการไม่ได้แล้ว ASTVผู้จัดการ
ยังจะเดินหน้าทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์แบบตามที่ควรจะทำต่อไป เพราะ ASTVผู้จัดการไม่ใช่ขี้ข้าใคร ไม่ได้มีวันนี้เพราะพี่ให้ หรือใครให้
แต่เป็นสื่อของประชาชน
ด้านนายจิตตนาถ
ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือ ASTVผู้จัดการ
พูดถึงคนที่น่าจะอยู่เบื้องหลังกรณีลอบยิงรถข่าว ASTV โดยมั่นใจว่า
ไม่ใช่ฝีมือทหาร เพราะทหารแม้จะชอบแสดงพลังเอาใจนาย แต่ก็ต้องดูสัญญาณจากนาย
ซึ่งเรื่องราวระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กับASTVผู้จัดการ จบไปแล้วอย่างลูกผู้ชายทั้งสองฝั่ง “แต่งานนี้คนที่น่าสงสัยคือ “ไอ้ปื๊ด” ลูกน้องผู้มีอิทธิพลมากกว่า
ไม่รู้จะใช่คนเดียวกับสมัยคลับทเวนตี้หรือไม่
ตอนนี้ไอ้ปื๊ดคงเปลี่ยนนายใหม่แล้ว รู้แต่ว่าตอนนี้ไอ้ปื๊ดคอยคุมเด็กแว้นอยู่
ว่ากันว่านายไอ้ปื๊ดใหญ่สุดๆ ชั่วโมงนี้ ยอมเป็นขี้ข้าคนคนเดียว
แต่อยู่เหนือคนเกือบทั้งประเทศ ผมว่าระดับ ผบ.ตร.หรือ
ผบช.น.ยังไม่กล้าหือละกัน”
เป็นที่น่าสังเกตว่า
หลังซีอีโอเครือ ASTVผู้จัดการ สงสัย “ไอ้ปื๊ด” อยู่เบื้องหลังลอบยิงรถข่าว ASTV
ปรากฏว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ร้อนตัว
รีบออกมาปฏิเสธว่า ตนไม่ได้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ลอบยิงรถข่าว ASTV เพราะตนกับสนธิเป็นเพื่อนรักกัน ตนไม่เคยคิดร้ายกับนายสนธิ “ผมยืนยันไม่เคยคิดร้ายกับนายสนธิ ถ้าพรรคพวกนายสนธิคิดแบบนั้นคิดผิด
และสนธิก็รู้ว่าผมเป็นคนขี้ปอดขี้กลัวจะตาย ไปไหนมาไหนกลัว ไม่ใจร้ายหรอกผม
จริงๆ หนูไปบอกสนธิจากเพื่อนรักถึงเพื่อนรัก”
ขณะที่
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ออกมายืนยันเช่นกันว่า ทางกองทัพไม่ได้
เกี่ยวข้องกับกรณีลอบยิงรถข่าว
ASTV เพราะต่างคนต่างต้องเคารพซึ่งกันและกัน และที่ผ่านมาก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมย้ำว่า
ตนไม่สนับสนุนเรื่องการใช้ความรุนแรงในลักษณะนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่
29 ม.ค. เวลา 03.30น. พล.ต.ต.ฐิติราช
หนองหารพิทักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิชาญวัชร์
บริรักษ์กุล ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ได้จำลองสถานการณ์เพื่อหาวิถีกระสุนที่คนร้ายลอบยิงรถข่าว ASTV โดยนำอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งขาตั้งกล้อง เครื่องวัดองศา เลเซอร์
มาช่วยคำนวณหาวิถีกระสุน เพื่อดูว่าคนร้ายนั่งยิงหรือยืนยิง
พล.ต.ต.วิชาญวัชร์
เผยว่า กองพิสูจน์หลักฐานคาดว่าคนร้ายน่าจะใช้อาวุธปืนยิงมาจากบริเวณหน้าทางเข้าชุมชนตรอกเขียนนิวาสน์
ตรอกไก่แจ้ แต่อาจจะยิงมาจากบนรถยนต์ รถกระบะ ริมถนน หรือบนฟุตปาธ
ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น นอกจากนี้จากการตรวจสอบยังพบร่องรอยกระสุนปืน
7 นัด ซึ่งอาจจะเป็นปืนสั้นหรือปืนยาวก็ได้
ต้องให้เจ้าหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานก่อน โดยยังไม่สามารถตัดประเด็นใดทิ้งได้
5. “ราตรี”
พ้นคุกกัมพูชา-บินกลับไทยแล้ว เผย ดีใจได้อิสรภาพ แต่เสียใจที่ “วีระ” ยังถูกขัง
|
เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ซึ่งเป็นวันแรกจากทั้งหมด 7
วันของพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระนโรดม สีหนุ
อดีตกษัตริย์กัมพูชา ปรากฏว่า
ชาวกัมพูชาหลายแสนคนได้หลั่งไหลมาต้อนรับขบวนแห่พระศพสมเด็จฯ สีหนุ ณ
บริเวณปะรำพิธีชั่วคราว ท้องสนามหลวง ด้านข้างพระราชวังจตุรมุขมงคล
พระบรมมหาราชวังของกัมพูชาในกรุงพนมเปญ
ช่วงเย็นวันเดียวกัน(1
ก.พ.) น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์
เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ซึ่งถูกจำคุกอยู่ในกัมพูชาพร้อมกับนายวีระ
สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ หลังถูกศาลพิพากษาจำคุก 6 ปี และ 8 ปี
ในความผิดฐานรุกล้ำเขตแดนและโจรกรรมข้อมูลทางทหารของกัมพูชาเมื่อวันที่ 29
ธ.ค. 2553 ก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษในโอกาสสำคัญนี้พร้อมกับนักโทษรายอื่นๆ
อีกกว่า 400 คน ส่วนนายวีระไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ
แต่ได้รับการลดโทษ 6 เดือน
ทั้งนี้ น.ส.ราตรี
เผยความรู้สึกหลังได้รับการปล่อยตัวว่า ดีใจที่ได้รับอิสรภาพ
แต่เสียใจที่นายวีระยังคงถูกคุมขัง หลังได้รับอิสรภาพ
น.ส.ราตรีได้เดินทางกลับประเทศไทยในคืนวันเดียวกัน(1 ก.พ.)
โดยมีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติและสันติอโศกไปรอต้อนรับที่สนามบินสุวรรณภูมิประมาณ
200 คน น.ส.ราตรี บอกว่า ดีใจที่ได้กลับประเทศไทย
พร้อมขอบคุณประชาชนและเพื่อนๆ ที่มารอรับ พร้อมเผยว่า ความเป็นอยู่ในเรือนจำเขมรนั้นลำบาก น้ำหนักตนลงไป 5 กก. และว่า ก่อนเดินทางกลับมา
ไม่ได้คุยกับนายวีระ เพราะอยู่กันคนละแดน น.ส.ราตรี บอกด้วยว่า
สิ่งแรกที่อยากทำเมื่อมาถึงไทยแล้วก็คือ กลับไปกราบเท้าพ่อแม่
และพบญาติพี่น้อง พร้อมยืนยัน ตัวเองไม่ได้กระทำผิดแต่อย่างใด
เป็นที่น่าสังเกตว่า
ได้มีกลุ่มเพื่อนคนไทยที่เคยถูกจำคุกที่เรือนจำเปรยซอร์ของกัมพูชาพร้อมกับ
น.ส.ราตรีและนายวีระ มารอต้อนรับ น.ส.ราตรีที่สนามบินด้วย เช่น นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์, ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ผู้ประสานงานกองทัพธรรม น.ส.นฤมล จิตรวะรัตนา
และนายกิชพลธรณ์ ชุสนะเสวี
โอกาสนี้ ร.ต.แซมดิน
เผยว่า ตนได้พูดคุยกับนายวีระผ่านมารดาของนายวีระที่เดินทางไปเยี่ยมทุกสัปดาห์
และรับปากว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้นายวีระออกจากเรือนจำเปรยซอร์ให้ได้
ยืนยันว่า ทุกคนที่ถูกกัมพูชาจับกุมและควบคุมตัวไป
ไม่เคยรับว่ารุกล้ำเข้าไปในแผ่นดินกัมพูชา ไม่ว่าจะขั้นตอนใดก็ตาม
ไม่เคยยอมรับว่าทำผิด มีแต่รัฐบาลสมัยนั้นที่พูดอยู่ฝ่ายเดียวว่า ทั้ง 7
คนรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่กัมพูชา อย่างไรก็ตาม
ตนยืนยันที่จะปกป้องรักษาแผ่นดิน 4.6 ตร.กม.ต่อไป
ขอให้นายวีระสบายใจว่า มีคนไทยจำนวนหนึ่งสนใจดูแลผืนแผ่นดินนี้อยู่
ด้านนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่
น.ส.ราตรีได้รับการปล่อยตัวว่า ดีใจกับสิ่งที่หลายคนพยายามเรียกร้องและรอคอยมานาน
แต่ยังมีนายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติอีกคนที่ทุกคนต้องพยายามหาทางช่วยเหลือต่อไป พร้อมชี้ว่า เรื่องการปล่อยตัว
น.ส.ราตรีไม่ควรจะมีผลต่อคดีปราสาทพระวิหาร
เพราะไม่ได้มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่เป็นข้อพิพาท
ทั้งนี้ มีรายงานว่า
นายวีระให้สัมภาษณ์ที่กัมพูชาว่า รู้สึกดีใจกับ น.ส.ราตรีที่ได้รับการปล่อยตัว
ส่วนตนยืนยันจะใช้ช่องทางโอนตัวไปรับโทษต่อที่ประเทศไทย
และเรียกร้องให้รัฐบาลหาทางช่วยเหลืออย่างเต็มที่
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น