วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จาก ๒๕๐๕ 'คนขายชาติ' ถึง ๒๕๕๖ เปลว สีเงิน 9 February 2556


จาก ๒๕๐๕ 'คนขายชาติ' ถึง ๒๕๕๖



วันนี้ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ดิถีแมลงปอ จากเช้าถึง ๑๖.๕๑ น. ฤกษ์ดี มีมงคล ยิ่งยศ ยิ่งศักดิ์ มากมายด้วยคนรักแห่ห้อม ซ้ำเป็นวันไหว้ในเทศกาลตรุษจีน ผู้ใด-คิดอ่านการใด ฟ้าดินอวยชัยให้พร กราบเท้าบิดร-มารดาเป็นปฐมแห่งวัน เอาลิ้นดันเพดานสูดกลั้นหายใจให้ลึกสุด แล้วมะเส็งปีนี้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีอะไรมาชง จะบุกน้ำ-ลุยไฟ จะเริ่มต้นสิ่งใด สำเร็จได้เร็วไว รวยก็จะรวยผงาด ดั่งขนดนาคราชขัดบัลลังก์ชัย สู่ความยิ่งใหญ่ด้วยบารมี......ที่จะมีมาเอง
    ผ่านตรุษจีนนี่แล้ว เดือนหน้า วันที่ ๓ มีนา ก็เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ความจริงอยากเลือกให้มันเสร็จไปเร็วๆ ยิ่งนานผมยิ่งผอม เพราะต้องอ้วกทุกวันและทุกครั้งที่ดูข่าวผู้กระสันจะเป็น แต่ไม่ยอมตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเอง 
    วันๆ พกความหน้าด้าน เอาแต่แข่งกันโกหก พูดทุกเรื่องในเรื่องที่ทำไม่ได้ และพูดหลายร้อย-หลายพันเรื่อง ล้วนเป็นเรื่องนอกอำนาจ-หน้าที่ของคนเป็นผู้ว่าฯ กทม.!
    แต่กฎหมายบังคับว่า การไปเลือกตั้ง "เป็นหน้าที่" ฉะนั้น ผมก็ต้องไปใช้สิทธิ์ในฐานะคนเมืองเทวดา ส่วนจะเลือกเทวดา เลือกคน เลือกเสาไฟฟ้า เพื่อเป็นการเคารพสิทธิ์ในดุลยพินิจแต่ละท่าน ก็จะไม่บอกละว่า ในฐานะถูก "ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า" จะต้องไปกาบัตรใคร
    จากมีนาเลือกตั้ง ก็เมษา-สงกรานต์ ประเทศไทยมีนัดกับศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อวานซืน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาฯ ผู้ได้รับมอบเป็นทีมกฎหมายไปศาลโลกที่มีท่านทูต "วีรชัย พลาศรัย" เป็นตัวยืนอยู่แล้ว ได้นำทีมเดินทางไปอังกฤษ
    ไปติวเข้มกับที่ปรึกษาชาวต่างชาติอีก ๓ คนด้วย ส่วนนายสุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศไปด้วยหรือเปล่า จะบินหรือไม่บินตามไปสมทบ ผมก็ไม่ทราบ และไม่สนใจจะทราบ 
    ในเมื่อการแถลงด้วยวาจาเพื่อ "ปิดคดี" ครั้งนี้ ยังมีท่านทูตวีรชัยเป็น "ตัวยืน-ตัวหลัก" อยู่ ก็เชื่อใจได้ "สู้ตายคาเวทีกันไปข้าง" ไม่มีมวยล้มต้มคนดูแน่!
    ไหนๆ ก็คุยถึงเรื่องนี้แล้ว เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๕๖ โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ ได้เผยแพร่บทความของท่าน "ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์" อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ในเรื่อง "คนขายชาติ พ.ศ.๒๕๕๖" อ่านแล้วมือชา-ตีนชาไม่หาย และเมื่อหลายวันก่อน มีผู้ "ส่งต่อ" บทความนั้นมาให้ผมอ่านซ้ำอีก
    เรื่อง "คนขายชาติ พ.ศ.๒๕๕๖" ของท่านภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ ไม่ใช่เรื่องอ่านเอามัน แต่เป็นเรื่องอ่านเอาบ้าน-เอาเมือง วันนี้ ขออนุญาตทั้งโพสต์ทูเดย์ และทั้งท่านภุมรัตน์ นำเผยแพร่อีกสักครั้งเป็นการ "อุ่นเครื่องคนไทย" ก่อนถึงเมษา ก็หวังว่า ทั้งโพสต์ทูเดย์และท่านภุมรัตน์ มิคิดเป็นอื่นนะครับ
    คนขายชาติ พ.ศ.2556 
    • 24 มกราคม 2556/โพสต์ทูเดย์ออนไลน์
    โดย...ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    คดีปราสาทพระวิหารยังคงเป็นประเด็นร้อน ซึ่งคาดว่าศาลโลกจะมีคำตัดสินมาในช่วงปลายปีนี้ วันนี้จะพูดถึงเบื้องหลังที่เชื่อว่ามีส่วนที่ทำให้ไทยต้องเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลก ในความเป็นจริงของเวลานั้น เราสู้กับฝรั่งเศสไม่ใช่สู้กับเขมร เพราะเขมรเป็นเพียงมารับช่วงต่อจากฝรั่งเศสเท่านั้น 
    คดีที่จะเล่าต่อไปนี้ จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฝรั่งเศสโดยตรง เรียกว่า "คดีจารกรรมของฝรั่งเศสในประเทศไทย” ที่จารชนฝรั่งเศสล้วงตับไทยเอาไปให้เขมรสู้ในศาลโลก และมีส่วนสำคัญที่ทำให้ไทยแพ้คดี ในเมื่อคู่ต่อสู้รู้หมดว่าเราจะมาไม้ไหน จะสู้ในรูปแบบใด เขาดักทางได้หมด และเรามารู้ก็ต่อเมื่อสายไปเสียแล้ว
    คดีจารกรรมฝรั่งเศส ถือว่าเป็นคดีต่อต้านการจารกรรมที่หน่วยต่อต้านข่าวกรองของไทยในขณะนั้น ได้ทำได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดตั้งแต่มี "สิ่งบอกเหตุ” หรือ "สิ่งนำสืบ” นำไปสู่การ "สืบสวน” จนทำให้รู้ว่าใครคือ "สปอนเซอร์” ใครคือเจ้าหน้าที่สืบราชการลับ หรือเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของฝรั่งเศสที่มาทำงานคดีนี้ในไทย 
    โดยแฝงตัวมา หรือที่เรียกว่ามีการ "อำพรางอย่างเป็นทางการ” ด้วยการเป็นนักการทูตอยู่ในสถานทูตฝรั่งเศสประจำไทย เพื่อให้มีเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูต ใครคือ "สายลับหลัก” และ "สายลับปฏิบัติการ” ทั้งหมด มีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง จนได้หลักฐานเพียงพอและนำไปสู่การจับกุม ส่งฟ้องศาล และศาลตัดสินลงโทษจารชนที่เกี่ยวข้องทั้งไทยและฝรั่งเศสคนละหลายปี 
    เจ้าหน้าที่รู้เรื่องนี้ในครั้งแรกได้อย่างไร มีอะไรที่เป็นสิ่งบอกเหตุที่นำสืบต่อไป บางท่านบอกว่า จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นได้ปรารภว่า เวลาทูตฝรั่งเศสมาพบปะหารือข้อราชการ ทำไมทูตฝรั่งเศสรู้ตื้นลึกหนาบางของไทยดี ทั้งที่บางเรื่องเป็นการประชุมลับ หน่วยข่าวจึงต้องรับไปทำต่อ 
    อีกท่านหนึ่งบอกว่า มีผู้หวังดีแจ้งให้ทราบว่า ข้าราชการในทำเนียบนายกรัฐมนตรีบางคน ซึ่งมีการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยผิดปกติ จึงได้มีการขยายผลสืบสวน จนพบเครือข่ายจารกรรมฝรั่งเศสในประเทศ ซึ่งขยายตัวอย่างกว้างขวาง
    เจ้าหน้าที่ข่าวกรองฝรั่งเศส ซึ่งอำพรางตัวมาเป็น "เลขานุการโท” ในสถานทูตฝรั่งเศส เป็นผู้วางแผนปฏิบัติการทั้งหมด โดยใช้คนไทยเชื้อชาติฝรั่งเศส 2 คน คือ ยอนนา ชอง ปอล ปรั๊ก และ มิแชล ลามาช ซึ่งพูดภาษาไทยได้ โดยเฉพาะคนหลังเรียนที่โรงเรียนฝรั่งแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีเพื่อนฝูงเป็นคนไทยมากมาย เป็น "สายลับหลัก” จนนำไปสู่การ "รีครูต” ข้าราชการไทยในกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้องมาเป็น "สายลับปฏิบัติการ” คอยส่งความลับทางราชการให้ 
    ข้าราชการไทยที่ถูกจัดตั้งเป็นสายลับเท่าที่พิสูจน์ทราบได้มี 6 คน คนหนึ่งทำงานอยู่ในทำเนียบนายกรัฐมนตรี อีกคนทำงานอยู่กองกลาง กระทรวงมหาดไทย อีกคนทำงานอยู่ในสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีมหาดไทย อีกคนทำงานในสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย 
    มีตำรวจสองคน คนหนึ่งทำงานอยู่ฝ่ายสารบรรณ กรมตำรวจ และอีกคนเป็นเวรนำสาร ทั้งหมดล้วนเข้าถึงเอกสารลับของทางราชการทั้งสิ้น 
    สำหรับค่าตอบแทนที่ได้รับนั้น สายลับรายหนึ่งสารภาพภายหลังว่า ได้เดือนละ 1 หมื่นบาท ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมากในช่วงเวลานั้น เพราะผู้จบปริญญาตรีได้เงินเดือน เดือนละ 900 บาท 
    เมื่อส่วนราชการหนึ่งต้องส่งเอกสารลับในซองปิดผนึกไปยังอีกส่วนราชการหนึ่ง เช่น จากมหาดไทยไปทำเนียบฯ และกระทรวงต่างประเทศ หรือจากกรมตำรวจไปกระทรวงมหาดไทย ฯลฯ สายลับที่ทำหน้าที่นำสาร แทนที่จะส่งไปโดยตรง กลับนำไปมอบให้กับ มิแชล ลามาช ที่สวนลุมพินีบ้าง ที่ใกล้สถานทูตฝรั่งเศสบ้าง และรอคอยเอาคืนมา ซองเอกสารลับจะถูกเปิดในสถานทูต ถ่ายสำเนาไว้ และนำกลับคืนให้ผู้นำสารให้นำส่งต่อไปยังจุดหมาย โดยผู้รับไม่รู้เลยว่า ซองนี้ได้ถูกเปิดเรียบร้อยแล้ว ทำอย่างนี้เป็นประจำ! 
    เป็นที่น่าตกใจที่จากการตรวจสอบภายหลังการจับกุม พบว่า ในช่วงปี 2501-2508 สำเนาโทรเลขที่รับ-ส่งระหว่างกรุงเทพฯ กับสถานทูตไทยในต่างประเทศ ที่หลุดรั่วไปถึงฝรั่งเศสมีจำนวนไม่น้อยกว่า 576 ฉบับ ส่วนหนึ่งในนั้น เป็นความลับเกี่ยวกับท่าทีของไทยในการต่อสู้คดีเขาพระวิหาร 
    ทั้งนี้ ไม่รวมถึงเอกสารลับอื่นๆ อีกนับร้อยฉบับ ถือว่าเป็นความเสียหายอย่างร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย จึงไม่แปลกใจที่ว่า เวลาสถานทูตไทยในยุโรปได้รับคำสั่งให้ไปค้นหาเอกสารประวัติศาสตร์ที่หอสมุดแห่งชาติ ปรากฏว่าฝรั่งเศสเอาไปก่อนทุกครั้ง ซึ่งเวลานั้นเจ้าหน้าที่ไทยก็สงสัยว่า ทำไมหาเอกสารนี้ไม่เจอสักที เพิ่งมาถึงบางอ้อก็ต่อเมื่อคดีนี้ถูกเปิดเผย 
    คดีจารกรรมแบบนี้ จำนวนไม่น้อยที่ทางการมารู้ในภายหลัง เรียกว่ากว่าจะรู้ก็ช้าไปแล้ว ดังนั้น การสร้างจิตสำนึกด้านการรักษาความปลอดภัย จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะ รปภ.เป็นมาตรการป้องกัน ถ้าคนไทยช่วยกันเป็นหูเป็นตาคอยสอดส่อง พอเห็นอะไรผิดปกติก็รีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เหตุการณ์แบบนี้คงไม่เกิดขึ้น 
    ปี 2505 ไทยเสียปราสาทพระวิหารจากคดีจารกรรมฝรั่งเศส ที่มีจารชนเป็นคนไทยขายชาติ ในปี 2556 เราไม่ทราบว่า ไทยจะมีคนไทยขายชาติ ที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียดินแดนเพิ่มเติมอีกหรือไม่อย่างไร?
    วันนี้ ฝรั่งเศสและกัมพูชาไม่จำเป็นต้องสร้างจารชน (Secret Agents) เช่นในอดีต สิ่งที่ฝรั่งเศสและกัมพูชาน่าจะได้ไว้แล้ว เราเรียกว่า "สายลับอิทธิพล” (Agent of Influence) ที่ไม่จำเป็นต้องซุกซ่อนตัวเหมือนเช่นจารชน แต่เป็นคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในวงสังคม และอาจมีรูปและข่าวออกในหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง 
    บางคนอาจเป็นรัฐมนตรี หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่มีอิทธิพลในการกำหนด เปลี่ยนแปลงนโยบายที่อาจเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายตรงข้าม หรือแอบไปตกลงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับฝ่ายตรงข้าม โดยที่ประชาชนไม่รู้
    สายลับอิทธิพลน่ากลัวมากกว่าจารชนทั่วไป เพราะสายลับอิทธิพลสามารถผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายตรงข้ามได้ ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหายยิ่งกว่าการกระทำของจารชนเสียอีก 
    และเป็นการยากสำหรับหน่วยต่อต้านข่าวกรองในการสืบสวนจับกุม นอกจากให้สังคมแซงก์ชัน วันนี้ ท่านผู้อ่านพอจะมองเห็นคนไทยที่เป็นสายลับอิทธิพลให้กับฝรั่งเศสและกัมพูชา หรือให้กับชาติอื่นบ้างไหม? 
    ผลของคดีปี 2556 จะซ้ำรอยกับปี 2505 เพราะมีคนไทยขายชาติ หรือคนไทยหัวใจเขมรหรือไม่อย่างไร?
     ครับ..."คนขายชาติ พ.ศ.๒๕๕๖" จบตรงนี้ แต่การสู้คดีในเรื่องเดิม...ยังไม่จบครับ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น