มติชสุดสัปดาห์ ฉบับ 14-20 กันยายน 2555
เห็นทีสงครามสนามไชย จะยังไม่จบง่ายๆ เสียแล้ว...
บรรยากาศในกลาโหมกำลังเต็มไปด้วยความอึมครึม การแบ่งข้างแบ่งฝั่ง หวาดระแวง หวาดหวั่น พร้อมใบปลิวบัตรสนเท่ห์ ที่ปลิวว่อนกลาโหม
เมื่อฝ่ายหนึ่งฟ้องศาลปกครอง อีกฝ่ายหนึ่ง ก็แฉขบวนการที่ลากยาวไปถึงนายทหารลูกน้อง จนถึงขั้นมีการฟ้องร้องต่อ ป.ป.ช. ให้สอบสวนการทุจริต เพื่อดิสเครดิตกัน
ที่หนักกว่านั้นคือ เกิดความแตกแยก หวาดระแวงกันเอง ว่า ใครจะเป็นไส้ศึก เป็นสายลับ สายข่าวของอีกฝ่ายหนึ่ง จนทำให้นายทหารอากาศในสำนักปลัดกลาโหม อยู่อย่างลำบาก เพราะถูกสงสัยว่าจะคาบข่าวไปบอกฝ่าย รมว.กลาโหม
ทหารอากาศบางนาย ถูกส่งตัวกลับสังกัดเดิมเลยทีเดียว
แม้ว่า บิ๊กเปี๊ยก พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม ที่ถูก บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.กลาโหม ปี 2551 มาตรา 24 ย้ายไปช่วยราชการสำนัก รมว.กลาโหม จะมั่นใจว่า ศาลปกครอง จะรับพิจารณาคดี และให้ทุเลาคำสั่งโยกย้าย คุ้มครองฉุกเฉิน เพื่อกลับไปทำหน้าที่ปลัดกลาโหม และทวงคืนอำนาจในการจัดโผทหารต่อ จนหวั่นกันว่า โผทหารจะต้องรื้อกันใหม่ และล่าช้า ก็ตาม
แต่รอแล้วรอเล่า ศาลปกครอง ที่มีองค์คณะ 3 ท่าน ก็ยังไม่มีหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการว่าตัดสินว่าอย่างไร ทั้งๆ ที่ทนายความฝ่าย พล.อ.เสถียร กระซิบนักข่าวว่า ศาลรับฟ้องและคุ้มครองแน่ แต่ก็คงมีแรงกดดันศาลจากหลายทาง
ด้วยเพราะมั่นใจในเอกสารหลักฐานประกอบการยื่นฟ้อง แย้งว่า ไม่ใช่คดีวินัยทหาร เนื่องจากในคำสั่ง 383/55 นั้น ไม่ได้ระบุว่า พล.อ.เสถียร ได้ทำความผิดวินัย แต่ระบุแค่ว่า "เพื่อให้การบริหารราชการในกระทรวงกลาโหม เป็นไปด้วยความเรียบร้อย"
รวมทั้งมีบันทึกการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายพล ที่มี พล.อ.อ.สุกำพล รมว.กลาโหม บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. และ พล.อ.เสถียร ปลัดกลาโหม เมื่อ 17 สิงหาคม 2555 ไว้ด้วย
ไม้เด็ดก็คือ มีเทปบันทึกเสียง คำสั่งการของ พล.อ.อ.สุกำพล ที่แทรกแซงการโยกย้ายของสำนักปลัดกลาโหม ด้วยการสั่งให้ พล.อ.เสถียร เสนอชื่อ บิ๊กเล็ก พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผช.ผบ.ทบ. เป็นปลัดกลาโหม จนเป็นที่มาของ "วิวาทะแห่งศักดิ์ศรี" ระหว่าง พล.อ.เสถียร กับ พล.อ.อ.สุกำพล อันนำมาซึ่งการที่ พล.อ.เสถียร ทำหนังสือร้องเรียนนายกรัฐมนตรี ประธานองคมนตรี และองคมนตรี
เพราะวิวาทะนี้ ที่ทำให้ พล.อ.เสถียร ต้องสบถกับลูกน้องแจงเหตุที่ทำให้เขาต้องดับเครื่องชนว่า "คนอย่างพี่มีศักดิ์ศรี เป็นนักรบ จะมาให้ใครมาพูดแบบนี้ไม่ได้ แล้วจะยึดหลักการที่ถูกต้อง ตายเป็นตาย"
แต่ฝ่ายนายทหารพระธรรมนูญของ พล.อ.อ.สุกำพล ยื่นแย้งว่า บันทึกการประชุมเป็นเท็จ เพราะไม่ได้มีการลงนามรับรองจากประธานที่ประชุมคือ รมว.กลาโหม เพราะตามหลักการแล้ว บันทึกการประชุมจะต้องให้มีการลงนาม
อีกทั้งการแอบบันทึกเสียง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการหรือที่ประชุม ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และพบว่า มีการตัดต่อเสียงบางส่วนบางตอน เพื่อมาใช้ประโยชน์เท่านั้น และถือว่า จงใจที่จะอัดเสียง มีการวางแผนมาแล้ว พร้อมทั้งแย้งว่า สิ่งที่ พล.อ.อ.สุกำพล พูดนั้น เป็นแค่ "ข้อหารือ" ไม่ใช่ "การสั่งการ"
ที่สำคัญ ฝ่าย พล.อ.อ.สุกำพล พบว่า เอกสารในการยื่นคำร้องของ พล.อ.เสถียร พบว่า ลายเซ็นในบางจุด ไม่ใช่ลายเซ็นของ พล.อ.เสถียร หรือเรียกว่าลายเซ็นปลอม ไม่ว่าจะมีใครเซ็นแทน หรือเป็นการรีบเร่งในการยื่นฟ้องก็ตาม แต่ก็ถือว่าจงใจยื่นเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาล ซึ่งถือว่ามีความผิดร้ายแรง
นี่เองที่ทำให้ พล.อ.อ.สุกำพล มั่นใจว่า ศาลจะต้องตรวจสอบเรื่องหลักฐานเท็จ และอาจยกคำร้อง หรือให้คำร้องเป็นโมฆะ
ไม่แค่นั้น ยังมีการนำคำสั่งในการตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดวินัยของ พล.อ.เสถียร และ บิ๊กกี๋ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกลาโหม และ บิ๊กหน่อง พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา มาแสดงต่อศาลด้วย
เพราะก่อนที่ พล.อ.อ.สุกำพล จะลงนามในคำสั่งให้มาช่วยราชการนั้น ทาง บิ๊กกุ้ง พล.อ.วรวิทย์ ชินะนาวิน เลขานุการ รมว.กลาโหม ได้ทำหนังสือตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ ก่อนแล้ว จากนั้นในวันที่ 27 สิงหาคม จึงมีคำสั่งย้ายให้มาช่วยราชการ และคำสั่งมอบหมายงานให้รับผิดชอบ ดังนั้น ศาลปกครองจึงไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับวินัยทหาร
โดยคำสั่งเหล่านี้ไม่ได้มีการเปิดเผยต่อสาธารณชน ในเบื้องแรก เพราะเป็นเรื่องภายใน แต่ได้มีการนำมาเป็นหลักฐานต่อศาลปกครองครบหมดทุกคำสั่งแล้ว
ความผิดอีกกระทงของ พล.อ.เสถียร คือ การทำหนังสือจากกลาโหม โดยไม่ได้มี รมว.กลาโหม เจ้ากระทรวงลงนามไปถึงนายกรัฐมนตรี ประธานองคมนตรี ถือว่าผิดขั้นตอน เพราะไม่ว่าหนังสือใดๆ จะต้องให้ รมว.กลาโหม ลงนามก่อน ซึ่งอาจเพราะลืมหรือจงใจข้ามขั้นตอน
"พล.อ.อ.สุกำพล ท่านใจดี ยังไว้หน้า ท่านสั่งตอนร่างคำสั่งว่า อย่าไปเขียนแรง ต้องให้เกียรติ เพราะ พล.อ.เสถียร เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เลยไม่ได้ระบุในคำสั่งว่า ได้กระทำความผิดวินัยทหาร ซึ่งผลสอบสวนคือ ผิด เพราะแค่กล่าวอาฆาตมาดร้ายผู้บังคับบัญชาก็ผิดวินัยแล้ว แต่นี่เอาความลับทางราชการ ความลับการแต่งตั้งโยกย้าย ออกมาเปิดเผยก่อนที่จะมีโปรดเกล้าฯ ลงมา ถือว่าผิด และยังทำให้เกิดความแตกแยกภายใน และสร้างความเสียหายอย่างมิบังควร" บิ๊กอู๊ด พล.อ.วิทวัส รัชตะนันทน์ รองปลัดกลาโหม และรักษาการปลัดกลาโหม เผย
ไม่แค่นั้น พล.อ.อ.สุกำพล ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พร้อมกันด้วย โดยให้ 4 จอมพล ของ 4 เหล่าทัพ เป็นคณะกรรมการ โดยมี พล.อ.อ.สุปรีชา กมลาศน์ฯ ประธานที่ปรึกษา บก.กองทัพไทย เพื่อน ตท.10 ของ พล.อ.อ.สุกำพล เป็นประธาน ร่วมด้วย บิ๊กเล็ก พล.อ.ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม ประธานที่ปรึกษา ทบ. เพื่อน ตท.11 ของ พล.อ.เสถียร พล.อ.ทนงศักดิ์ และ พล.อ.วิทวัส มี บิ๊กหมวย พล.ร.อ.อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ (ตท.12) ประธานที่ปรึกษา ทร. และ บิ๊กใหญ่ พล.อ.อ.พิธพร กลิ่นเฟื่อง ประธานที่ปรึกษา ทอ. เพื่อน ตท.10 ของบิ๊กโอ๋ ด้วย
"แต่คณะกรรมการนี้ ได้หยุดดำเนินการไว้ก่อน เมื่อ พล.อ.เสถียร ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพราะไม่อาจเรียก พล.อ.เสถียร มาสอบสวนได้ และเรียกก็คงไม่มา" พล.อ.วิทวัส แจง
นี่เป็นเหตุผลที่ พล.อ.อ.สุกำพล ได้ไปชี้แจงให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและเพื่อน ตท.10 รับทราบถึงเซฟเฮ้าส์ ที่เป็นอพาร์ตเมนต์ ที่ลอนดอน เมื่อ 8-9 กันยายนที่ผ่านมา
และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจทูลเกล้าฯ โผทหาร หลังจากที่ พล.อ.อ.สุกำพล กลับมาเมื่อ 10 กันยายน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่กล้าแตะ เพราะรอคำสั่งศาลปกครองเสียก่อน
แต่เมื่อมีข่าววงใน ถึงแนวโน้มการตัดสินของศาลปกครอง ที่คงต้องดูเรื่องผลกระทบที่จะตามมา ทั้งข้อดีข้อเสียแล้ว เพราะหากรับฟ้อง อีกหน่อยทหารก็จะฟ้อง "นาย" กันนัว และส่งผลต่อโผทหาร แต่หากไม่รับฟ้องก็เท่ากับยืนยันอำนาจ รมว.กลาโหม ทั้งๆ ที่ พ.ร.บ.กลาโหม ต้องการป้องกันการเมืองแทรกโยกย้ายทหาร
รวมทั้งได้รับคำยืนยัน เรื่องความถูกต้องของการประชุมคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายทหารระดับนายพล ครั้งที่ 2 เมื่อ 5 กันยายน นั้น เป็นการประชุมสีขาว ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ และไม่มีผลย้อนหลัง หากศาลปกครองรับฟ้องคดีหรือ ให้ทุเลาคำสั่งย้าย
"ไม่ว่าคำสั่งศาลปกครองออกมาอย่างไร จะไม่มีผลต่อบัญชีรายชื่อโยกย้ายทหาร เพราะที่ประชุมซึ่งมีทั้ง รมว.กลาโหม ผบ.สส. ผบ.ทบ. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. มีมติร่วมกันว่า ไม่ต้องให้ พล.อ.เสถียร และผมเอง เข้าร่วมประชุม และองค์ประชุมครบ 2 ใน 3" พล.อ.วิทวัส กล่าว
อีกทั้งในการประชุมบอร์ด เมื่อ 5 กันยายน ก็ได้มีการรับรองบันทึกและผลการประชุม เมื่อ 17 สิงหาคม ที่ระบุว่า ผบ.เหล่าทัพซึ่งเป็นคณะกรรมการ ก็เห็นด้วยกับ "ข้อหารือ" ของ รมว.กลาโหม ในตำแหน่งปลัดกลาโหมคนใหม่
"พล.อ.อ.สุกำพล ท่านต้องทำ ต้องเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะปกครองกันไม่ได้ และจะเสียหาย ไม่ใช่ว่าผมอยากจะรักษาการปลัดกลาโหม นะ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมก็รักษาการมาหลายครั้ง ในเวลาที่ พล.อ.เสถียร ไม่อยู่ ไปต่างประเทศ" พล.อ.วิทวัส กล่าว
"แล้วเมื่อผมรักษาการปลัดกลาโหม ตั้งแต่ 27 สิงหาคม ก็ไม่ต้องห่วงว่าผมจะล้างบาง หรือกลั่นแกล้งลูกน้อง พล.อ.เสถียร เพราะก็ลูกน้องผมเหมือนกัน ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปี 2533 ผมรู้จักทุกคนดี ทุกคนเรียก พี่อู๊ดๆ ผมมีคุณธรรม จริยธรรม และคุณธรรมพอ" บิ๊กอู๊ด กล่าว
เหล่านี้ จึงทำให้ฝ่าย พล.อ.อ.สุกำพล รู้สึกว่าได้เปรียบ โดยเฉพาะเมื่อบินไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ลอนดอนมาด้วยแล้ว ก็ยิ่งโล่งใจ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ พล.อ.เสถียร ทำไป ทั้งๆ ที่เขาได้ขอร้องให้หยุดไปแล้ว
"นี่มันพวก "พพม." พังเพราะเมีย" ประโยคสั้นๆ จากปากนายใหญ่ที่ลอนดอน ที่เขาไม่อยากตำหนิอะไรมาก เพราะถือว่าเป็นพวกเดียวกัน
รวมทั้งบางประโยคของบรรดาหลังบ้าน ที่ฟันธงว่า หลังเกษียณ พล.อ.เสถียร จะมาเป็น รมว.กลาโหม จึงจะดัน พล.อ.ชาตรี มาเป็นปลัดกลาโหม เพื่อทำงานเป็นทีมเวิร์ก เพราะมั่นใจว่า เคลียร์ได้ แม้จะเป็น ตท.14 รุ่นน้อง ผบ.เหล่าทัพ ไม่เหมาะไปยืนหัวแถว หรือมีอายุราชการถึงปี 2558 ไม่จำเป็นต้องรอ ก็ตาม ก็ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่ายหน้า
ที่มากกว่านั้น การไปลอนดอนครั้งนี้ ไม่ใช่ไปพักผ่อนส่วนตัว คลายเครียดหลังจัดโผทหาร หรือศึกกลาโหม เท่านั้น แต่ พล.อ.อ.สุกำพล ต้องการไปเช็กเรตติ้งในสายตาเพื่อนแม้ว และทดสอบความมั่นคงของเก้าอี้ รมว.กลาโหม ของเขาเองด้วย
แต่ศึกครั้งนี้ แม้จะทำให้ภาพ พล.อ.อ.สุกำพล น่าเกรงขามมากขึ้น เด็ดขาดมากขึ้น แต่ก็เห็นชัดว่า เขาพยายามสงบปากสงบคำ ให้สัมภาษณ์น้อยลง และไม่มีรอยยิ้มชื่นหรือเสียงหัวเราะร่าให้ได้ยินเช่นเดิมอีกแล้ว เพราะเขาก็ไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น อะไรจะรออยู่เบื้องหน้า เพราะ พล.อ.เสถียร คงไม่หยุด แล้วเขาเองก็หยุดไม่ได้
แต่ต้องรอดูว่า จะมีปฏิกิริยาและความเคลื่อนไหวใด ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ และทำเนียบองคมนตรี ต่อกรณีนี้หรือไม่ เมื่อนายกรัฐมนตรี ทูลเกล้าฯ โผทหารไปแล้ว
แต่ไปๆ มาๆ ทริปด่วนลอนดอนครั้งนี้ กลับทำให้นายทหารดาวรุ่งในกลาโหม อย่าง บิ๊กหม่อม พล.อ.ม.ล.ประสบชัย เกษมสันต์ฯ และ บิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผอ.สำนักนโยบายและแผน ที่ได้ขยับขึ้น รองปลัดกลาโหม ทั้งคู่ ตกเป็นเป้าในการถูกโจมตี
ด้วยเพราะเป็นมือไม้ของ พล.อ.อ.สุกำพล ในการทำงานต่างๆ ในกลาโหม เพราะ พล.อ.ประสบชัย ก็ถือเป็นดาวรุ่งของ ตท.13 ที่มีผลงานจากการหาหลักฐานการหลีกเลี่ยงทหารของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่วน พล.อ.นิพัทธ์ ก็เป็นดาวรุ่งของ ตท.14 ที่ทำงานด้านการต่างประเทศ ชายแดน และอเมริกา ที่ถูกวางตัวไว้เป็นปลัดกลาโหมกันในอนาคตอันใกล้ เพราะมีอายุราชการถึงปี 2558 และ 2559
นี่จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไม พล.อ.ชาตรี จึงไม่อาจร้องเพลงรอ ให้ พล.อ.ทนงศักดิ์ เป็นปลัดกลาโหม 1 ปี แล้วรอเป็นต่อ เพราะรู้ว่า พล.อ.นิพัทธ์ เพื่อน ตท.14 ของเขาเอง ขยับขึ้นมาจ่อแล้ว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง เขาเกษียณ 2558 เรียกว่า ต่อคิวกันเป็นก็ได้
แต่เรื่องของอำนาจไม่เข้าใครออกใคร ไม่มีสัญญิงสัญญา ไม่มีอะไรแน่นอน พล.อ.ชาตรี จึงต้องสู้
จนทำให้เก้าอี้ปลัดกลาโหม ไม่เพียงสร้างตำนานร้าวของเพื่อนรัก ใน ตท.11 ระหว่าง พล.อ.เสถียร ที่ข้ามจากประธานที่ปรึกษา บก.ทัพไทย มาเป็นปลัดกลาโหม ตัดหน้า พล.อ.วิทวัส ลูกหม้อ เมื่อปีที่แล้ว จนมาถึงกรณี พล.อ.ทนงศักดิ์ ในครั้งนี้แล้ว ยังทำให้เกิดรอยร้าวใน ตท.14 ทั้ง พล.อ.ชาตรี พล.อ.พิณภาษณ์ กับ พล.อ.นิพัทธ์ อีกด้วยตท.14 เป็นรุ่นที่มาแรงและน่าจับตามอง เพราะจากการจัดทัพครั้งนี้ กำลังคุมสายงานสำคัญ โดยเฉพาะความมั่นคงและการวางแผนต่างๆ
นอกจาก พล.อ.นิพัทธ์ ขึ้นครองอัตราจอมพล เป็นรองปลัดกลาโหม แล้ว ยังมีการดัน พล.ต.ไพชยนต์ ค้าธัญเจริญ รอง ผอ.สนผ. เพื่อน ตท.14 ขึ้นเป็น ผอ.สนผ. แทน โดยที่ ทบ. มี บิ๊กโด่ง พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เปลี่ยนใจนาทีสุดท้าย ให้มาเป็น เสนาธิการทหารบก เพื่อที่จะให้เป็นเลขาธิการ กอ.รมน. เพื่อเตรียมทำงานสำคัญ เพื่อเตรียมเป็น ผบ.ทบ. คนต่อไป และมี บิ๊กโบ้ พล.ท.อักษรา เกิดผล ขยับเป็น รอง เสธ.ทบ. ทำงานด้านยุทธการและงาน กอ.รมน. ช่วยกันอีกด้วย
พล.อ.นิพัทธ์ กับ พล.ท.อุดมเดช ถือเป็นเพื่อนรักเพื่อนเลิฟกัน ที่จะทำให้การทำงานประสานงาน ทีมเวิร์ก และอาจจะขึ้นคุมกองทัพพร้อมกัน ยิ่งเมื่อเล็งไปจะเห็น บิ๊กแมว พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร น้องรักของ พ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมตัวที่จะเป็น เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพราะทางกองทัพเองก็อยากให้เลขาฯ สมช. เป็นทหารมากกว่าตำรวจ
แต่รุ่นที่ไม่อาจมองข้ามคือ ตท.13 ที่แน่นปึ้กเป็นเอกภาพ เพราะ บิ๊กจิน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผช.ผบ.ทอ. ขึ้นมาเป็น ผบ.ทอ.คนใหม่ พร้อมด้วยเพื่อนที่ขยับมาเป็นห้าเสืออากาศ ทั้ง บิ๊กเพิ่ม พล.อ.อ.เพิ่มเกียรติ ลวณะมาลย์ ที่ขึ้น รอง ผบ.ทอ. บิ๊กแป๊ะ พล.อ.ท.อารยะ งามประมวญ รอง เสธ.ทอ. ที่ขึ้นเป็น เสธ.ทอ. และฝ่ายตำรวจก็มี บิ๊กอู๋ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็น ว่าที่ ผบ.ตร.
ส่วนในห้าเสือ ทบ. มี บิ๊กอ๋อย พล.ท.จิระเดช โมกขะสมิต รอง เสธ.ทบ. ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. แต่ก็ไม่อาจลุ้นเป็น ผบ.ทบ. เพราะเกษียณ 2557 พร้อม พล.อ.ประยุทธ์
ส่วน บิ๊กบี้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ขยับจาก เสธ.ทบ. เป็น ผช.ผบ.ทบ. แม้ว่าจะเกษียณ 2558 แต่ก็คงไม่อาจสู้ พล.ท.อุดมเดช ที่โตมาในสายคอมแมนด์ ที่ขยับเป็น เสธ.ทบ. และจ่อเป็น ผบ.ทบ. ได้
ส่วนที่ ทร. นอกจากจะมี บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ เป็น ผบ.ทร. อยู่แล้ว ก็คาดกันว่า ผบ.ทร. คนต่อไป ในกันยายน 2556 ก็จะยังคงเป็น ตท.13 เนื่องจากยังเหลืออายุราชการอีกหลายปี
โดยเฉพาะทั้ง 3 คนที่ขึ้นมาอยู่ในห้าฉลาม ทั้ง บิ๊กต้อม พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง ที่คาดจะขยับครองอัตราจอมพล ประธานที่ปรึกษา ทร. บิ๊กต้อม พล.ร.อ.พลวัฒน์ สิโรดม ผช.ผบ.ทร. และโดยเฉพาะ บิ๊กเข้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รอง ผบ.ทร. แม้ว่าจะมี ตท.15 ที่พยายามแทรกขึ้นมา ทั้ง บิ๊กจุ๊ พล.ร.ท.ทวีวุฒิ พงศ์พิพัฒน์ และ บิ๊กตัน พล.ร.ท.ชัยณรงค์ เจริญรักษ์ ที่มีอายุราชการถึงปี 2558 ก็ตาม
แต่ที่แน่ๆ แม้แต่นายทหารรุ่นหลัง อย่าง ตท.28 ก็ยังถูกลากดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับศึกสายเลือด และการจัดทัพต่างๆ ในคราวนี้ด้วย
แต่ใครๆ ก็รู้ว่า สงครามนี้ไม่มีวันจบ และต้องติดตามตอนต่อไปด้วยใจระทึกพลัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น