วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"ไฮโซเพ็ญ" เจ้าแม่อสังหาฯ พันล้าน เผยวินาที "บู๊เดือด" ไม่ยอมโจรวิ่งราว เมื่อ 5 ส.ค.57



 "ไฮโซเพ็ญ" เจ้าแม่อสังหาฯ พันล้าน เผยวินาที "บู๊เดือด" ไม่ยอมโจรวิ่งราว
 

"ไฮโซเพ็ญ" เจ้าแม่อสังหาฯ พันล้าน เผยวินาที "บู๊เดือด" ไม่ยอมโจรวิ่งราว "ฟันนิ้ว-ทุบหน้า"

ไฮโซสาวสุดทนหลังจากโดนคนฉกชิงวิ่งราวฟันนิ้ว ชกหน้าและทำร้ายร่างกาย ริมถนนสาทร ในยามวิกาล ออกมาเรียกร้องให้ทางกรุงเทพมหานคร หามาตรการป้องกัน ด้วยการพิ่มแสงสว่างริมทางและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกวดขันเพิ่มมากขึ้น เพราะสถานที่เกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากสถานีตำรวจ เพื่อป้องไม่ให้เกิดขึ้นกับบุคคลอื่นอีก หลังจากไฮโซสาวบู๊เดือดจนโจรยอมปล่อยทรัพย์สิน 
เรื่องนี้ถูกเปิดเผยจากปาก"เพ็ญสุขสมบูรณ์วงศ์"  สาวไฮโซที่หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตา เป็นอย่างดี เธอคือ เจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์แห่ง Songland  เรียกว่าเป็นตัวแม่ที่ออกงานปาร์ตี้ แต่งตัวไม่ธรรมดาอลังการด้วยเครื่องเพชรหรูเริดแบบไม่ยอมเสียชื่อเจ้าของแบรนด์จิเวลรี่ Penn Collections 
"เพ็ญ สุขสมบูรณ์วงศ์" เปิดเผยกับประชาชาติธุรกิจ ถึงวินาทีที่ถูกวิ่งราวทรัพย์ริมถนนสาทร หน้าปากซอยสวนพลู เมื่อเที่ยงคืนวันที่ 29 ก.ค.  

 ว่า มีคนร้ายจำนวน 3 คน ขับขี่จักรยานยนต์ 2 คัน ขี่รถขึ้นมาบนฟุตบาทใช้มือตบหน้าจนเธอทรุดลงก่อนที่จักรยานยนต์อีกคันที่มีคนซ้อนท้ายจะคว้ากระเป๋าผ้า  kipling ของเธอไป หลังกลับจากไปเยี่ยมเพื่อนที่เพนท์เฮาส์ใกล้เคียง

"วินาทีนั้น ดิฉันรีบคว้ากระเป๋าคืน และยื้อแย่งกับคนร้าย เรียกว่าว่า ยื้อยุดกันไปไกลกว่า 50 เมตร ระหว่างนั้นคนร้ายก็ใช้มีดฟันดิฉัน โชคดีที่ดิฉันหลบทัน มีดจึงฟันลงที่นิ้ว แต่ดิฉันก็ยังไม่ยอมปล่อย และพยายามต่อรองกับคนร้ายว่า อยากได้เงินก็เอาไป (มีเงินในกระเป๋า 600 ดอลลาร์) แต่ขอเอกสารกับรูปถ่ายในมือถือคืน เพราะวินาทีนั้นไม่ได้งกทรัพย์สินในกระเป๋า แต่กลัวว่า คนร้ายจะตามไปหาญาติพี่น้องในรูปที่อยู่ในโทรศัพท์ และยังมีกุญแจเพนท์เฮาส์สุโขทัย ที่มีคนรู้จักอยู่ที่นั่น จึงกังวลมาก ไม่ยอมปล่อยมือจากกระเป๋า จนในที่สุดคนร้ายก็ยอมปล่อยกระเป๋าและทิ้งมีดในที่เกิดเหตุ"

ไฮโซสาวยอมรับว่าเป็นความผิดของตัวเองที่เดินกลับคนเดียวในยามวิกาล

 เพราะ คิดว่าจากเพนท์เฮาส์ที่สุโขทัยเดินกลับที่พักข้างสถานทูตสิงคโปร์ไม่ไกลมาก และปกติก็วิ่งจ๊อกกิ้งเป็นประจำในหัวค่ำ จึงไม่ทันคิดว่าจะเกิดเหตุร้ายแม้ เพื่อนหลายคนจะพยายามมาส่ง แต่เราก็ปฏิเสธไป หลังจากที่เธออยู่พูดคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนานตั้งแต่สามทุ่มจนถึงเที่ยงคืน
 
"เป็นความผิดดิฉันที่คิดว่าไม่มีอะไรเพราะเที่ยงคืนแล้วเราก็เดินไปปกติจนถึงปากซอยสวนพูลถนนสาทรตรงปากซอยมีปั้มน้ำมันอยู่ไกลจาก สน.ทุ่งมหาเมฆ  ระหว่างเดินผ่านซอยเห็นคนเร่ร่อนนอนหลับอยู่ เราก็เห็นว่าเป็นผู้หญิง เราก็หยิบเงินแล้วพับสอดเงินไว้ที่ใต้ขาเขา เพราะกลัวเงินปลิว ตอนนั้นมองเห็นว่า มีแท็กซี่กับ จักรยานยนพอหลังจากที่คนร้ายยอมปล่อยได้กระเป๋าคืนก็เรียกแท็กซี่กลับบ้านพอขึ้น แท็กซี่มาคำถามแรกที่แท็กซี่พูดกับเราคือนึกว่าแฟนทะเลาะกันทั้งที่เราเลือด อาบขนาดนี้เขายังกล้ามาถามแบบนี้อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นในสังคมเลย
ทันที ที่ไปถึงที่พักเพื่อนก็ต่อว่าเราทำไมไม่เรียกรถลีมูซีนหรือแท็กซี่ให้มาส่ง แต่เราก็คิดว่าไม่น่าจะเกิดเหตุแบบนี้เรียกว่าถูไถกันไประบมทั้งตัว
แต่สิ่ง ที่เรากลัวคือไม่กลัวตายอีกต่อไปแต่กลัวว่าคนร้ายจะกลับมาทำร้ายคนที่เรารัก และที่สำคัญคือทำไมถนนสายสถานทูตถึงมีเหตุการณ์แบบนี้อยากเรียกร้องให้ กรุงเทพมหานครหาไฟส่องสว่างมาติดตั้งเพิ่มเติมจะเสียค่าไฟเพิ่มอีกสักเท่า ไหร่กันเอง และอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจตราในพื้นที่เสี่ยง เพราะไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใคร
รถยนต์สองคันจอดอยู่ ก็ไม่ได้คิดอะไร เราก็เดินข้ามถนนเข้าซอยไปพอเดินต่อไปเกือบถึงตีนสะพานลอย มีรถจักรยานยนต์ 2 คัน วิ่งอ้อมสวนฟุตบาทขึ้นมาหาเรา ตอนนั้นเราก็โง่จริงๆ เพราะชินกับภาพรถมอเตอร์ไซค์วิ่งขึ้นฟุตบาท และตอนนั้นสมองเราก็คิดว่าคงไม่มีอะไร พอจักรยานยนต์วิ่งประกบมาทางขวา ทางซ้ายมือเป็นกำแพงรั้วปิดหมดแล้ว เป็นจุดที่ทำให้คนร้ายก่อเหตุสะดวก
เหตุการณ์แบบนี้เรายังทราบจากหมอจิตแพทย์ที่มาสอบถามสภาพจิตในตอนนั้น อีกว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นประจำ
บางคนแขนขาดเพียงเพราะเงิน100-300บาทถาม ว่าเขาพิการมาครอบครัวเขาจะทำอย่างไรถ้าดิฉันต้องตายไปก็คงไม่เป็นไร แต่อยากให้เจ้าหน้าที่ดูแลประชาชนให้ดีกว่านี้ บอกตามตรงนึกถึงหน้าคนร้ายพวกนั้นแล้วหลอน และที่ออกมาพูดไม่ได้อยากให้ใครมาทำตาม เพราะชีวิตเรามีค่ากว่าทรัพย์สิน แต่วินาทีนั้นเราห่วงคนรอบข้างเรามากกว่า "

อย่างไรก็ตาม ไฮโซสาวจะเดินทางไปให้ปากคำเพิ่มเติมพรุ่งนี้ (5 ส.ค.)ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ในเวลา 14.00 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น