วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ย้อนรอยคดีดังฆ่าหั่นศพ"แพทย์หญิงผัสพร"หลัง"หมอวิสุทธิ์"พ้นเรือนจำบางขวาง เมื่อ 4 ส.ค.57



ย้อนรอยคดีดังฆ่าหั่นศพ"แพทย์หญิงผัสพร"หลัง"หมอวิสุทธิ์"พ้นเรือนจำบางขวาง
 
จากการที่มีการปล่อยตัว นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ ผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพ  พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ ภรรยา 

เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2544 และถูกศาลฏีกาพิพากษายืนประหารชีวิตในวันที่ 25 ก.ค.2550  จากเรือนจำบางขวาง  ทำให้กลายเป็นเรื่องราวที่ผู้คนหันมาความสนใจอีกครั้ง เพราะในอดีตคดีของ นพ.วิสุทธิ์ ถือเป็นคดีที่สร้างความสะเทือนขวัญของประชาชน

มติชน ออนไลน์ พาไปย้อนรอยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีนี้ 

โดยคดีนี้มีจุดเริ่มต้นเมื่อวันที่23 กุมภาพันธ์ 2544  เมื่อนายแพทย์ วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน. พญาไทว่า

 พญ.ผัสพร ภรรยาหายตัวไปอย่างไร้ร่องลอย จนกลายเป็นคดีที่ผู้คนสนใจผ่านหน้าสื่อมวลชน  แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กลับเบาะแสสำคัญจากภาพกล้องวงจรปิด ว่า นพ.วิสุทธิ์ เป็นคนสุดท้ายที่พบกับพญ.ผัสพร  โดยจากสืบสวนพบว่า   นพ.วิสุทธิ์ได้วางแผนลวงให้ พญ.ผัสพร ไปพบที่ร้านอาหารโออิชิ สยามดิสคัฟเวอรี่ โดยนัดหมายว่า จะไปพูดคุยเรื่องการซ่อมแซมบ้าน  

ซึ่งต่อมาในขั้นตอนสอบสวนนั้นก็พบว่า ทางนายแพทย์ วิสุทธิ์ มีปัญหาขัดแย้งกับทางภรรยา จนฝ่ายแพทย์หญิงผัสพรมีการฟ้องหย่า และ ร้องเรียนพฤติกรรมต่อแพทยสภา ซึ่งอาจเป็นปมสำคัญที่ทำให้ นายแพทย์วิสุทธิ์ โกรธจนต้องลงมือฆ่าในครั้งนี้   

ต่อมาทางตำรวจได้พบหลักฐานเพิ่มขึ้น เมื่อพบว่าทาง นพ.วิสุทธิ์ ได้โทรศัพท์ติดต่ออาคารวิทยนิเวศน์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  

โดยหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ จึงได้ระดมกำลังเจ้าหน้ากองพิสูจน์หลักฐาน เข้าตรวจสอบห้องพักที่ 318 อาคารวิทยนิเวศน์ทันที โดยพบคราบเลือดภายในท่อน้ำทิ้งและผ้าพลาสติกกันน้ำ จนนำไปสู่จากการดูดสิ่งปฏิกูลในบ่อเกรอะ ซึ่งพบชิ้นเนื้อมนุษย์รวมน้ำหนัก 3,330 กรัมในทันที   เช่นเดียวกับการตรวจบ่อเก็บสิ่งปฏิกูลที่ 25-26 ของโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าวที่ นพ.วิสุทธิ์ ได้เปิดห้องทิ้งไว้เพื่อนำเศษชิ้นเนื้อบางส่วนมาทิ้ง  พบว่ามีชิ้นเนื้อและกระดูกบางส่วนที่ถูกบริษัทเอกชนสูบไปทิ้งในที่กำจัดขยะ ภายในซอยอ่อนนุช 65   ซึ่งต่อมาจากการตรวจสอบของสถาบันนิติเวชฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าดีเอ็นเอตรงกันกับของ พญ.ผัสพร

เมื่อได้หลักฐานชุดสืบสวนจึงควบคุมตัว นพ.วิสุทธิ์ มาสอบปากคำ แต่นพ.วิสุทธิ์ กลับปฏิเสธที่จะตอบทุกคำถาม  ต่อมามีการรวบรวมพยานหลักฐานสรุปสำนวนการสอบสวนส่งต่อให้อัยการ แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อขึ้น   เมื่อพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง นพ.วิสุทธิ์

โดย นายเสริมเกียรติ วรดิษฐ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 (ในขณะนั้น) อ้างเหตุผลว่าคดีไม่มีประจักษ์พยาน และไม่มีศพผู้ตาย จึงทำให้นายโชติ วัฒนเชษฐ์ บิดาของ พญ.ผัสพร เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นพ.วิสุทธิ์ เอง ในความผิดฐานฆ่า พญ.ผัสพร ภรรยาตนเองโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซ่อนเร้น ทำลายศพ กักขังหน่วงเหนี่ยว ปลอมเอกสาร ซึ่งศาลเห็นคว่าดีมีมูลและมีคำสั่งประทับรับฟ้องทั้งหมด

และในวันที่ 7 มีนาคม 2546   ทางศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต นพ.วิสุทธิ์ แม้คดีไม่มีประจักษ์พยานเห็นในขณะลงมือฆ่า

 แต่พยานแวดล้อมกรณีรวมทั้งหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ มีความสอดคล้องเชื่อมโยงเป็นขั้นเป็นตอนมีน้ำหนักให้ศาลเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ฆ่าผู้ตายจริงต่อมาศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2548 ยืนตามศาลชั้นต้น และศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเป็นที่สิ้นสุดในวันที่ 26 กรกฏาคม 2550 ยืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิต นพ.วิสุทธิ์ สถานเดียว  

หลังจากถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต หนทางสุดท้ายของ นพ.วิสุทธิ์

 คือการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ในการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ และเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2550 ซึ่งพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2550 มีผลใช้บังคับ นพ.วิสุทธิ์ ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานอภัยโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิตในครั้งนี้ด้วย ก่อนที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษเรื่อยมาพร้อมทั้งเป็นนักโทษชั้นดี ที่ปฏิบัติตัวเป็นประโยชน์ จนเหลือโทษแค่ 3 ปี 2 เดือน  และได้รับการพักโทษออกมาใช้ชีวิตข้างนอกเรือนจำในที่สุด
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น