วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แม่อุ้มบุญเตือนสาวไทยคิดรับจ้างท้อง สุดท้ายเด็กรับกรรม!เมื่อ 4 ส.ค.57



แม่อุ้มบุญเตือนสาวไทยคิดรับจ้างท้อง สุดท้ายเด็กรับกรรม!
 
แม่อุ้มบุญเตือนสาวไทยคิดรับจ้างท้อง สุดท้ายเด็กรับกรรม! ยันจะเลี้ยง‘น้องแกรมมี่’ให้ดีที่สุด

 เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 3 ส.ค. ผู้สื่อข่าว ข่าวสด รายงานว่า ที่ห้อง 619 ผู้ป่วยเด็ก ชั้น 6 โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา 

นายคมสัน เอกชัย ผวจ.ชลบุรี ได้เข้าเยี่ยม น.ส.น้ำ (นามสมมติ) อายุ 21 ปี แม่อุ้มบุญ น้องแกรมมี่ วัย 7 เดือน จากกรณีที่อดีตสาวรับจ้างตั้งท้อง “ธุรกิจอุ้มบุญ” โดยใช้น้ำเชื้อจากชายชาวออสเตรเลีย ผสมกับไข่ของสาวจีนเป็นตัวอ่อนมาฝังในมดลูกของเธอ และพบว่าเธอตั้งท้องเป็นแฝดชายหญิง แต่ต่อมาพบว่า ทารกชายเป็นดาวน์ซินโดรม หมอแนะนำให้ทำแท้งโดยไม่บอกเหตุผล เธอจึงเลือกเอาเด็กไว้จนคลอด สุดท้ายผู้ว่าจ้างเอาเด็กหญิงไป แล้วทิ้งเด็กชายที่ป่วยไว้ให้เลี้ยงเอง

 ล่า สุด น.ส.น้ำ แม่อุ้มบุญ น้องแกรมมี่ เปิดใจกรณีใครจะรับเป็นแม่อุ้มบุญให้คนอื่นนั้นควรคิดให้ดี

 ไม่ใช่เพียงแค่เงินมาเป็นแรงจูงใจให้ทำเท่านั้น เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมาในกรณีเช่นนี้ คนที่รับผิดชอบต่อตัวเด็ก คือ ตัวของแม่อุ้มบุญเอง และหากตัวแม่อุ้มบุญไม่มีความสามารถในการดูแลเด็ก ก็จะเป็นภาระต่อสังคม

 “ไม่มีใครโชคดีเหมือนเด็กคนนี้ “น้องแกรมมี่” ซึ่งน้อยคนจะโชคดีเช่นนี้ และหากเลือกได้ก็ไม่ควรทำดีกว่า เพราะจะเกิดผลกระทบในหลายๆ อย่าง เช่น ด้านจิตใจของเด็ก เพราะเมื่อเด็กเกิดขึ้นมาแล้ว ก็อยากรู้ว่าแม่และพ่อที่แท้จริงของเขาเป็นใคร และฝากบอกถึงผู้ที่หาหญิงไทยให้เป็นแม่อุ้มบุญให้นั้น เมื่อเด็กทุกคนที่เกิดขึ้นมามีเลือดเนื้อ มีชีวิต และความรู้สึกเหมือนเราทุกๆ คน แม้จะไม่สมประกอบ หรือพิการ แต่เป็นเชื้อของคุณ และเป็นเลือดเนื้อของคุณ ซึ่งไม่ใช่เหมือนมาเลือกซื้อสิ่งของว่าชิ้นนั้นดี ชิ้นนั้นเอาไว้ ส่วนชิ้นนั้นไม่ดีไม่เอา และเอาชิ้นไม่ดีทิ้งไว้ เป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก”

 น.ส.น้ำ เผยต่อว่า ก่อนที่ตนจะมารับอุ้มบุญนั้น ได้เล่น facebook และมีโฆษณาว่ามีงานให้ทำและมีรายได้ดี ซึ่งทางบ้านตนมีฐานะไม่ค่อยดี จึงสนใจ

 เพราะปัจจุบันตนก็มีบุตรแล้ว 2 คน จึงอยากได้เงินมาช่วยเหลือครอบครัว จึงรับอุ้มบุญกับครอบครัวชาวออสเตรเลีย ซึ่งมีอายุมากแล้ว โดยผ่านเอเยนซี่ ชื่อ จอย โดยตกลงราคาค่าจ้างกันไว้ที่ 300,000 บาท และหากได้ลูกแฝดจะเพิ่มให้เป็น 350,000 บาท หลังจากนั้น ครอบครัวชาวออสเตรเลียก็รับตนมาในกรุงเทพฯ เพื่อมาเป็นแม่อุ้มบุญให้ โดยดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีมาโดยตลอด 

 โดยในช่วง 4 เดือน ที่ตั้งครรภ์แฝดหญิงและชายนั้น มีการเจาะเลือดเพื่อไปตรวจสอบ และทางครอบครัวชาวออสเตรเลียทราบ

 แต่ไม่ได้แจ้งให้ตนทราบว่า เด็กแฝดคนหนึ่งเป็นดาวน์ซินโดรม จนมาถึง 7 เดือนกว่า ทางครอบครัวโทรศัพท์แจ้งให้ตนเอาเด็กออก แต่ตนไม่ยอม และให้เอาไว้เช่นนี้ จนเด็กคลอดออกมาที่โรงพยาบาลวชิรปราการ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐบาล ที่มีบัตร 30 บาท เพื่อเซฟค่าใช้จ่าย เนื่องจากเด็กที่คลอดออกมาตัวเล็ก และตัวเหลืองจึงต้องอยู่ในตู้อบตลอดทั้ง 2 คน โดยผู้หญิงอยู่ในตู้อบเพียงไม่ถึงเดือน จากนั้นครอบครัวชาวออสเตรเลียได้นำเด็กหญิงดังกล่าวไปเลย ส่วนเด็กผู้ชาย ไม่ได้เอาไปด้วย

 โดยบอกว่า ถ้านำไปด้วยก็ต้องนำไปไว้ที่มูลนิธิ เนื่องจากไม่สามารถดูแลได้ ดังนั้น ตนจึงเอาตัวเด็กผู้ชายไว้ เพราะมูลนิธิคงดูแลได้ไม่เหมือนพ่อแม่


 ที่สำคัญสงสารเด็กมากที่คลอดมาแล้วเป็นเช่นนี้ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับเด็กเลย เป็นเพราะความผิดพลาดจากผู้ใหญ่ทั้งสิ้น แล้วทำไมเด็กต้องมารับกรรมในครั้งนี้ด้วย ดังนั้น ตนจึงรับดูแลแม้จะลำบากก็ยินดี เด็กผู้หญิงชื่อน้องไพรพรรณี และน้องผู้ชายชื่อ น้องแกรมมี่ ซึ่งตนจะดูแลน้องแกรมมี่อย่างดี เท่าที่กำลังของตนเองจะมีให้ พร้อมทั้งจะรักษาเขาให้หายเป็นปกติ แม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ก็อุ้มบุญเขาเกิดขึ้นมา ก็เหมือนลูก

 ขณะที่ หลังกลายเป็นข่าวขึ้นมาแล้ว มีหลายหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือ

 เช่น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ หรือ 3178 มูลนิธิของ ประทีป อึ้งทรงธรรม ช่วยในเรื่องของค่ารักษาพยาบาล น้องแกรมมี่ ที่ต้องมารักษาเนื่องจากมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ มีไข้ และมีน้ำในช่องท้อง โดยมีผู้ใจบุญเข้ามาช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก ก็ดีใจแทนน้อง ที่ไม่ต้องมากังวลเรื่องค่าใช้จ่าย

 ด้านนายวิจิตร พนายิ่งไพศาล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา กล่าวถึงกรณีเด็กอุ้มบุญ

 ที่เป็นดาวน์ซินโดรม ที่มานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้น ทางโรงพยาบาลฯ พร้อมให้การดูแลอย่างเต็มที่ เพราะทางโรงพยาบาลมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการดูแลเด็กดาวน์ซินโดรมอ ยู่แล้ว ในช่วงแรกที่เด็กเข้ามารักษาตัวนั้น เด็กมีเสมหะเป็นจำนวนมาก หายใจไม่ค่อยสะดวก และมีไข้ โดยทางแพทย์ได้ให้การช่วยเหลือจนอาการดีขึ้น และขณะนี้ไม่มีไข้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องนอนที่โรงพยาบาล เพื่อดูแลอาการต่อไป

 ซึ่งทางโรงพยาบาลจะดูแลอาการของเด็กอย่างต่อ เนื่อง และพร้อมให้การช่วยเหลือตามที่แม่ร้องขอ

 ส่วนในช่วงนี้ คาดว่าจะมีนักข่าวเข้ามาพบเด็กอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ก็ต้องดูสุขภาพเด็กด้วยว่ามีความพร้อมหรือไม่อย่างไร โดยโรงพยาบาลให้การดูแลช่วยเหลือให้เป็นไปตามความเหมาะสม

 ขณะนี้ได้ มีมูลนิธิหลายมูลนิธิ เข้ามาประสาน เพื่อให้การช่วยเหลือด้านรักษาพยาบาล และมีความพร้อมอยู่แล้ว โดยได้แจ้งให้เจ้าของคนไข้ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น