“ประยุทธ์” พอใจ-กองทัพได้งบเพิ่ม
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก (นขต.) ถึงการของบประมาณของกองทัพบกในปี 2557 ว่า กองทัพบกได้งบประมาณเพิ่มไม่ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท ตนได้ชี้แจงกับ รมว.กลาโหมไปแล้ว ซึ่งงบประมาณปี 2556 เรามีงบประมาณไม่เพียงพอ ขาดทั้งทางด้านบุคลากร งบฯ ค่าตอบแทนกำลังพล ขณะนี้เงินเดือนขั้นปริญญาตรีได้เพิ่มขึ้นเป็น 15,000 บาท และยังไม่รวมค่าตอบแทนอื่นๆ รวมทั้งงบประมาณการป้องกันดูแลประเทศ ซึ่งกองทัพก็ต้องแก้ปัญหาของตัวเอง โดยรัฐบาลจะพยายามเพิ่มเงินให้ช่วงกลางปีหรือปลายปี อย่างไรก็ตาม เราได้เตรียมรายละเอียดเรื่องของการปรับยอดกำลังพลให้เข้ากับสถานการณ์ ทั้งในยามปกติ ว่าต้องมีจำนวนเท่าไร
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างนั้น มีระบบการทำงานอยู่แล้ว ซึ่งเป็นปัญหาคือโครงการที่มีงบประมาณผูกพันข้ามปี เพราะบางโครงการงบประมาณไม่เพียงพอ ก็ต้องทยอยในการจัดซื้อ หรือบางอย่างเงื่อนไขรับไม่ได้ จึงทำให้เรื่องต้องค้างอยู่ อย่างไรก็ตาม ยุทโธปกรณ์ในกองทัพมีอยู่ 4 ประเภท คือ 1.ยุทโธปกรณ์ที่จัดซื้อจัดหาใหม่ 2.ยุทโธปกรณ์กลางเก่ากลางใหม่ซึ่งต้องซ่อมบำรุงให้ใช้งานได้ 3.ยุทโธปกรณ์ที่ต้องซ่อมไว้เพื่อคงสภาพเพื่อรอการปลดถ่าย และ 4.ยุทโธปกรณ์ที่ไม่ต้องซ่อมเพื่อรอการจำหน่าย ดังนั้น จึงต้องวางแผนในการใช้จ่ายงบประมาณให้ดี
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถึงแม้งบประมาณในปีนี้ไม่มากแต่ก็รู้สึกพอใจ เพราะยังมีประชาชนที่ยังเดือดร้อนอยู่อีกมาก เช่น ชาวนา เขาไม่ได้ขออะไรมาก ขอแค่เพียงฝนตกก็เพียงพอที่จะให้ข้าวเจริญเติบโต และก็ไม่รู้ว่าจะขายข้าวได้ราคาเท่าไร ในฐานะที่เป็นกองทัพ จะต้องการอะไรอีก เรื่องความต้องการ สิ่งสำคัญต้องมีการเผื่อแผ่กัน ทั้งนี้ งบประมาณที่กองทัพได้มาจะต้องมีการตรวจสอบทุกขั้นตอน ว่านำไปใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าหรือไม่ เรามีสำนักงานตรวจสอบภายใน และในบางเรื่อง สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เข้ามาตรวจ บางเรื่องคณะกรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็เข้ามาตรวจสอบ นอกจากนี้ ตนยังตั้งคณะกรรมการเข้าไปตรวจสอบซ้ำอีก เพราะรู้สึกเป็นห่วงเหมือนกัน ว่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่ซื้อมาใช้งานได้หรือไม่ ปัจจุบันตนสั่งให้รื้อคลังเก็บยุทโธปกรณ์ทุกคลังทั่วประเทศ เพื่อแบ่งส่วนยุทโธปกรณ์ที่ใช้งานได้และใช้ไม่ได้ เพื่อให้ได้ความต้องการที่แท้จริง และจัดหายุทโธปกรณ์ที่ถูกต้อง ตนมั่นใจ ว่าใช้งบประมาณที่มีอย่างคุ้มค่าแน่นอน
“บิ๊กตู่” ปลุกขวัญ-ลูกน้อง
คุยโวปลด ผบ.ทบ.ไม่หมู
วันที่ 31 พ.ค.56 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก (นขต.) ว่า การประชุม นขต.เป็นการสร้างอนาคตของกองทัพบก วันนี้เราเป็นกองทัพบกในยุคใหม่ อีกทั้งขณะนี้ สถานการณ์ภายนอกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ตนจึงต้องการให้ผู้บังคับหน่วยได้เรียนรู้เร็วมากขึ้น ซึ่งในวันนี้ มีหลักสูตรให้นักเรียนนายร้อยที่เรียนจบใหม่ไปศึกษางาน 3 เดือน โดยจะให้เขาสามารถยืนอยู่หน้าแถวทหารได้ ในสมัยก่อน พวกตนต่อสู้ด้วยตนเอง แต่วันนี้ งานของกองทัพมีมากขึ้น จึงต้องมีการสอนและแนะนำให้มีการพัฒนา เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ให้เร็วขึ้น เพราะวันนี้เรามีภารกิจหลายด้าน
“ผมอยากให้มีการประชุมระดับผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงทุก 3-6 เดือน เพื่อที่จะได้รู้ว่ากองทัพบกมีการขับเคลื่อนอะไรไปบ้าง และผมจะได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรง ว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เพราะผมเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน ต้องการสร้างฟันเฟืองทุกชิ้นให้ช่วยขับเคลื่อนฟันเฟืองใหญ่ ซึ่งก็คือ ผบ.ทบ. เพื่อให้งานสามารถเดินหน้าไปได้ คนที่จะโตหรือไม่โตในกองทัพบก อยู่ที่ความแตกต่างในเรื่องของความรู้ ความสามารถ หากไม่ดีคงไม่ผ่านการตรวจสอบ” เมื่อถามว่า ในที่ประชุมได้มีการพูดกับกำลังพลถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเรื่องการปรับย้าย ผบ.ทบ.ออกจากตำแหน่งด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้บอกกับผู้บังคับหน่วยว่า ถ้าตราบใดที่ตนยังอยู่ในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ก็จะทำงานแบบนี้ หากตนไม่อยู่ ก็จะมีคนมาทำหน้าที่ ดังนั้น ตนต้องพร้อม ไม่ใช่พอตนพูดก็หาว่าตนพร้อมย้าย แต่ทหารทุกคนพร้อมย้ายตั้งแต่เรียนจบ อย่าบอกว่ามาปลดตนนั้นคงไม่ได้ เพราะไม่มีความผิด แต่หากมีการปรับย้ายก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการพิจารณาปรับย้ายนายทหาร ทั้งนี้ อย่านำเรื่องนี้ไปพูด เพราะจะเกิดความเสียหาย เราเป็นข้าราชการประจำพูดอะไรมากก็ไม่ดี แต่พูดน้อยไปสื่อฯ ก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นอยากให้สื่อฯ เห็นใจ
ถกบีอาร์เอ็นอืดเหลิมเปลี่ยนมุขคุยโจรกลุ่มใหม่
“ปู” เบรก “เฉลิม” ขอถกสันติภาพบีอาร์เอ็นเอง เนื่องจากมีคณะกรรมการพูดคุยอยู่แล้ว ขณะที่ “เฉลิม” ยัน หาก “ภราดร” คุยกับโจรใต้รอบ 3 ไม่มีอะไรดีขึ้น เปลี่ยนคุยโจรใต้กลุ่มใหม่แน่ ในขณะที่ “บิ๊กตู่” โต้โจรใต้บีอาร์เอ็นปัดทำร้ายประชาชน พร้อมยืนยันทหารไม่ใช้ความรุนแรง หากพบต้องลงโทษตามกฎหมาย ทางด้านชาวอำเภอแว้ง จ.นราธิวาส รณรงค์ต่อต้านโจรใต้หลังวางบึ้ม ตร.นราฯ ดับ 1 เจ็บ 4 และยิง ผอ.โรงเรียนเจ็บอีก 1 ราย ขณะที่ยะลา จนท.ทุกฝ่ายคุมเข้มครู ประชาชนหวั่นกลุ่มก่อความไม่สงบแก้แค้น หลังวิสามัญฯ โจรใต้ 2 ศพ ในขณะที่กำลังทำระเบิดเตรียมไว้ก่อเหตุ
0 นายกฯ เบรก “เฉลิม” ถกบีอาร์เอ็นเอง
เมื่อวันที่ 31 พ.ค.56 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการปล่อยคลิปของกลุ่มก่อความไม่สงบกล่าวหารัฐไทยเป็นผู้ก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนการเจรจารอบ 3 กับกลุ่มบีอาร์เอ็น ว่า เป็นหนึ่งในข้อมูลที่มอบหมายให้หน่วยงานด้านความมั่นคงตรวจสอบ ยืนยันว่าขั้นตอนจนถึงวันนี้เป็นเพียงแค่การพูดคุยกัน รับฟังข่าวสาร และอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน ทั้งนี้สิ่งที่ได้ฟังจากคลิปล่าสุด ก็ถือว่าเป็นเจตนาที่ทุกคนอยากเห็นการ ช่วยเหลือ และดูแลความปลอดภัยผู้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามได้มอบหมายให้หน่วยงานด้านความมั่นคงไปศึกษาเนื้อหาของคลิปดังกล่าว เมื่อถามถึงเวลาที่จะยกระดับปัญหาให้เป็นการเมืองระดับชาติหรือไม่ เนื่องจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าจะขออนุญาตไปพบและพูดคุยกับนายฮัสซัน ตอยิบ แกนนำสำคัญกลุ่มบีอาร์เอ็นด้วยตนเอง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เรามีคณะกรรมการดูแลอยู่แล้ว ก็ควรให้คณะกรรมการทำงานและประสานงานเบื้องต้นดีกว่า ส่วนกรณีที่แกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็นเผยแพร่คลิปผ่านทางยูทูบได้ย้ำข้อเรียกร้อง 5 ข้อที่ผ่านมานั้น ได้ให้ฝ่ายความมั่นคงไปศึกษาและตรวจสอบแล้ว เพื่อนำมาเป็นข้อมูลควบคู่กับการสอบถามประชาชนในพื้นที่ พร้อมย้ำว่าการพูดคุยมีจุดเดียวกัน คือมีเจตนาช่วยผู้บริสุทธิ์และดูแลเรื่องความปลอดภัย
0 คุยโจรใต้รอบ 3 ไม่ดีขึ้นเปลี่ยนกลุ่มคุย
ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเรียกร้องให้หยุดการพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น หากสถานการณ์ภาคใต้ยังไม่ดีขึ้นว่า ต้องค่อยๆ เจรจา ต้องใจเย็น ใจร้อนไม่ได้ ตนบอกคณะเจรจาฝ่ายไทยแล้วว่า สุดท้ายเลยเรามีวิธีการ การที่เราเจรจาที่ประเทศมาเลเซียได้แสดงว่ารัฐบาลมาเลเซียมีใจ มีการจัดสถานที่ให้ การล้มโต๊ะนั้นง่ายแต่ล้มแล้วได้อะไร ต่อไปตนจะลงมาเต็มตัว เพราะว่านายกฯ ได้มอบหมายให้ตนดูแลไฟใต้เต็มที่ อย่าเพิ่งใจร้อน อยากถามว่าหากเราไม่เจรจา เราได้อะไรหรือไม่ก็ไม่ได้ แต่เจรจาแล้วได้อะไรหรือไม่ก็ยังไม่ได้ จึงต้องลองดูต่อไปเผื่อจะได้อะไรบ้าง ตนได้กำหนดไว้แล้ว 5 ข้อ เป็นกรอบในการพูดคุย หากมีปัญหาอะไรต้องจะดำเนินการได้ อยากจะเชิญนายอภิสิทธิ์ไปประชุม ศปก.ตร.ร่วมกัน เพื่อจะได้ให้พูดกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และอาจจะเชิญ นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมประชุมด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้ถึงเวลาที่เราจะมองดูกลุ่มใหม่ที่จะพูดคุยหรือยัง เพราะการพูดคุยกับบีอาร์เอ็นยังไม่ทำให้เหตุการณ์ความไม่สงบลดลง ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนกำลังคิดว่าหากให้คุยกลุ่มเดียว พวกนี้จะใหญ่คนเดียว ถ้ามีหลากหลายกลุ่มจะได้รู้ว่าอีกกลุ่มคิดอย่างไร ซึ่งตนจะตัดสินใจเรื่องนี้โดยต้องหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)
0 กลุ่มใหม่ที่จะคุยแทนบีอาร์เอ็นมีแล้ว
เมื่อถามว่า ที่เล็งไว้ว่าจะพูดคุยคือกลุ่มใด ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า มีแล้ว อะไรก็ตามที่ไปแล้วมันไปไม่ได้จะต้องเปลี่ยนทิศ ซึ่งกลุ่มบีอาร์เอ็นนั้นคุมในพื้นที่ไม่ได้ คนที่อยากคุยด้วยใหม่เขาแสดงให้เห็นว่าการที่เราไปคุยกับนายฮัสซัน ตอยิบ นั้นไม่ใช่ และหากรอบนี้ไปพูดคุยแล้ว กลับมาไม่มีอะไรดีขึ้น ตนต้องหมุนทิศและต้องเปลี่ยนแปลงไม่อย่างนั้นเสียค่าเครื่องบิน และกลุ่มใหม่จะเป็นกลุ่มใดจะต้องรอให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) สรุปก่อน ส่วนที่นายอภิสิทธิ์แสดงความเห็นมาถือเป็นมุมมอง แต่ใจของตนในฐานะผู้รับผิดชอบอยากให้รออีกสักรอบสองรอบ
0 ยันคุยกับบีอาร์เอ็นไม่รู้เรื่องเลิกแน่
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ระบุว่าจะไปพูดคุยกับนายฮัสซัน ด้วยตัวเองมีทางเป็นไปได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า คณะฝ่ายเจรจาของตนไปได้ แล้วทำไมตนจะไปไม่ได้ เมื่อถามว่า นายกฯ มองว่าควรจะปล่อยให้คณะเจรจาฝ่ายไทยพูดคุยไปก่อน ยังไม่ต้องถึงระดับรองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนแค่บอกว่าวันข้างหน้า หากนายฮัสซัน ตอยิบ คุยรู้เรื่องตนจะไป หากไม่รู้เรื่องตนจะไปทำไม แต่สรุปคือหากรัฐบาลมาเลเซียเบื่อหน่ายพวกนี้ เราก็แก้ไขปัญหาสำเร็จ และหากพวกนี้คุยไม่รู้เรื่องก็ต้องเลิก
0 คุยบีอาร์เอ็น 13 มิ.ย.ไม่ใช่รอบสุดท้าย
เมื่อถามว่า การพูดคุยในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ จะถือเป็นรอบสุดท้ายหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า จะไปบอกว่าเป็นรอบสุดท้ายได้อย่างไร เพราะผลการเจรจายังไม่ปรากฏ เมื่อถามว่า หากการพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นในวันที่ 13 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจรอบต่อไปจะต้องลงไปเองหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องมาปรึกษากันใหม่ว่าจะทำอย่างไร เพราะหากรู้ว่าทำไม่สำเร็จแล้วจะทำอย่างเดิมได้อย่างไร ผู้สื่อข่าวถามว่า จะต้องลงเองเลยหรือไม่ รองนากยกฯ กล่าวว่า “คงหนีไม่พ้นแล้วล่ะ”
0 “บิ๊กตู่” โต้บีอาร์เอ็นปัดทำร้าย ปชช.
ทางด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีที่ กลุ่มบีอาร์เอ็น เปิดเผยคลิปวีดีโอแถลงการณ์ครั้งที่ 3 ว่า ทหารมีการใช้ความรุนแรงจนเกิดความสูญเสีย โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สิ่งที่กลุ่มบีอาร์เอ็น กล่าวนั้น ไม่เป็นความจริงและยังไม่มีการพิสูจน์ จึงไม่อยากให้ทุกคนปักใจเชื่อ ซึ่งในส่วนของทหาร ยืนยันว่าไม่เคยมีการสั่งการให้มีการใช้ความรุนแรงและมีเพียงการใช้อาวุธในเหตุการณ์ปะทะบางส่วนเท่านั้น ทั้งนี้จึงเรียกร้องให้ทางกลุ่มบีอาร์เอ็นและฝ่ายรัฐบาลไทย ให้หลีกเลี่ยงการกล่าวถึงเรื่องนี้ เพราะยังไม่ทราบข้อเท็จจริง อีกทั้งถือว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน และจะทำให้การเจรจาเป็นไปได้ยากมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่า ในส่วนของ กอ.รมน.มีความบริสุทธิ์ใจในการปฏิบัติหน้าที่ แต่หากตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ทหารมีการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุจริง ก็จะต้องมีการลงโทษไปตามกฎหมายทั้งคดีทางแพ่งและทางอาญา
0 ยะลาคุมเข้มครูประชาชน
เช้าวันเดียวกันนี้ พล.ต.ต.พีระ บุญเลี้ยง ผบก.ภจว.ยะลา ได้สั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย เพิ่มความเข้มในการดูแลความปลอดภัยตามย่านชุมชนและดูแลความปลอดภัยครูและประชาชนอย่างเข้มงวด หลังจากเมื่อวานนี้ (30พ.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้วิสามัญฯ นายยูกีปือลี หรือฉายาไอ้หน้าเหลี่ยม ซึ่งเป็นคนร้ายคนสำคัญได้ในพื้นที่ อ.บันนังสตา รวม 2 ศพ ขณะกำลังร่วมกันประกอบวัตถุระเบิดภายในบ้านพัก เมื่อเห็นกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น จึงเกิดการยิงปะทะกันขึ้น จนคนร้ายเสียชีวิต 2 ศพ ส่วนที่เหลืออีก 2-3 คน คาดได้รับบาดเจ็บและหลบหนีไปได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้สั่งการให้สถานพยาบาลทุกแห่ง หากพบเห็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากคมกระสุนปืนให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบทันที ส่วนในพื้นที่ให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น หวั่นว่าคนร้ายจะแก้แค้นเจ้าหน้าที่รัฐ
0 สั่งดูแลงานสมโภชหลักเมือง 24 ชม.
สำหรับในพื้นที่จังหวัดยะลา ขณะนี้ได้มีการจัดงานสมโภชหลักเมืองและงานกาชาดจังหวัดยะลา ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ 7 ของการจัดงาน และงานจะไปสิ้นสุดในวันที่ 4 มิ.ย.56 นี้ ปรากฏว่ามีประชาชนไปเที่ยวกันน้อยกว่าทุกปี เนื่องจากกระแสของการก่อเหตุรุนแรงมีมากในช่วงนี้ และยังมีผู้ไม่หวังดีปล่อยข่าวห้ามคนมุสลิมไปเที่ยวงาน เพราะอาจจะไม่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม นายเดชรัฐ สิมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ได้สั่งการให้ฝ่ายทหาร ตำรวจ ดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทั้งบริเวณนอกงานและภายในบริเวณงาน โดยมีกำลังจาก 4 ฝ่าย ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และกำลังภาคประชาชน เข้ามาดูแลความปลอดภัยภายในงานตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา จึงขอให้ประชาชนได้มีความเชื่อมั่นว่า เจ้าหน้าที่จะสามารถดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนที่มาเที่ยวงานได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
0 ชาวแว้งรณรงค์ต่อต้านโจรใต้
วันเดียวกันนี้ เวลา 11.00 น. ที่หน้าโรงเรียนบ้านแว้ง เขตเทศบาลตำบลแว้ง อ.แว้ง จ.นราธิวาส ได้มีตัวแทนคณะครูและนักเรียนในพื้นที่ อ.แว้ง จ.นราธิวาส จาก 28 โรง จำนวนกว่า 400 คน ซึ่งได้ปิดการเรียนการสอนวันนี้จำนวน 1 วัน รวมตัวกันถือป้ายผ้าเดินรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงไปตามถนนสายต่างๆ ในเขตเทศบาลตำบลแว้ง เพื่อรณรงค์ให้ชาวบ้านร่วมกันต่อต้านกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่ได้แฝงตัวเข้ามาก่อเหตุลอบวางระเบิด จยย.บอมบ์ ริมถนนสายโล๊ะจูด – แว้ง หมู่ 3 ต.ฆอเลาะ อ.แว้ง เหตุเกิดเมื่อเวลา 16.00 น. ของวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ ร.ต.ท.มานพ แท่นสงค์ รอง สวป.สภ.โล๊ะจูด เสียชีวิต และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 4 ราย ขณะตรวจสอบความเรียบร้อยเส้นทางให้กับคณะครู รวมทั้งเหตุคนร้ายประกบยิงนายอวิรุทธ์ ยาเซ็ง ผอ.โรงเรียนบ้านแว้ง ได้รับบาดเจ็บ ขณะขับรถยนต์กลับบ้านพัก ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวมีผลต่อขวัญและกำลังใจของคณะครูและเจ้าหน้าที่กองกำลังที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ อ.แว้ง เป็นอย่างมาก รวมถึงภาคประชาชนที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขตลอดมาเป็นเวลากว่า 1 ปี ที่ไม่เคยมีเหตุร้ายขึ้นในพื้นที่ อ.แว้ง
0 รอง ผบช. ศชต. รดน้ำศพรอง สวป.
ต่อมา เวลา 14.00 น. วันเดียวกันนี้ ที่ศาลาอเนกประสงค์ วัดชลเฉลิมเขต อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส พล.ต.ต.สันติ มะลิขาว รอง ผบช.ศชต. เป็นประธานในพิธีรดน้ำศพ ร.ต.ท.มานพ แท่นสงค์ อายุ 45 ปี รอง สวป.สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส ช่วยราชการในตำแหน่ง รอง สวป.สภ.โล๊ะจูด อ.แว้ง จ.นราธิวาส ที่เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด จยย.บอมบ์ บนถนนสายแว้ง-โล๊ะจูด หมู่ 3 ต.ฆอเลาะ อ.แว้ง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 30 พ.ค.56 ที่ผ่านมา ขณะปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบความเรียบร้อยเส้นทางให้กับคณะครู โดยพิธีรดน้ำศพมี พล.ต.ต.วิชัย เกษมวงศ์ นราธิวาส ผบก.ภ.จ.นราธิวาส รวมทั้งเพื่อนข้าราชการตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองกว่า 300 นาย เข้าร่วมพิธี
0 โจรใต้ลอบบึ้มสุไหงปาดีไร้เจ็บตาย
ต่อมา เวลา ประมาณ 15.00 น. ร.ต.ท.พัฒนชัย ศิวิไล พนักงานสอบสวน สภ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ได้รับแจ้งมีเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด ในพื้นที่หมู่ 3 บริเวณสามแยก บ้านบือราแง ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ในเบื้องต้นไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หลังเกิดเหตุกองกำลังผสมสุไหงปาดี นำโดย พ.ต.อ.วุฒิพงษ์ เย็นจิตร ผู้กำกับการ สภ.สุไหงปาดี และ พ.ท.อิศรา จันทะกระยอม รอง ผบ.กรมทหารพรานที่ 48 ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ตชด.447 และ นปพ.จ.นราธิวาส รวมทั้ง กองวิทยาการ เดินทางเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ โดยได้มีการกันพื้นที่จุดเกิดเหตุโดยรอบไว้ ก่อนตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือทุกระบบ เพื่อเป็นการป้องกันเหตุจุดชนวนซ้ำซ้อนเป็นลูกที่ 2 ของกลุ่มแนวร่วมก่อความไม่สงบ
ตำแหน่งอื่นไม่ต้องการ “ถวิล”กร้าว ผวา“ปู”ยื้อคืนเก้าอี้สมช.
“ภราดร”ลั่นพร้อมไป พท.โต้มีสิทธิ์เลือก คนมีฝีมือคุมมั่นคง
ส่อหนังชีวิตคืนเก้าอี้ เลขาฯ สมช. “ถวิล” รัฐบาลปู เล็งถกอัยการหาช่องอุทธรณ์คำสั่งศาล หวังยื้อถึงที่สุด ชี้มีเวลาอีก 30 วัน ขณะที่ “ภราดร” โบ้ยรอคำสั่งปู ยันพร้อมลุกจากเก้าอี้ อ้างสมัยตัวเองนั่งรองเลขาฯ สมช. เคยโดนมาร์คเขี่ยเข้ากรุ ยังไม่เคยโวยวาย ตอกถวิลงานมั่นคงผู้บังคับบัญชาต้องเลือกคนที่ไว้ใจ ด้าน “พท.” ปากว่าตาขยิบ บอกให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย แต่ชูภราดรทำงานเก่ง อ้างเป็นสิทธิ์รัฐบาลเลือกคนเชื่อใจคุมมั่นคง ส่วน “ถวิล” รอลุ้น 30 วัน ปูยื่นอุทธรณ์ อ้อนขอโอกาสคุยในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา ดักคอไม่เอาตำแหน่งอื่น อ้างไม่อยากทำผิดจรรยาบรรณ-ศีลธรรม ขณะที่ “สมเจตน์” ฟันธงถวิลแห้วคืนเก้าอี้ เชื่อรัฐยื้อจนเกษียณ ด้าน “ปชป.” ดักคอรัฐต้องยึดหลักธรรมาภิบาล ไม่ควรอุทธรณ์ แนะให้ถวิลทำงานพิสูจน์ตัวเอง
“ถวิล” ลุ้น 30 วัน ปูอุทธรณ์หรือไม่
หลังจากที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรี คืนเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้กับนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกฯ อดีตเลขา สมช. เพราะคำสั่งโยกย้ายมิชอบด้วยกฎหมายนั้น วันที่ 1 มิ.ย. นายถวิล กล่าวว่า ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ดูรายละเอียดคำสั่งศาลปกครองกลางสั่งคืนตำแหน่งเลขาฯ สมช. เพื่อเตรียมยื่นอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุดนั้น เป็นเอกสิทธิ์ของนายกฯ ในฐานะผู้ถูกฟ้องต้องดูผลร้ายที่จะเกิดกับท่านเมื่อศาลมีคำสั่ง และในทางปฏิบัติก็ต้องสั่งให้ สปน.ไปดูว่าต้องดำเนินการอย่างไร แต่ตนยังรอการตัดสินใจสุดท้ายของนายกฯ เพราะยังมีเวลาเหลืออีก 30 วัน ถ้ายื่นก็จบไปว่ากันในศาล และหากช่วงนี้นายกฯ จะเปิดโอกาสให้ตนเข้าพูดคุยก็พร้อมในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เชื่อว่านายกฯ จะตัดสินใจเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เมื่อถามว่า จะรับข้อเสนอหรือไม่หากมีการต่อรองให้ไปดำรงตำแหน่งอื่นที่เทียบเท่ากับตำแหน่งเลขาฯ สมช. นายถวิล กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูด หากมีการเสนอตำแหน่งที่เทียบเท่าตำแหน่งเลขาฯ สมช.แล้วต้องไปเบียดทับที่คนอื่นตนไม่เอา เพราะเขาจะเดือดร้อน หรือเสนอให้นั่งในตำแหน่งที่ว่าง แต่มีคนที่รอขึ้นในตำแหน่งดังกล่าวอยู่แล้วก็ไม่รับข้อเสนอเหมือนกัน ไม่เอาก็คือไม่เอา โดยเฉพาะการที่ทำแล้วผิดจรรยาบรรณ ศีลธรรม
“สมเจตน์” ฟันธงรัฐยื้อคืนเก้าอี้ถวิลถึงที่สุด
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวว่า ยังไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะคืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แก่นายถวิล เพราะชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลจะยื้อเรื่องโดยการอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลปกครองสูงสุด ถึงแม้ว่าอายุราชการของนายถวิลจะเหลืออีกปีเศษ แต่ไม่ใช่นานอะไร ดูอย่างกระบวนการขั้นตอนการต่อสู้ของนายถวิล ที่ใช้เวลาเกือบ 1 ปี 8 เดือน ดังนั้นหลังเข้ากระบวนการศาลฯ แล้วรัฐบาลก็ยังยื้อได้อีก แต่นายถวิลถือเป็นแบบอย่างที่ดีของข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ยึดมั่นในหลักการ ต่อสู้ยืนหยัดไม่โอนอ่อนไปตามอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง ทำให้เห็นว่าคนดีมีคุณธรรมย่อมมีสิ่งคุ้มครอง ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายและระเบียบ คืนตำแหน่งให้นายถวิล พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช. คนปัจจุบัน ยังมีอำนาจเต็มในการบริหารงาน ข้าราชการต้องฟังเขา เรื่องนี้ก็เหมือนนิยายที่สุดแล้วพระเอกต้องตายตอนจบ เพราะแทนที่คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการ (ก.พ.ค.) จะช่วยพิทักษ์คุณธรรมข้าราชการที่ดี กลับเอาแต่ตัวรอด เข้าไปสวามิภักดิ์ฝ่ายการเมืองกันหมด เมื่อถามว่าทางกลุ่ม ส.ว.จะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.สมเจตน์ ตอบว่า ถามว่ารัฐบาลทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ ไม่ได้ผิด แต่เป็นเรื่องของคนที่จ้องใช้ช่องว่างของกฎหมาย มันเป็นเรื่องของความถูกต้องชอบธรรม มีจริยธรรมหรือไม่มากกว่า
ปชป.ดักคอรัฐไม่ควรอุทธรณ์
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตามกระบวนการ รัฐบาลมีสิทธิ์ที่จะอุทธรณ์ ในชั้นศาลปกครองสูงสุด แต่ในส่วนของพรรคมีความเห็นว่า รัฐบาลควรจะใช้โอกาสตามที่ศาลปกครองมีคำสั่งออกมา ย่อมแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลใช้การบริหารแผ่นดินด้วยระบบคุณธรรมมากว่าพวกพ้อง และบริหารงานบุคคลตามหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง เพราะกรณีนายถวิลนั้น ชัดเจนถึงคำสั่งศาลปกครองว่า เหมาะสมที่จะกลับไปตำแหน่งเดิมด้วยเหตุผลอะไร คิดว่าถ้ารัฐบาลนำคำสั่งของศาลปกครองมาพิจารณา และใช้วิกฤติการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมแสดงให้สังคมเห็นว่า รัฐบาลยังใช้ระบบคุณธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน เชื่อว่าก็จะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย โดยวิธีการที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้คือการไม่ยื่นอุทธรณ์ และควรให้นายถวิลเข้าไปทำหน้าที่เพื่อพิสูจน์ ว่านายถวิลทำงานรับใช้บ้านเมือง ไม่ได้รับใช้นักการเมืองแต่อย่างใด
ชี้บทพิสูจน์นายกฯ ยึดมั่น ปชต.
นายองอาจ กล่าวต่อว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่มีปัญหาเรื่องการบริหารงานบุคคลในระบบคุณธรรมเป็นอย่างมาก โดยจะเห็นได้ในช่วงที่ผ่านมา เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลมีคำสั่งย้าย พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันทน์ และที่เป็นทราบกันดีว่าท่านไม่ยอมทำตามคำสั่ง รวมทั้งการย้ายรองปลัดกระทรวงการคลัง ทั้งหมดเป็นตัวอย่างที่ไม่ถูกต้องในลักษณะนี้ รัฐบาลไม่ควรปล่อยให้กรณีนายถวิลเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความไม่ถูกต้องที่รัฐบาลกระทำต่อข้าราชการประจำที่ทำงานรับใช้แผ่นดิน และการไม่อุทธรณ์กรณีนายถวิลนั้นจะเป็นได้แสดงให้สังคมๆ ได้เห็นว่ารัฐบาลยึดมั่นระบบคุณธรรม และเรื่องนี้จะเป็นเรื่องหนึ่งที่พิสูจน์ว่านายกรัฐมนตรียึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย และพิสูจน์ว่ารัฐบาลนี้ยึดถือการทำงานบนพื้นฐานหลักธรรมาภิบาลหรือไม่อย่างไร ถ้ารัฐบาลใช้กลเม็ดในการตุกติก หาทางให้นายถวิลไม่สามารถกลับไปทำหน้าที่ได้ตามคำสั่งศาลปกครองโดยใช้วิธีการใดก็ตาม ตนคิดว่าตรงนี้จะเกิดผลร้ายต่อรัฐบาลมากกว่า ถ้ารัฐบาลอยากให้คนมองภาพลักษณ์ของรัฐบาลไปในทางที่ดีเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล และการที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาฯ สมช. ที่ออกมากล่าวว่าพร้อมคืนตำแหน่งนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี และเมื่อเป็นข้าราชการประจำพร้อมที่จะไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมายได้อยู่แล้ว
ถกอัยการหาช่องอุทธรณ์คำสั่งศาล
นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่นายกฯ ให้สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ดูรายละเอียดคำสั่งศาลปกครองกลาง สั่งคืนตำแหน่งเลขาฯ สมช. ให้กับ นายถวิล เพื่อเตรียมยื่นอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุดนั้น เมื่อคืนวันที่ 31 พ.ค. ตนได้อ่านคำสั่งศาลแล้วจากทางเว็บไซต์ศาลปกครองกลาง หลังจากนี้ก็ต้องไปหารือกับอัยการ เพื่อดูว่ามีประเด็นไหนบ้างที่จะต้องไปต่อสู้คดีทั้งนี้ เป็นไปตามขั้นตอนหากรัฐบาลแพ้คดีปกครอง สปน.ในฐานะรับผิดชอบเรื่องของคดีปกครอง ต้องหารือร่วมกับอัยการ ส่วนจะหารือกับอัยการได้เมื่อไรนั้นยังไม่สามารถบอกได้ ซึ่งมีเวลา 30 วันในการดำเนินการ โดยได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับนายกฯ เรื่องของคดี ทราบจากข่าวสื่อมวลชนเท่านั้น
“ภราดร” โยนรอคำสั่งปู
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า “ยังไม่ทราบว่ารัฐบาลจะพิจารณาคำสั่งศาลปกครอง ให้คืนตำแหน่งเลขาธิการ สมช.ให้แก่นายถวิล อย่างไร แต่เห็นว่าน่าจะดำเนินการตามช่องทางของกฎหมาย ระหว่างนี้จะทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคำสั่งชัดเจน และพร้อมปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ในฐานะที่เป็นข้าราชการจะให้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ใดก็ได้ หากจะให้คืนตำแหน่งก็ไม่มีปัญหา ที่ผ่านมาผมไม่เคยเรียกร้องใดๆ เมื่อก่อนผมก็เคยเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในตำแหน่งข้าราชการประจำเหมือนที่ท่านถวิลเป็นอยู่ เพราะท่านเป็นคนเสนอย้ายผม ขณะที่ผมเป็นรองเลขาธิการ สมช.คู่กับท่าน โดยคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้ลงนาม ผมก็ไม่มีปัญหา ไม่เคยโวยวาย พล.ท.สุรพล เผื่อยอัยกา อดีตเลขาฯ สมช. ที่ถูกเซ็นย้ายไปก่อนที่คุณถวิลจะมาทำหน้าที่ เป็นคนที่มีความสามารถด้านความมั่นคงทุกด้านก็ไม่เคยมีปัญหา เราปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา หากไม่ให้ทำหน้าที่ก็กลับไปเป็นข้าราชการเหมือนเดิม ทั้งนี้ การที่ผู้บังคับบัญชาจะเลือกคนมาทำงานด้านความมั่นคงต้องขึ้นอยู่กับความไว้วางใจด้วย ใครทำงานด้านนี้ก็ต้องเข้าใจ เพราะงานบางอย่างสามารถสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษรได้ ขณะที่บางเรื่องต้องสั่งทางวาจาเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเปลี่ยนคนที่ไว้วางใจให้มาทำหน้าที่W
พท. ยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อนายถวิล มีสิทธิ์ฟ้อง ฝ่ายผู้ถูกฟ้องก็มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วัน แต่เบื้องต้นเข้าใจว่า ผู้เกี่ยวข้องของรัฐบาลนั้น ยังคงไม่ได้เห็นเอกสารคำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้เป็นสิทธิ์ของผู้บังคับบัญชาว่าจะเลือกแนวทางไหน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลอะไร เพราะรัฐบาลจะมีการพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างดีที่สุด และพิจารณาดำเนินการอย่างเหมาะสม ยืนยันว่ารัฐบาลจะอุทธรณ์หรือไม่นั้นเป็นสิทธิ์ หากนายถวิล หรือเครือข่ายจะนำกรณีอื่นใดในอดีตมาเทียบเคียงเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ ต้องว่ากันเป็นกรณีๆ ไป ส่วนที่เครือข่ายออกมาหนุนนายถวิล เป็นลูกหม้อ สมช.แต่รัฐบาล ไม่เอาคนที่มีความรู้ ความสามารถมาทำงานนั้น ขอเรียนยืนยันว่า พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติคนปัจจุบัน สามารถทำงานได้ ไม่มีอะไรเสียหาย ที่สำคัญ คนที่จะมาทำงานด้านความมั่นคงให้กับรัฐบาลนั้น เป็นสิทธิ์ที่รัฐบาลจะต้องเลือกเอาคนที่เชื่อได้โดยบริสุทธิ์ใจว่า จะดูแลด้านความมั่นคงในทุกมิติให้กับประเทศชาติและประชาชนอย่างดีที่สุด
แจงจัดงบ 2.5 ล้าน ล. ยึดประโยชน์ชาติ
ส่วนในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน ในช่วงแรกประมาณ 5 นาที ได้เปิดเทปบันทึกการชี้แจงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 วงเงิน 2.5ล้านล้านบาท จากนั้นเป็นการสัมภาษณ์รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2557 โดยนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2557 ได้วางกรอบยุทธศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาให้กับประเทศ, ลดความเหลื่อมล้ำ, สร้างคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น รวมถึงจัดทำงบประมาณที่สอดคล้องกับนโยบายที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง และเป้าหมายสำคัญคือการสร้างรายได้ โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันรายได้ของประเทศให้เท่ากับประเทศที่เคยมีรายได้ระดับปานกลางแต่ปัจจุบันได้เข้าสู่ประเทศที่มีรายได้ระดับสูง ส่วนตัวเลขงบประมาณที่เสนอจัดสรรจำนวน 2.5 ล้านล้านบาทที่ในการประชุมสภาฯ มีผู้ระบุว่า มียอดเงินที่สูงที่สุดในประวัติการณ์และเมื่อรวมกับตัวเลขใน ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงการพื้นฐานด้านคมนาคม วงเงิน 2 ล้านล้านบาท หรือโครงการไทยแลนด์ 2020 แล้วจะทำให้ตัวเลขเงินมีจำนวนสูงนั้น ตนอยากให้มองในเรื่องของรายละเอียดโครงการการมากกว่า อีกทั้งควรมองภาพในอนาคตที่หลังจากที่แล้วเสร็จโครงการไทยแลนด์ 2020 ภายใต้กรอบเวลา 7 ปีจะทำให้มีสินทรัพย์ที่อยู่กับประเทศนาน สำหรับเงื่อนเวลาที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2557 จะออกมาเป็นกฎหมาย คาดว่าจะก่อนวันที่ 1 ต.ค. ที่ถือเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณ 2557 ส่วนโครงการที่ระบุไว้ในร่าง พ.ร.บ.กู้เงินฯ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท เชื่อว่าจะออกมาบังคับใช้ได้ไล่เลี่ยกันและวันที่ 1 ต.ค.นี้ จะสามารถเริ่มต้นโครงการในร่างกฎหมายดังกล่าวได้ ในการใช้งบประมาณนั้นรัฐบาลได้ตั้งเป้าให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ทั้งในชั้นของสภาผู้แทนราษฎร, วุฒิสภา, หน่วยงานราชการ รวมถึงภาคประชาสังคม ทั้งนี้จะปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
“พท.” โวแจงครบถ้วน-สมบูรณ์แบบ
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ภาพรวมการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 ระหว่างวันที่ 29-31 พ.ค.ที่ผ่านมา ถือว่ารัฐบาลชี้แจงอย่างชัดเจนทั้งในส่วนของงบประมาณจำนวน 2.5 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบรายจ่าย 2.1 ล้านล้านบาท และงบลงทุน 4 แสนกว่าล้านบาท รัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจงอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ รวมถึงตัวแทน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ถือว่าทำหน้าที่ได้อย่างดี อภิปรายอยู่ในกรอบ ต่างจาก ส.ส.ฝ่ายค้านที่วางงานกันมาอย่างเป็นกระบวนการ เน้นใช้วิธีการพูดเชิงลบ เพื่อให้กระทบต่อรัฐบาล รวมถึงการพูดพาดพิงบุคคลที่ 3 ตลอดเวลา ทำให้เสียเวลาในการอภิปราย จึงอยากให้ฝ่ายค้านปรับปรุงตัว เพื่อให้การอภิปรายครั้งต่อไปเป็นไปอย่างสร้างสรรค์เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน และต้องขอขอบคุณที่ประชุมสภา ที่ได้ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดิน ปี 57 และตั้ง กมธ.แปรญัตติ 63 คน ประกอบด้วยสัดส่วนของคณะรัฐมนตรี 15 คน และ ส.ส. 48 คน ขึ้นมาแปรญัตติใน 30 วัน
ตอกรถตู้ไม่ซ้ำรอยครุภัณฑ์อาชีวะแน่
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ส่วนตัวเลขที่ผิดพลาดในการจัดซื้อรถตู้รับ-ส่งนักเรียนนั้น เกิดจากความผิดพลาดของฝ่ายธุรการ ที่จัดทำเอกสารประกอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 แต่ได้มีการแก้ไขแล้ว โดยได้ตั้งงบไว้จะซื้อ 1,000 คัน ราคาคันละ 1,232,400 บาท แต่ทางฝ่ายธุรการพิมพ์ผิด เป็นคันละ 2.4 ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณ มีหนังสือแจ้งมาแล้วว่า มีการพิมพ์ผิดพลาดของทางธุรการ ที่ไม่ได้มีการแก้ไขเอกสารให้ถูกต้อง คิดว่า ส.ส.ที่อภิปรายคงจะทราบแล้วแต่คงเป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่าจึงพยายามขยายประเด็น และถ้ามีการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ก็ต้องมีการเคลื่อนย้ายและต้องมีรถสนับสนุน อย่างไรก็ตาม กรมการขนส่ง เขียนไว้ชัดว่า ถ้าจะซื้อรถรับ-ส่งนักเรียนต้องเป็นรถตู้ ซึ่งสเปกและราคาที่ตั้งก็เป็นราคากลางของสำนักงบประมาณ การจัดซื้อต้องเป็นไปตามขั้นตอน และหลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ ที่มีการตั้งราคากลางไว้คันละ 1,232,400 บาท โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะต้องเปิดประมูลในรูปแบบระบบอิเล็กทรอนิกส์ (อีอ็อกชั่น) ซึ่งต้องพิจารณาผู้เสนอราคาต่ำสุดและเป็นไปตามสเปกที่กำหนดไว้ ยืนยันว่าการเปิดประมูลต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โปร่งใส และไม่มีการทุจริต รถตู้นะไม่ใช่รถเมล์ ไม่ใช่ตู้หยอดน้ำแสงอาทิตย์อัจฉริยะ หรือมหากาพย์ทุจริตครุภัณฑ์อาชีวะ 5.3 พันล้าน โกง 70-80% พรรคประชาธิปัตย์ใจร้ายที่ตั้งใจเปิดประเด็นนี้ เพราะงบประมาณในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการที่รัฐบาลได้จัดสรรสูงสุดนั้น รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องของการศึกษาที่ถือเป็นรากฐานของประเทศ แต่ฝ่ายค้านกลับมาโจมตี
“วิสุทธิ์” ยันตั้ง กมธ.ข้ามพรรคไม่ผิด รธน.
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์จะหารือยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความกรณีพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อ ส.ส.พรรคภูมิใจไทยมาเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ในโควตาของพรรคเพื่อไทย เข้าข่ายการ ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 135 นั้น เป็นสิทธิที่จะยื่นได้ แต่พรรคประชาธิปัตย์คงรู้อยู่แก่ใจเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่า การแต่งตั้งกรรมาธิการข้ามพรรคไม่ผิดรัฐธรรมนูญ เพราะปกติการแต่งตั้งกรรมาธิการต่างๆ จะนำใครมาเป็นกรรมาธิการก็ได้ จะเป็นคนนอก หรือข้ามพรรคก็ได้ ไม่มีข้อห้าม ขึ้นอยู่กับพรรคเสนอใครมา ไม่ใช่เรื่องแปลก อยากให้ดูการทำหน้าที่ตอนเป็นกรรมาธิการฯ จะดีกว่า ส่วนจะเหมาะสมหรือไม่ที่นำคนต่างพรรคมาเป็นโควตากรรมาธิการฯ ในสัดส่วนพรรคเพื่อไทยนั้น ไม่ขอออกความเห็น และไม่ทราบมาก่อนว่า จะมีการเสนอกรรมาธิการข้ามพรรค ทั้งนี้ถ้าทำผิดจริง ก็พร้อมลาออกอยู่แล้ว ใครทำผิดรัฐธรรมนูญอยู่ในตำแหน่งไม่ได้อยู่แล้ว อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็กลับไปทำสวน ทำไร่ ตำแหน่งรองประธานสภาฯ เป็นแค่หัวโขน ยืนยันว่า ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาตามข้อบังคับการประชุม ไม่ได้ตามใจพรรคใด และไม่รู้สึกโกรธ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ที่ท้วงติงเรื่องนี้ เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์รู้ดีว่า ตนทำผิดหรือไม่ พรรคประชาธิปัตย์มีนักกฎหมายจำนวนมาก ทั้งนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา ก็เป็นนักกฎหมาย แต่ทำไมไม่ท้วงติงเรื่องนี้สักคำตอนที่มีการตั้งกรรมาธิการข้ามพรรค พรรคประชาธิปัตย์คงแค่อยากดึงเวลาให้มากที่สุด แต่ช่วงนั้นใกล้จะถึงเวลา 14.00 น. ที่จะมีการประชุมวุฒิสภาต่อตามข้อตกลงแล้ว ดังนั้นต้องรีบปิดการประชุม
แย้มดึงมัชฌิมาร่วมทัพ ครม.ปู 4
นายอำนวย คลังผา ประธานวิปรัฐบาล ยืนยันว่า การเสนอตั้งนางนันทนา สงฆ์ประชา ส.ส.ชัยนาท พรรคภูมิใจไทย เป็นกรรมาธิการฯ งบประมาณปี 57 ในสัดส่วนพรรคเพื่อไทย ไม่ขัดรัฐธรรมนูญแน่นอน เพราะการแต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญต่างๆ สามารถแต่งตั้งบุคคลภายนอก คนต่างพรรคหรือใครก็ได้มาเป็นกรรมาธิการ แต่ถ้าเป็นกรรมาธิการสามัญทั่วไป ต้องแต่งตั้งจาก ส.ส.เท่านั้น เหตุผลที่ให้นางนันทนามาเป็นโควตากรรมาธิการพรรคเพื่อไทย เนื่องจากเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส.ที่จะลงคะแนน ซึ่ง ส.ส.กลุ่มมัชฌิมายกมือสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 57 ทุกคน จึงให้มาอยู่ในโควตาพรรคเพื่อไทย เพราะกลุ่มมัชฌิมาไม่ได้เข้าร่วมประชุมกับพรรคภูมิใจไทยมานานแล้ว รอให้พรรคภูมิใจไทยมีมติขับออก เพื่อไปหาพรรคใหม่ภายใน 60 วัน ส่วนที่กลุ่มมัชฌิมายกมือสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 57 เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะมาร่วมรัฐบาลในการปรับ ครม.ครั้งต่อไปหรือไม่นั้น ก็มีแนวโน้มเป็นไปได้ที่จะมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย แต่จะมาทันการปรับ ครม.ครั้งต่อไปหรือไม่นั้นยังไม่ทราบ เพราะขณะนี้พรรคภูมิใจยังไม่มีมติขับกลุ่มมัชฌิมาออกจากพรรค จะต้องรอให้ถูกขับออกจากพรรคก่อน จากนั้น ส.ส.ต้องหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 60 วัน
ปชป.โวอภิปรายงบสมบูรณ์แบบ
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ในวาระรับหลักการ ในที่ประชุมสภาไม่ว่าจะเป็น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล หรือ ฝ่ายค้านได้นำเสนอข้อมูล ข้อสังเกต และมีการอภิปรายที่เป็นประโยชน์ ในส่วนของพรรคหวังว่า รัฐบาลจะได้นำคำอภิปรายไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง ที่ผ่านมาในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เราพบว่าการใช้งบที่ผ่านการพิจารณาของสภาฯ มีการใช้จ่ายอย่างไม่ถูกต้อง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว หากนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ก็จะดี ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา พรรคทำหน้าที่ในการตรวจสอบอย่างเต็มที่ เราสามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชนได้อย่างสมบูรณ์ฯ แบบ และจากการพิจารณาในช่วง 3 วันที่ผ่านมา พบว่าการชี้แจงของรัฐบาลยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ในหลายประเด็น จะเห็นได้ว่าการชี้แจงของรัฐบาล ในกรณีโครงการรับจำนำข้าวที่ฝ่ายค้านอภิปราย หลายคนพบว่ามีความบกพร่องในการใช้งบ แต่ปรากฏว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตอบสั้นๆ ว่า ชาวนาได้ประโยชน์ ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายพบว่าโครงการดังกล่าวส่อทุจริตมีการใช้อำนาจหน้าที่ไม่ชอบหลายประการ รมต.ที่เกี่ยวข้องไม่ชี้แจงในประเด็นที่ฝ่ายค้านท้วงติง
ฉะจัดทำงบไม่น่าไม่วางใจ
นายองอาจ กล่าวต่อว่า ในเรื่องการซื้อรถตู้ของกระทรวงศึกษาธิการ ฝ่ายค้านทำหน้าที่ในการตรวจสอบ แม้รัฐบาลจะบอกว่าทำเอกสารผิด หากฝ่ายค้านไม่ตรวจสอบพบ เอกสารจะถูกนำไปใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างต่อไป จะทำให้ให้มีคนได้ประโยชน์ การชี้แจงของรัฐบาล ที่ผ่านมา รัฐบาลไม่สามารถชี้แจงได้ประจักษ์ชัด มีข้อเคลือบแคลงสงสัยหลายประการ จึงขอเรียกร้องไปยังนายกฯ ว่าควรทำให้การใช้งบเป็นไปอย่างโปร่งใส โดยไม่มีเรื่องการทุจริตเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะจากการอภิปราย 3 วันที่ผ่านมา พบว่ามีการทุจริตในหลายโครงการ อาจจะกล่าวได้ว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ในวาระรับหลักการเป็นการจัดทำแบบไม่น่าไม่วางใจใน 3 ประการ 1.จัดทำงบประมาณที่ส่อทุจริตเชิงนโยบาย 2.ทำแบบมีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล และ 3.จัดทำแบบที่มีปัญหาเรื่องการใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ฝ่ายค้านมีสิทธิ์ที่จะชี้ให้เห็นว่า หากใช้แบบนี้และจะเกิดผลเสียอย่างไร เวทีงบประมาณ ไม่ใช่เวทีที่จะให้ใครมาเยินยอรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียวแต่เป็นเวทีที่จะต้องทำหน้าที่แทนประชาชนและชี้ให้เห็นว่า เงินภาษีของประชาชนควรเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในกระเป๋าใครคนใดคนหนึ่ง เหมือนที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้
รอชำแหละต่อวาระ 2
นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท กล่าวว่า ขณะนี้การดำเนินการประชุมของคณะกรรมาธิการฯ มีปัญหาเนื่องจากกรรมาธิการฯ พรรคประชาธิปัตย์ เรียกเอกสารข้อมูลรายละเอียดต่างๆ แต่กลับได้รับเอกสารช้ามาก โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูง ที่รัฐบาลจ้างศึกษาความเหมาะสม ตามงบประมาณผูกพันปีงบประมาณ 2555-2557 จำนวน 1.3 พันล้านบาท โดยจะเริ่มสร้างในปีหน้า แต่ขณะนี้ยังไม่มีความพร้อมอะไร จึงเกรงว่าจะทำแล้วไม่เกิดประโยชน์ และในสัปดาห์หน้าจะประชุมวันที่ 3-6 มิ.ย.นี้ ก็ต้องดูว่าเอกสารที่เรียกไปก่อนหน้านี้ได้รับหรือไม่ หากไม่ได้รับก็ยืนยันว่ากรรมาธิการฯ ซีกพรรคประชาธิปัตย์ จะถอนตัวออกจากคณะกรรมาธิการฯ อย่างแน่นอน แต่ในวาระ 2 พรรคประชาธิปัตย์จะแปรญัตติเหมือนเดิม โดยเฉพาะส่วนที่มีการใช้งบประมาณซ้ำซ้อนกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี เช่น งบประมาณการศึกษาความเหมาะสม ที่ใช้งบประมาณประจำปี แต่งบประมาณการควบคุมงานและจ้างที่ปรึกษาโครงการใช้ประมาณจากการกู้เงิน ซึ่งต้องแยกแยะให้ดีว่าจะใช้งบประมาณจากส่วนไหน สำหรับการขยายผล จากการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ก็ต้องดูรายละเอียดที่ลึกมากขึ้นว่าจุดใดไม่ชอบมาพากลบ้าง
หาช่องฟ้องชง กมธ.ข้ามพรรค
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา และคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการที่ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย เสนอชื่อนางนันทนา สงฆ์ประชา ส.ส.ชัยนาท พรรคภูมิใจไทย เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 ว่า เรื่องนี้เป็นความไม่สุจริตของรัฐบาลที่นำสัดส่วนกรรมาธิการฯ ของฝ่ายค้านไปให้รัฐบาล ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจะมีการเสนอผลประโยชน์ในรูปแบบโครงการหรือผลประโยชน์อื่น เพื่อแลกกับการยกมือให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณดังกล่าว ผ่านการพิจารณา หรือเพื่อลดเสียงฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นความไม่โปร่งใสในการจัดงบประมาณของรัฐบาลที่แลกเปลี่ยนประโยชน์กับนักการเมือง เพราะงบประมาณนี้มีการหมกเม็ดไม่โปร่งใส อีกทั้ง ตามหลักคุณธรรมจริยธรรมนั้น ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะฝ่ายค้านต้องมีหน้าที่ตรวจสอบ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นการซื้อเสียงฝ่ายค้านเพื่อลดการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม ตนจะหารือกับทีมกฎหมายของพรรค ในวันที่ 6 มิ.ย.นี้ เพื่อดูข้อกฎหมายว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น