“เฉลิม” ฟิวส์ขาด ฉุนถูกเด้งพ้นรองนายกฯ
เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 28 มิ.ย.56 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล สตช. ที่กำลังตกเป็นข่าวเตรียมโยกย้ายไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เดินทางมามอบนโยบายการปฏิบัติราชการ ในงานสัมมนาการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายการบริหารราชการของ สตช.โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.และนายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.-ผบก.กว่า 300 นาย เข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ก่อนที่จะเริ่มมอบนโยบาย ร.ต.อ.เฉลิม ที่มีสีหน้ายิ้มแย้ม ได้เดินทักทายและพูดคุยกับนายตำรวจที่เข้าร่วมประชุม
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ต้องพึ่งพาตำรวจ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางอยู่ได้ และ 2 ปีที่ผ่านมา ตนมีชื่อเสียงได้เพราะตำรวจช่วย เนื่องจากผลสำรวจทุกครั้ง หากไม่นับนายกฯ เอาแค่ระดับรองนายกฯ และระดับรัฐมนตรี ตนได้คะแนนสูงตลอด อยู่ที่ระดับ 8 กว่าๆ อย่างไรก็ตาม หลักการบริหารราชการแผ่นดิน ตำรวจต้องเป็นต้นทางกระบวนการยุติธรรม ทั้งในงานด้านการสืบสวนและสอบสวน ตำรวจยุคนี้มีเกียรติวินัยกล้าหาญเหมือนเดิม แต่หลักการบริหารราชการที่ดีต้องขึ้นอยู่กับองค์กร แม้ที่ผ่านมาอธิบดีกรมตำรวจจะมาจากฝ่ายทหาร จึงไม่ได้ทำงานเพื่อองค์กรตำรวจ โดยทุกเช้าจะไปอยู่ตามหน้าบ้านนายกฯ หรือบ้านรัฐมนตรี แต่วันนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะในยุค พล.ต.อ.อดุลย์ ที่เป็น ผบ.ตร.จะตื่นเช้ามาประชุม ศปก.ตร.ทุกวัน แต่ไม่ใช่ว่า ผบ.ตร.จะไปพบนายกฯ ไม่ได้ แต่จะไปพบเมื่อมีการเทียบเชิญ ไม่ใช่เสนอหน้าไปพบแบบเมื่อก่อน
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า ตำรวจต้องยึดหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม หลักการมีส่วนร่วม หลักการมีความรับผิดชอบ และหลักในการแต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งตนไม่เคยเข้าไปแตะแม้แต่ตำแหน่งเดียว แต่ให้เป็นไปตามที่ ผบ.ตร.เสนอมา แต่ตนเคยเสนอคนเดียว คือ ตำแหน่ง ผบก.ป. ตนเคยเสนอย้ายตามนโยบาย ไม่ได้บอกว่าย้ายเพราะเป็นคนชั่วหรือเลว แต่เป็นนโยบาย แต่เมื่อโหวตแล้วตนแพ้แต้มก็จบไป แต่ขอยืนยันว่า ตนไม่เคยมีลูกน้อง ฉะนั้นเมื่อจากไป ก็ไม่ต้องมากลัวการล้างบาง ส่วนกรณีลดระดับอาวุโสในการแต่งตั้งระดับรอง ผบก.ลดลงไปจาก 33% เหลือ 25% นั้น หากทำตัวแต่เนิ่นๆ ก็ได้อยู่แล้ว แต่นี่มาทำก่อนโยกย้ายก็เลยมีปัญหา ตนจึงให้ พล.ต.อ.อดุลย์ ไปพิจารณามาอีกรอบ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวช่วงหนึ่งว่า การที่ตนถูกปรับย้ายไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก มาแทนตนในตำแหน่งรองนายกฯ ดูแล สตช.นั้น ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตามปกติ เพราะทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง ขอยืนยันว่าไม่ได้น้อยใจ เพราะการเมืองไม่มีใครรักใคร แต่เป็นเรื่องของการประสานผลประโยชน์ให้เกิดความพอดี ฉะนั้นการปรับย้ายตนนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ก็มีนักข่าวมาถามตนว่า หากมีม็อบจะทำยังไง แล้วจะให้ทำยังไง เพราะเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องของ พล.ต.อ.ประชา และตำรวจแล้ว ที่ต้องดูแล ส่วนตนจะดูแลเรื่องแรงงานต่างด้าว หากมีการปรับให้ตนออกอีกรอบเป็น ส.ส.ธรรมดา ก็ไม่เป็นไร ส่วนที่มีข่าวนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ น้อยใจตนเพราะไปไล่ให้ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนั้น ตนไม่ได้ไล่ และตนก็ไม่ได้อยากไป
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า คำถามที่ว่าตนเล่นการเมืองแบบท้าทายนั้น เพราะเป็นนิสัยส่วนตัวตนว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการทุจริตและคอรัปชั่น แต่ก็ยังมีนักข่าวบอกว่าตนได้ดีเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตรงนี้ขอเล่าว่า ตั้งแต่หลังปี 2547 ตนได้หยุดเล่นการเมือง แต่หลังจากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่วันนั้นยังไม่ได้เป็นนายกฯ ไปตามตนที่บ้านย่านบางบอน ให้ไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ลอนดอน โดยมีการทาบทามให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้าพรรค แต่ทาง พล.อ.ชวลิต กลับปฏิเสธ เพราะมีการตั้งพรรคคู่ขนาน อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าอย่าเลยเดี๋ยวเขาจะตั้งพรรค และจะหาเสียงให้ หากพรรคชนะเลือกตั้ง จะให้ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตนก็ตอบตกลง และเมื่อกลับมาที่บ้าน นายสมัคร สุนทรเวช ก็มาที่บ้านตนเพื่อชวนเล่นการเมือง ตนก็ตอบตกลงเพราะได้ไปคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไว้แล้ว เมื่อพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล ตนก็ได้เป็นรัฐมนตรีจริงเมื่อครบ 4 เดือนออก นายสมัคร ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเพิกถอนสิทธิ์ความเป็นนายกฯ เนื่องจากจัดรายการทำอาหาร
“พอมาถึงยุครัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผมก็ถูกโยกไปอยู่สาธารณสุข ก็ไม่รู้ว่าให้ไปทำอะไร เพราะมีแต่เข็มฉีดยา การเมืองในยุคนั้นจนมาถึงวันนี้ ต้องเข้าสู่กระบวนการเหมือนกันหมด ผมวางแผนมาตลอด เขียนแผน 9 ข้อ ที่ผมทำงานได้มาจนถึงทุกวันนี้ เพราะ ผบ.ตร.มีวินัยและเชื่อฟังผม ขอถามสมัยก่อนคนที่มาดูแลตำรวจ รับผิดชอบเหมือนผมไหม” รองนายกฯ ระบุ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า ตนได้รับมอบหมายจากนายกฯ ให้เป็น ผอ.ศปก.กปต.ทันทีที่ได้รับผิดชอบก็ได้เดินทางไปหาทหาร พร้อมบอกว่านายกฯ มอบหมายให้รับผิดชอบส่วนนี้ จะยอมรับได้ไหม ทางทหารก็บอกว่าได้ แต่ตนมองว่าปัญหาภาคใต้แก้ยาก หลังจากนั้นได้มีการมอบหมายให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต.ให้ไปพูดคุยกับนายฮัสซัน ตอยิบ พร้อมกับความพยายามที่จะนำตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปพบนายนาจิบ ราซัค นายกฯ มาเลเซีย เพื่อให้เกิดการเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็น ซึ่งเรื่องนี้ตนก็ได้หารือกับ พล.ต.อ.อดุลย์ เห็นว่าถ้าเอานายกฯ ไปด่านหน้า ก็เหมือนเอาขุนไปเดินหน้าเบี้ย แต่ท้ายที่สุดเรื่องก็เสร็จ และมีการแถลงข่าวที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งตนก็รู้สึกไม่ปกติ จึงได้สอบถามไปยัง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาฯ สมช. ว่าทำไมก่อนหน้านี้ไม่มีการรายงานมายัง ศปก.กปต.ให้ทุกฝ่ายได้รับทราบ ซึ่งเรื่องนี้ทาง พล.ท.ภราดร ก็เข้าใจ แต่พอมีการประชุม ศปก.กปต.กลับไม่มีการใส่ชื่อตนในที่ประชุม ท้ายที่สุดนายกฯ จึงต้องสอบถามว่า ทำไมถึงไม่เข้าประชุม ตนก็ตอบกลับไปว่า เขาไม่ใส่ขื่อตน
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า พ.ต.อ.ทวี ไม่เคยฟังผม ทำงานแบบสวัสดีครับ แล้วเอาเงินไปแจกมัสยิด แต่ไม่แจกทหารไทย นรต.รุ่น 37 อย่าง พ.ต.อ.ทวี ไม่เคยมองมาที่คณะทำงาน ไม่เคยมองทหาร แต่กลับเอาแต่พวกตนเอง เอาพวก ศอ.บต.ไม่เคยรายงานตน โดยเรื่องที่ทางบีอาร์เอ็นเรียกร้อง 5 หรือ 7 ข้อ ก็ไม่มารายงานต่อคณะทำงาน แต่กลับแจกข่าวให้นักข่าว และกรณีการสังหาร 6 ศพที่ปัตตานี ก็รายงานว่าตายเพราะเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เมื่อทางสุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบช.ศชต. จับคนร้ายได้ 1 คนและคนร้ายถูกฆ่าตาย 1 คน ซึ่งคนที่ถูกจับให้การชัดเจนว่า 6 ศพที่ปัตตานี คนร้ายที่ตายไปเป็นคนสั่งฆ่า ตนจึงเห็นว่าเรื่องนี้ควรจะมีการแถลงข่าว แต่ พ.ต.อ.ทวี ก็ไม่ยอม อ้างว่าจะทำให้ทำงานลำบาก ถ้า พ.ต.อ.ทวีไม่ฟัง ตนจะเป็นประธานทำไม
“ไอ้ทวีจะไม่ให้เกียรติผมก็ได้ แต่ต้องให้เกียรติคณะทำงานด้วย แต่หากคุณไม่พอใจผม ก็ไปวิ่งเต้นโยกย้ายผมเลย สุดท้ายไอ้เหี้ยทวี มันก็ทำได้ มันเอาความเท็จไปฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และยิ่งลักษณ์ จนเป็นที่มาของการปรับ ครม.ให้ผมออกจากเก้าอี้ แล้วเอา พล.ต.อ.ประชา มาแทน เพราะไอ้ทวี เป็นคนไปฟ้องว่าไอ้เฉลิมเป็นคนตั้งบ่อน ตำรวจก็ไม่พอใจ นักข่าวที่สนิทกันก็มาถาม ผมก็ไม่แก้ตัว แต่ให้มึงไปถาม ผบ.ตร. ถาม ผบช.น. หรือ ผบก.ภ.จว.ว่าผมเปิดบ่อนจริงหรือไม่ ผมขอสาปแช่งเลยว่า ใครเอาเรื่องนี้มาใส่ร้ายผม ขอให้มันฉิบหายเจ็ดชั่วโคตร ผมไม่กลัวโดนปรับออก ผมไม่ใส่ใจ ยินดีที่จะได้กลับไปเป็นผู้แทน ผมโตมาได้เพราะฝ่าฟันด้วยตนเอง ไม่ได้เพราะอะไร ไม่ใช่แมงดา แต่เป็นฝีมือล้วนๆ แต่ขอบอกว่าไอ้ทวีเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลประสบปัญหาภาคใต้ เรื่องนี้หากนายกฯ ไม่พอใจ หากปรับผมออกอีก ก็ไม่เป็นไร ในทางการเมืองไม่มีใครอยากทะเลาะกับนายสมัคร และผม เพราะคนนั้นเป็นคนที่คิดผิด กินยาผิดซอง” รองนายกฯ กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การเมืองเข้าสู่โหมดแตกหัก เพราะ 2 ปีที่ผ่านมานายกฯ เอาตัวรอด แต่พรรคเจอปัญหา พรรคต้องประสบปัญหาเรื่องจำนำข้าวที่เน่า โดยนายกฯ มอบหมายให้ตนดูแล และตนก็เชื่อมือตำรวจ ซึ่งทาง พล.ต.อ.วรพงษ์ เคยกล่าวหาว่า ถ้าขั้นตอนการจำหน่ายมีการทุจริตจำนวนมาก รัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ กับสถานการณ์การยั่วยุจากกลุ่มหน้ากากขาว โดยจะมี 3-4 เครื่องที่เดินเครื่องหนักเพื่อล้มรัฐบาล ซึ่งในกลุ่มหน้ากากขาวจะมีพวกเสื้อเหลืองเก่า พวกพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม กลุ่ม น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ และกลุ่มใหม่ การสร้างเงื่อนไขของคนเสื้อแดงให้เกิดการทุบตี หากแดงจริงไม่มี ก็จะใช้แดงเทียม และเรื่องการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เป็นโครงการที่ดี แต่ศาลปกครองให้มีการประชาพิจารณ์ก่อนนั้น กู้เงินไม่ได้แล้ว และขั้นตอนต่อจากนี้จะมีการฟ้อง ป.ป.ช.ตรงนี้ตนยืนยันว่ามีมูลล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะศาลบอกแล้วว่านายกฯ ไม่มีอำนาจกู้ ซึ่งขัดมาตรา 157 กรณีร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ขณะนี้เขายังดูอยู่ว่า ถ้ายุบพรรคเพื่อไทยแล้ว จะมีสมาชิกเพียงพอในการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ ถ้าตรวจสอบแล้วมีสมาชิกไม่ครบ ก็ต้องดูต่อว่า ยุบพรรคแล้วเลือกตั้งชนะหรือไม่ การเลือกตั้งครั้งต่อไป ถ้าเพื่อไทยชนะ ก็ยังไม่มีการยุบพรรค ตนอ่านการเมืองไม่ผิด
“ปู”เก็บตัวพิษ”เฉลิม”บอมม์! ปชป.ยุสาวใส้ครม.ต่อ
สส.อีสานโวยเก้าอี้หด ข้ามหัว-คนนอกเสียบ
นายกฯ เก็บตัวเงียบในบ้านพักหลัง “เฉลิม” ทิ้งบอมบ์ถล่มรัฐบาลกันเอง ขณะที่ “ปชป.-ภท.” ยุส่งเหลิม ลากไส้ปัญหารัฐบาลปูต่อ เย้ยไม่เห็นหัวถูกลดชั้นนั่ง รมต.เกรดซี ด้าน พท.กระเพื่อมอีก “ส.ส.อีสาน” น้อยใจ ครม.ปู 5 หั่นโควตาอีสานเหลือเก้าอี้เดียว โวยตั้งคนนอกมากเกิน หยามฝีมือ รมต. อดีตข้าราชการคิดนอกกรอบไม่ได้ เย้ยไร้ฝีมือแก้ปัญหา ฮึ่มจี้ถามเหตุผลที่ประชุมพรรคมองข้ามหัว ส.ส. ส่วน “ทีมโฆษก พท.” เรียงหน้าตีปิ๊บ ครม.ปู 5 สายแข็ง-หน้าตาดี-มีความรู้ ชู รมต.ทุกคนสานต่องานได้เลย คุยโวปิดประตูตายยุบสภา ลากยาวครบเทอมแน่ โต้ ปชป.ปัดแม้วจอมบงการ อ้างแค่สารานุกรมเคลื่อนที่ โอ่ฝีมือปูล้วนๆ
“ปู” เก็บตัวเงียบในบ้านพัก
เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.56 บรรยากาศบริเวณบ้านพักของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายในซอยโยธินพัฒนา 3 ตั้งแต่ช่วงเช้ายังคงเงียบเหงา มีเพียงสื่อมวลชนรอติดตามความเคลื่อนไหว ขณะที่นายกรัฐมนตรี ยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ภายในบ้านพัก ใช้ช่วงวันหยุดพักผ่อนกับครอบครัว ซึ่งในวันนี้นายกรัฐมนตรียังไม่มีภารกิจใดๆ สำหรับการรักษาความปลอดภัยบริเวณบ้านพักนายกรัฐมนตรี มีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความเรียบร้อยตามปกติ
โพล่ง ครม.ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ 2 ก.ค.นี้
นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เตรียมพร้อมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ก่อนจะเริ่มปฏิบัติภารกิจแรกด้วยการประชุมคณะรัฐมนตรี ในเช้าวันที่ 2 ก.ค.นี้ โดยหลังเสร็จสิ้นการประชุม ครม. รัฐบาลจะจัดกิจกรรมเปิดตัว คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ต่อการรับหน้าที่เข้ามาบริหารประเทศ ด้วยความสุจริตและโปร่งใส
โผ ครม.ปู 5
สำหรับโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยิ่งลักษณ์ 5 ที่อยู่ระหว่างการโปรดเกล้าฯ มีการสลับตำแหน่งจำนวน 7 ราย ประกอบด้วย 1. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ควบ รมว.กลาโหม อีกหนึ่งตำแหน่ง 2.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นรองนายกฯ ตำแหน่งเดียว 3.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นรองนายกฯ 4.นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล เป็น รมว.พาณิชย์ 5. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็น รมว.แรงงาน 6.นายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ 7.นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกฯ ควบ รมช.เกษตรและสหกรณ์ อีกหนึ่งตำแหน่ง และเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ 11 ราย ประกอบด้วย 1.นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2.นางปวีณา หงสกุล รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) 3.นายพีรพันธุ์ พาลุสุข เป็น รมว.วิทยาศาสตร์ฯ 4.นายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็น รมว.ศึกษาธิการ 5.นายชัยเกษม นิติสิริ เป็น รมว.ยุติธรรม 6.พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม 7.นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.คลัง 8.นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ 9.นายพ้อง ชีวานันท์ รมช.คมนาคม 10.นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ รมช.มหาดไทย และ 11.นายสรวงศ์ เทียนทอง รมช.สาธารณสุข สำหรับรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่ง 11 ราย ประกอบด้วย 1.นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ พ้นจาก รมว.แรงงาน 2.นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล พ้นจาก รมว.วิทยาศาสตร์ฯ 3.นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ พ้นจาก รมว.พาณิชย์ 4.นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข พ้นจาก รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5.พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต พ้นจาก รมว.กลาโหม 6. น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ พ้นจาก รมต.ประจำสำนักนายกฯ 7.พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก พ้นจาก รมช.มหาดไทย 8.นายประเสริฐ จันทรรวงทอง พ้นจาก รมช.คมนาคม 9.นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร พ้นจาก รมช.เกษตรฯ 10.น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว พ้นจาก รมช.สาธารณสุข และ 11.นายฐานิสร์ เทียนทอง พ้นจาก รมช.อุตสาหกรรม
พท.อ้างโผมีทั้งตรง-ไม่ตรง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า โผรายชื่อคณะรัฐมนตรี ตามที่เป็นข่าวนั้น มีทั้งตรงและไม่ตรง เนื่องจากต้องรอการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อน จึงจะมีความชัดเจน แต่ดูภาพรวมของ ครม.ชุดนี้แล้ว ถือว่าดูดี พร้อมมองว่า รายชื่อ ครม.ชุดนี้ มีบุคคลภายนอกเข้ามาช่วยงานด้วย จะทำให้งานในสาขานั้นๆ มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น ส่วนนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ที่ได้มีชื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์นั้น เชื่อว่าจะสามารถทำให้งานในกระทรวงมีความชัดเจน และตอบคำถามสื่อมวลชนได้ดี ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงกลาโหม หาก นายกรัฐมนตรี เข้ามาดำรงตำแหน่งควบ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะสามารถสร้างความเชื่อมั่น และทำให้การทำงานมีเอกภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องภาคใต้ นอกจากนี้ นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวยอมรับถึงผลสำรวจคะแนนนิยมของรัฐบาล โดยระบุว่า การปรับ ครม.ในครั้งนี้ จะทำให้รัฐมนตรีทำงานหนักขึ้น และชี้แจงประชาชนมากขึ้น
โว ครม.ปู 5 สายแข็ง-หน้าตาดี
ด้าน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุการปรับ ครม.ของรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรี แต่คนบงการยังเหมือนเดิม ซึ่งจะไม่ช่วยอะไรในการบริหารประเทศ ว่า เป็นการพูดแบบขาดสติ เหมือนคนมีปมด้อย เพราะนายอภิสิทธิ์ยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ กับใคร เพราะไม่เคยมีครั้งใดที่พรรคแกนนำหลักจัดตั้งรัฐบาล ต้องยอมเสียกระทรวงหลักๆ อย่างกระทรวงมหาดไทย คมนาคม และพาณิชย์ให้กับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทย จึงอาจทำให้นายอภิสิทธิ์ไม่เข้าใจว่านายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็มในการปรับ ครม.เป็นอย่างไร หากนายอภิสิทธิ์ว่างมากก็ควรไปบงการใน ครม.เงาของพรรคประชาธิปัตย์ให้สนุกกันเต็มที่ดีกว่า ยืนยันว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้ของรัฐบาลไม่มีจอมบงการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเพียงสารานุกรมเคลื่อนที่ ที่ยินดีให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ ส่วนอำนาจการปรับ ครม.อยู่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว และถ้าดูจากข่าวจะพบว่า ครม.ใหม่มีหน้าตาดี มีความรู้ ถือเป็น ครม.สายแข็ง เป็นที่พึ่งของประชาชนได้ ไม่ได้ปรับเพื่อต่างตอบแทน เพราะไม่มีเรื่องโควตาเข้ามาเกี่ยวข้อง เห็นได้จากมีบุคคลภายนอกที่มีความสามารถเข้าเป็นรัฐมนตรีด้วย ดังนั้นจากนี้ไปคงปิดประตูตายเรื่องข่าวการยุบสภา รัฐบาลอยู่ครบเทอมแน่นอน เพราะเราได้มืออาชีพเข้ามาจำนวนมาก ยิ่งถ้าถึงเดือน ธ.ค.นี้ ก็จะมีสมาชิกบ้านเลขที่ 109 ที่พ้นเงื่อนไขถูกตัดสิทธิทางการเมืองเข้ามาเป็นพลังเสริมทีมอีกหลายคน อย่างไรก็ตามที่พูดไม่ได้หมายความว่าจะมีการปรับ ครม.อีกครั้งในเดือน ธ.ค.
ชูทุกเก้าอี้สานต่องานทุกเรื่อง
ขณะที่ น.ส.อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มั่นใจว่า ครม.ชุดใหม่จะได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งภายในและภายนอกประเทศมากขึ้น เพราะไม่ได้ใช้ระบบโควตา แต่ดึงคนที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เข้ามาร่วมเป็นรัฐมนตรี และจากนี้ไปรัฐบาลก็จะเดินหน้าสานต่องานทุกเรื่อง ทั้งโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การบริหารจัดการน้ำ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ จึงมั่นใจว่าตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศหรือจีดีพีจะเพิ่มสูงขึ้น และเงินบาทที่อ่อนค่าลงก็จะมีส่วนช่วยผู้ส่งออกให้มีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นด้วย
“ศันสนีย์” ยันไม่เสียใจถูกปรับ
น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ มีรายชื่อของตนเองถูกปรับออก ซึ่งได้รับทราบจากสื่อแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าใครจะเข้ามารับตำแหน่งตามที่เป็นข่าวเท่านั้น เพราะเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี เป็นคนดำเนินการทั้งหมด ดังนั้นถ้ายังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมา รัฐมนตรีทุกท่านก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม มีหน้าที่ปฏิบัติราชการอย่างเดิม ส่วนหากมีการปรับเปลี่ยนตนเองออกจากตำแหน่ง ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ เพราะไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ตนก็ยังทำหน้าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีอยู่ ส่วนรายชื่อรัฐมนตรีชุดใหม่นั้นไม่มีใครรู้ เพราะนายกรัฐมนตรีจัดการด้วยตัวเอง เรื่องนี้หากอยากจะรู้ว่าใครเป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหน ต้องรอการโปรดเกล้าฯ ลงมาเท่านั้น
“เสริมศักดิ์” แจงนั่งเก้าอี้เดิม
ด้าน นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ยืนยันไม่ได้ถูกปรับออกจากตำแหน่ง และคาดว่าในวันจันทร์นี้ (1 ก.ค.) รัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่อาจเตรียมพร้อมเพื่อรอพระบรมราชโองการ
ส.ส.อีสานโอดได้โควตา รมต.น้อย
นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงโผรายชื่อการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 5 ว่า เท่าที่ดูมีการนำคนนอกมาเป็นรัฐมนตรีมากเกินไป 4-5 ตำแหน่ง ควรเอา ส.ส.ที่มีฝีมือมาเป็นรัฐมนตรีก่อน เช่น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีฝีมือค้าขาย ควรได้เป็นรัฐมนตรี เพราะคนนอกที่มาจากข้าราชการนั้น แนวคิดก็ยังเป็นข้าราชการ มีระเบียบแบบแผนตามระบบราชการ คิดนอกกรอบไม่ได้ และก็ยังไม่รู้ว่ามีฝีมือจริงหรือไม่ แต่ถ้ามาจาก ส.ส.จะกล้าคิดนอกกรอบ การอ้างว่านำคนนอกมาเสริมภาพลักษณ์รัฐบาลนั้น ไม่จำเป็น เพราะ ส.ส.ในสภาก็มีฝีมือและภาพลักษณ์ดีเหมือนกัน ได้คุยกับ ส.ส.อีสานหลายคนก็เห็นตรงกันว่ามีคนนอกมามากเกินไป แต่สัดส่วน ส.ส.อีสานได้เป็นรัฐมนตรีรอบนี้น้อยเกินไป มีแค่ตำแหน่งเดียวคือ นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย ทั้งที่ ส.ส.อีสานเป็นฐานเสียงให้พรรคเพื่อไทย จึงควรให้โอกาสแสดงฝีมือมาก เชื่อว่าคงมี ส.ส.อีสานบางส่วน นำเรื่องที่ ส.ส.อีสานได้โควตารัฐมนตรีน้อยไปถามเหตุผลในที่ประชุมพรรค เพราะจะทำให้ ส.ส.อีสานน้อยใจ
โวยตั้งคนนอกมากเกิน
นายอนันต์ ศรีพันธุ์ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ส.ส.อีสานหลายคนไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่ย้าย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็น รมว.แรงงาน เป็นการย้ายไม่ถูกทาง อยากถามว่า ถ้าย้าย ร.ต.อ.เฉลิมเป็น รมว.แรงงานแล้ว ใครจะช่วยตอบคำถามในสภาฯ แทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถ้าไม่ได้เป็นรองนายกฯ ก็คงไปตอบคำถามแทนไม่ได้ นอกจากนี้ ส.ส.อีสานยังบ่นน้อยใจว่า นำคนนอกมาเป็นรัฐมนตรีมากเกินไป ไม่รู้เป็นใครมาจากไหน ไม่เคยมาช่วยหาเสียง แต่กลับได้เป็นรัฐมนตรี ส.ส.ในพรรคที่มีความรู้มากมายกลับไม่เอา ซึ่งคนนอก 80% ที่มาเป็นรัฐมนตรีจะไม่เข้าใจว่าชาวบ้านต้องการอะไร เพราะไม่ได้มาจากประชาชน เวลาที่ไม่มีปัญหาอะไรก็ไม่เคยมาถาม ส.ส.อีสาน แต่พอมีเวลามีปัญหาเรื่องโครงการจำนำข้าวขึ้นมา กลับเรียก ส.ส.อีสานไปช่วยแก้ปัญหากับชาวบ้านแทน
เชื่อเฉลิมฟิวส์ขาดไม่ทำ พท.กระเพื่อม
สมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ระบุว่า พ.ต.อ.ทวี สองส่อง เลขาธิการ ศอ.บต.กล่าวเท็จกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ จนทำให้หลุดออกจากตำแหน่งรองนายกฯ ว่า เรื่องนี้ตนยังไม่เห็นรายละเอียดของเรื่องนี้ แต่คิดว่าการที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูดไป อาจเพราะอยู่ในอารมณ์ของคนที่ถูกปรับออกจากตำแหน่งที่สูงกว่า ดังนั้นตนคงพูดในรายละเอียดไม่ได้ เพราะเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีที่จะปรับใครเข้าหรือให้ใครออก แต่คนเป็นรัฐมนตรีก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีว่าจะให้ทำอะไร ส่วนตนเชื่อว่าเรื่องของการปรับคณะรัฐมนตรีจะไม่ทำให้ภายในพรรคเพื่อไทยเกิดปัญหา เพราะขณะนี้พรรคเพื่อไทยก็มีเสถียรภาพที่ดี เนื่องจากทุกคนเคารพในการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี
ปชป.ยุเหลิมแฉปรับ ครม.ปู 5
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมายอมรับว่า เกิดความขัดแย้งกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จนทำให้ตัวเองอาจต้องถูกปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ไปเป็น รมว.แรงงาน นั้น ตนเห็นว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้ แสดงว่าไม่มีใครเห็นความสำคัญของ ร.ต.อ.เฉลิม แล้ว จึงอยากให้ ร.ต.อ.เฉลิม กลับไปอยู่บ้านที่ย่านบางบอน และเลี้ยง “น้องกาโม่” หลานชายจะดีกว่าทั้งนี้ จึงอยากเรียกร้องไปยัง ร.ต.อ.เฉลิม ว่า ขอให้ออกมาพูดให้มากกว่านี้ สังคมจะได้รู้ความจริงว่า ตลอด 2 ปี ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง เหตุใดรัฐบาลจึงไม่แถลงผลการดำเนินการของรัฐบาลต่อสภาผู้แทนราษฎร เป็นเพราะไม่มีผลงาน และเกิดปัญหาความขัดแย้งของคนในรัฐบาลหรือไม่
“ภท.” เชียร์เหลิมแฉอีก
นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ที่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวโจมตีรัฐบาล ในการมอบนโยบายการปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าเรื่องดังกล่าวต้นเหตุน่าจะเกิดจากความไม่พอใจในการปรับคณะรัฐมนตรี ที่ถูกโยกไปยังกระทรวงแรงงาน แต่การพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม ทำให้รู้ว่ารัฐบาลนั้นมีการบริหารงานการแก้ไขปัญหา 3 ชายแดนภาคใต้นั้นล้มเหลว อีกทั้งยังเรื่องข้าวที่ได้มีการพูดถึง ที่ส่อให้เห็นถึงการทุจริต ที่ทำให้เกิดความเสียหาย การที่ ร.ต.อ.เฉลิม ออกมาพูดแบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะการพูดครั้งนี้ทำให้ประชาชนได้เห็นถึงปัญหาที่รัฐบาล บริหารงาน รวมถึงการปรับคณะรัฐมนตรีว่ามีใครอยู่เบื้องหลังบ้าง การแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้วันนี้แย่ลงกว่าที่ผ่านมา ทหาร ตำรวจตายกันทุกวัน อีกทั้งคนในรัฐบาลที่มีหน้าที่แก้ปัญหาภาคใต้ ก็ยังมีปัญหากันในการทำงาน ดังนั้นประชาชนที่อยากเห็นภาคใต้สงบ คงจะหมดหวัง
วันที่ 30/06/2556 เวลา 0:04
ซื้อเวลา “ยิ่งลักษณ์ 5”
คั่นเวลา-รอเปลี่ยนฉาก
แล้วก็ต้อง ปรับ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 5” ในที่สุด
ในห้วงเวลาที่ “รัฐนาวา” เดินเครื่อง ผ่านการบริหารประเทศ โดยการนำของ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ มาเป็นเวลา 2 ปี
ต้องบอกว่า ไม่ใช่เรื่องผิดคาดใดๆ
และไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายแต่อย่างใด
โดยเฉพาะเมื่อ “รัฐนาวา” ลำนี้ กำลังทุลักทุเลอย่างยิ่ง ในห้วงเวลาของ “คลื่นลมมรสุมทางการเมือง” ในปัจจุบัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่เป็นห้วงเวลา “ขาลง”
และปฏิเสธไม่ได้ว่า “สถานะ” ตลอด 2 ปี ของ “รัฐนาวา” ลำนี้
ไม่เคยมีห้วงเวลาใดเลย ที่จะแล่นไปบนพื้นผิวราบเรียบและราบรื่น
โดยไม่มี “อุปสรรค” และ “ขวากหนาม” ใดๆ
ความจริงก็คือ นี่ไม่ต่างกับ “ชะตากรรม”
เป็น “ชะตากรรม” ที่สืบเนื่องจาก “วิบากกรรม” ทางการเมือง
อันส่งผ่าน จาก “รุ่น” สู่ “รุ่น” โดยไม่ขาดระยะ
เริ่มตั้งแต่ “ทักษิณ ชินวัตร”
จนถึง “สมัคร สุนทรเวช”
จนถึง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์”
และจนถึง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในห้วงเวลาปัจจุบัน
นี่เป็น “ชะตากรรม”
ที่ถูกส่งผ่านโดย “วิบากกรรม”
ในสถานะของ “ผู้นำ” ของ “รัฐนาวาประเทศไทย”
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่จำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยน “อะไหล่ทางการเมือง”
และไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่จำเป็นจะต้องมีการเพิ่ม “ภูมิคุ้มกันในทางการเมือง”
โดยเฉพาะในห้วงเวลา “ขาลง”
ความจริงก็คือ เมื่อเกิดกรณีปัญหาใดๆ วิธีการที่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ก็คือ “ปรับ” และ “เปลี่ยน”
ทั้งโดย “ค่อยเป็น-ค่อยไป”
และทั้งโดย “ฉับพลัน-ทันที”
นี่เป็นภาวการณ์ปกติ ในห้วงเวลาที่ไม่ปกติ และไม่ธรรมดา
โดยเฉพาะกับ “วงโคจรทางการเมือง” ที่มี “สัญญาณ” บางอย่าง หรือหลายอย่างเกิดขึ้น อย่างไม่ปกติ และไม่ธรรมดา
และครั้งนี้ ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ของ “รัฐนาวา” ลำนี้
และแน่นอนว่า นี่ก็ย่อมไม่ใช่ครั้งแรก
ของ “รัฐนาวา” ภายใต้การนำของ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ เช่นกัน
“รัฐนาวา” ภายใต้การนำของ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ปรับ ครม.มาแล้ว 4 ครั้ง
ครั้งล่าสุด นับเป็นครั้งที่ 5
การปรับ ครม.ทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา มี “เหตุผล” และ “ความจำเป็น” แตกต่างกันไป ตาม “บริบททางการเมือง” ในห้วงเวลานั้นๆ
ทว่า! ไม่ใช่กับครั้งนี้
ที่มี “เหตุผล” และ “ความจำเป็น” มากกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
ว่าไปแล้ว สถานการณ์ในห้วงเวลานี้
แทบจะอยู่ในภาวะ “ตั้งรับ” ชนิด “เดินหน้าไม่ได้” แต่ก็ “ถอยไม่ได้”
และการ ปรับ ครม. “ยิ่งลักษณ์ 5” ก็เป็นยิ่งกว่า “ไฟลท์บังคับ”
กล่าวคือ แม้จะรู้ดีว่าการ “ปรับใหญ่” ในครั้งนี้ อาจไม่ช่วยให้สภาพการณ์โดยรวมดีขึ้นมากมายนัก
และตรงกันข้าม ในบางสถานการณ์ อาจกลับยิ่งทำให้ย่ำแย่ลงกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
แต่จะไม่ปรับเลย ก็ทำไม่ได้
เพราะนั่นจะยิ่งย่ำแย่กว่าที่เป็นอยู่
และอาจจะเสียหายต่อ “ภาพรวม” จนเกินกว่าจะแก้ไขให้บรรเทาหรือทุเลาลงได้
ความจริงก็คือ สถานการณ์เวลานี้แทบจะเป็น “สถานการณ์บังคับ”
ทำก็อาจไม่ช่วยอะไรมาก
แต่ถ้าไม่ทำ สถานการณ์ก็อาจจะไปเกินกว่าที่จะกู้กลับคืนได้
โดยเฉพาะเมื่อประเมินจาก “สัญญาณ” ที่ถูกส่งมาจากรอบด้าน อย่างมี “นัยสำคัญ”
นี่ไม่ใช่แค่การ “ตั้งรับ” ต่อ “ปรากฏการณ์ในสภา”
หากแต่ยังหมายถึงการ “ตั้งรับ” ต่อ “ปรากฏการณ์นอกสภา” อย่างไม่อาจกะพริบตามองข้ามได้อีกด้วย
ความจริงก็คือ ห้วงเวลานี้ไม่ได้มีเพียงแค่ “สัญญาณ” เท่านั้น
เพราะความจริงที่จริงยิ่งกว่าก็คือ ห้วงเวลานี้ยังมี “รูปธรรม” ที่ชัดแจ้ง
จาก “ความเคลื่อนไหว” ในทุกๆ ภาคส่วน และทุกๆ ระดับ
ทั้ง “ในระบบ” และ “นอกระบบ”
ที่พร้อมปะทุขึ้น เพื่อ “เร่งปฏิกิริยา” ให้เดินหน้าไปสู่ “เป้าหมาย” ที่คาดถึงได้โดยไม่ยาก
อาจบางที การปรับ ครม. “ยิ่งลักษณ์ 5” คงทำได้เพียงแค่ “ซื้อเวลา” ชั่วครู่ชั่วคราว
หรืออาจบางที อะไรๆ อาจมาถึงเร็วกว่าที่คิด ไม่นานหลังจากนี้ก็เป็นไปได้!!!
โต๊ะข่าวการเมื
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น