วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เก็บกรุ‘สุภา’เซ่นข้าว! เมื่อ 25 พ.ค.56



เก็บกรุ‘สุภา’เซ่นข้าว!



"โต้ง" สั่งเด้ง "สุภา" ไปนั่งบีบสิวในสำนักงานปลัดคลัง โทษฐานไม่สนองนโยบายจำนำชาติ "กรณ์" แฉจำนำข้าวขาดทุนแล้ว 2.6 แสนล้านบาท รัฐบาลทนไม่ได้ถูกด่าแพงทั้งแผ่นดิน สีข้างถูอ้างเกมประชาธิปัตย์ดิสเครดิตเลือกตั้งซ่อมเขตดอนเมือง ขณะที่รองโฆษก ปชป.ซัดทีมโฆษกรัฐบาล-เพื่อไทย เลิกทำตัวเป็นพวกโรคจิต
    เมื่อวันเสาร์ นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Korn Chatikavanij  ใช้ชื่อเรื่องว่า "กัดฟันมีความหวัง" โดยระบุว่า "เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร (ของกระทรวงการคลัง) ได้มีการสรุปโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล ขาดทุนไปแล้ว 206,000 ล้านบาท บวกกับค่าบริหารจัดการการเก็บข้าวโดยกระทรวงพาณิชย์อีก 33,000 ล้านบาท และการเสื่อมค่าของข้าวที่เก็บไว้อีก 20,000 ล้านบาท รวมแล้วขาดทุน 260,000 ล้าน!!
    รองนายกฯ เศรษฐกิจ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2554 ว่า “ถ้ารัฐบาลทำโครงการรับจำนำข้าวแล้ว ทำให้รัฐเสียหายมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นงบที่รัฐบาลชุดก่อนใช้ชดเชยในระบบประกันรายได้เกษตรกร รัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงอยู่ไม่ได้ ไม่ต้องตั้งคำถามเลยว่า ในฐานะรองนายกฯ เศรษฐกิจจะรับผิดชอบอย่างไร"
    แต่วันนี้แทนที่ตัวเองจะมีความเป็นลูกผู้ชายพอที่จะรักษาคำพูดด้วยการลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ กลับมีข่าวลือหนาหูจากกระทรวงคลัง ว่าจะมีการ 'ปลด' ประธานคณะกรรมการปิดบัญชีฯ รองปลัดสุภา ปิยะจิตติ ออกจากตำแหน่ง!
    เดี๋ยวนี้ไม่แปลกใจว่าข้าราชการที่มาชี้แจงในสภา แทบไม่มีใครกล้านำความจริงทั้งหมดมาพูด ทุกวันนี้ผมยังหวังอยู่ว่าข้าราชการกระทรวงคลังจะเป็นด่านสุดท้าย ด้วยภูมิคุ้มกันที่มีจากประเพณีปฏิบัติที่สะสมมายาวนาน อย่ายอมแพ้ครับ"   
    รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังระบุว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง มีคำสั่งโยกย้าย น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง รับผิดชอบงาน เป็นหัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน และให้ไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงการคลัง ที่รับผิดชอบกิจการสำนักงานปลัดฯ สลับกับนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง โดยคาดว่าคำสั่งจะออกมาอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ 27 พ.ค.นี้
    สำหรับสาเหตุที่มีการโยกย้ายนอกฤดูกาลในครั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลไม่พอใจการทำงานของ น.ส.สุภา ที่เป็นสไตล์ซื่อตรงเป็นไม้บรรทัด โดยเฉพราะการรับผิดชอบการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว และการตรวจสอบกรณีการปล่อยกู้ก่อสร้างโรงพัก 396 แห่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)
    แถมมีข่าวอีกว่า นายพงษ์ภาณุก็พยายามวิ่งเต้นเพื่อขอกลับมารับผิดชอบงานในกระทรวงที่มีบทบาทมากกว่า ตำแหน่งแม่บ้าน ซึ่งเป็นตำแหน่งแขวนเหมือนในปัจจุบัน
เลิกทำตัวเป็นพวกโรคจิต
    ที่พรรคประชาธิปัตย์ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวตอบโต้กรณีที่รัฐบาลและโฆษกของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยระบุว่าราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคไม่แพงอย่างที่ฝ่ายค้านกล่าวหาว่า ไม่เป็นความจริง และนายกฯ ไม่ควรจะโกหกประชาชน และควรไปบอกสารพัดโฆษกต่างๆ เลิกทำตัวโรคจิต และยอมรับความจริงและแก้ปัญหาราคาสินค้าที่แพงให้ได้ 
    "ยกตัวอย่างเช่นราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มในรัฐบาลนี้ ราคา 3.20 บาท แตกต่างจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ราคาเพียง 2.09 บาท ขณะที่การสำรวจราคาตลาดทั่วประเทศก็พบว่าของแพงขึ้นมากสุดถึง 20% เรื่องเหล่านี้ล้วนเกิดจากชนวนปัญหาโครงการรับจำนำสินค้าการเกษตร ค่าแรง 300 บาท การขึ้นราคาของพลังงานต่างๆ  ลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 20% รวมทั้งยังไม่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลประชาธิปัตย์ อาทิ โครงการกองทุนการออมแห่งชาติ โฉนดชุมชน ธนาคารที่ดิน ภาษีที่ดินและมรดก ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้นำขอเสนอดังกล่าวนี้ไปแก้ไข เพื่อให้ของแพงทั้งแผ่นดินเปลี่ยนเป็นประชาชนมีอันจะกินดีกว่า" รองโฆษกสาวจากพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
    ขณะที่ ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวโต้ว่า ขอให้หยุดกล่าวหา แล้วสนใจแต่แก้ปัญหาการเมือง เพราะในความเป็นจริง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ทำงานแทบไม่มีวันหยุด เพื่อดูแลปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม จากการที่นายกฯ เดินทางไปญี่ปุ่น ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าไทยไม่อยากเห็นเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ของไทยเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น แต่ยินดีต้อนรับการลงทุนระยะยาวในไทย ซึ่งสะท้อนความพยายามของท่านนายกฯ ในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค
    เธอกล่าวว่า ในส่วนของการแก้ปัญหาสินค้าราคาแพงนั้น นายกฯ ก็พูดอยู่เสมอว่าต้องแก้ปัญหาทั้งระบบ คือ การเพิ่มรายได้ให้ประชาชน ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิต ทั้งในเรื่องวัตถุดิบและค่าขนส่ง โดยดูแลตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จะไปควบคุมราคาค้าปลีกอย่างเดียวคงไม่ได้ ซึ่งเป็นที่มาโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 2 ล้านล้านบาท ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างของราคาสินค้าทั้งระบบ
    รองโฆษกรัฐบาลบอกว่า ทุกครั้งถูกพรรคประชาธิปัตย์ขัดขวางทุกวิถีทาง เพราะพรรคประชาธิปัตย์มองทุกอย่างเป็นการเมืองหมด ขนาดรัฐบาลเลื่อนการขึ้นราคาแก๊สหุงต้มออกไป พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังมองว่าเป็นเพราะรัฐบาลต้องการช่วยนายยุรนันท์ ภมรมนตรี หาเสียงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขตดอนเมือง ทั้งๆ ที่นั่นคือมาตรการอย่างหนึ่งของรัฐบาลในการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนเท่านั้น และผู้ที่ได้รับประโยชน์ก็คือประชาชนทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่ชาวบ้านในเขตดอนเมือง
"เต้น" โต้ข้อหาไก่ร้อนไข่แพง
    นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ยังจงใจที่จะไม่พูดถึงอำนาจซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาท เงินเดือน 15,000 บาท รวมทั้งการลดภาษีเงินได้ให้กับผู้ประกอบการ ตลอดจนรายได้ของประชาชนที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าร่วมกองทุนต่างๆ ของรัฐบาล เช่น กองทุนเอสเอ็มแอล และกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นต้น ดังนั้น ขอให้พรรคประชาธิปัตย์เลิกใส่ร้ายรัฐบาล และควรลืมตามองโลกให้ชัดๆ เสียบ้าง จะได้เห็นว่ารัฐบาลดำเนินการอะไรไปบ้าง เพื่อแก้ปัญหาค่าครองชีพให้ประชาชน
    ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มขยับสูงขึ้นต่อเนื่องกันแทบทุกวัน จนถึงราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มที่ราคาฟองละ 3.20 บาท คณะกรรมการราคากลาง กระทรวงพาณิชย์ติดตามเรื่องนี้ และเห็นตรงกันว่าน่าจะเอาผู้เกี่ยวข้องมาพูดคุยเพื่อกำหนดแนวทางร่วมกัน จึงมอบหมายให้กรมการค้าภายในประสานงาน โดยประเด็นที่ต้องมีข้อสรุปร่วมกันคือ เรื่องต้นทุนที่แท้จริงของผู้ผลิตไข่ไก่ออกจากฟาร์มว่าต้นทุนจะมีอัตราที่ฟองละเท่าไหร่
    เขาบอกว่า ได้รับรายงานจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ว่ากลุ่มผู้เลี้ยงไก่ไข่ตลอดจนหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกัน และยอมรับตัวเลขต้นทุนที่ 2.65 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขต้นทุนข้อสรุปตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ช่วงปลายเดือน เม.ย.-พ.ค. สภาพอากาศในประเทศไทยร้อนผิดปกติ ส่งผลกระทบให้แม่ไก่ออกผลผลิตไข่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อผลผลิตน้อยทำให้ต้นทุนขยับสูงขึ้น สศก.และผู้ประกอบการจึงประเมินร่วมกันกว้างๆ ว่าสถานการณ์แบบนี้ระดับราคาต้นทุนการผลิตน่าจะขยับสูงขึ้น 10-15 สตางค์ต่อฟอง ดังนั้นจากเดิมฟองละ 2.65 บาท สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะอยู่ที่ 2.75-2.80 บาท
    "ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ปัจจุบันที่ราคาอยู่ที่ฟองละ 3.20 บาท ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาจนถึงสิ้นเดือน พ.ค.นี้ จะขยับขึ้นลงตามกลไกตลาด แต่ว่าสูงสุดคละหน้าฟาร์มต้องไม่เกินฟองละ 3.30 บาท หากย้อนหลังไปดูสัดส่วนจะพบว่าหนึ่งสัปดาห์ราคาขยับขึ้นเกินกว่า 10 สตางค์ จึงต้องมีหลักประกันว่าจะไม่ขยับมากไปกว่าอัตราส่วนในรอบหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา"
       นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า ประเด็นดังกล่าวถูกนำไปขยายความว่าเป็นการดูแลสถานการณ์ราคาไข่ไก่ที่แปลกประหลาด เพราะมีราคาเพดานที่สูงขึ้นกว่าราคาปัจจุบัน แต่ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าคือ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้เปิดตาดูเลยว่ารัฐบาลไม่ได้ทำเพียงมาตรการนี้อย่างเดียว แต่เรามีมาตรการอื่นรองรับด้วย เราได้หารือกับผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ ห้างสรรพสินค้าโมเดิร์นเทรด ขอความร่วมมือให้ตรึงราคาไข่ไก่ก่อนถึงมือผู้บริโภคไว้เท่าเดิมจนถึงสิ้นเดือน พ.ค. ขณะนี้โลตัสกับบิ๊กซีก็ตอบรับมาตรการนี้ นอกจากนี้ที่โลตัสยังมีมาตรการส่งเสริมการขายพิเศษ โดยกำหนดราคาขายไข่ไก่เบอร์ 3 ฟองละ 1.90 บาท โดยแพ็กเป็นชุด ชุดละ 10 ฟอง โดยจำกัดครอบครัวละไม่เกิน 2 ชุด
งัดไข่ชั่งกิโลขายโต้ ปชป.
           “ที่แปลกมากๆ ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ประมาณปลายปี 53 มีการหารือในที่ประชุม ครม.เรื่องราคาไข่ไก่ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นเอ้กบอร์ดก็ยังไม่ได้เสนอมาตรการอะไรเข้าไป แต่ก็สรุปเป็นมติเปิดให้นำเข้าแม่พันธุ์ไก่ไข่แบบเสรี ทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อน เมื่อราคาไข่ไก่สูงขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาตรการเอาไข่ไก่ชั่งกิโลขาย”
           นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า รัฐบาลพยายามอย่างที่สุดในการดูแลประชาชนทั้งในฐานะผู้ผลิต ผู้บริโภค เราไม่ประสงค์นำประเด็นการแก้ปัญหาประชาชนมาเป็นประเด็นโต้ตอบกันรายวัน ขอเรียกร้องฝ่ายค้านให้ทำงานสร้างสรรค์ เอาความจริงทั้งมาพูดกัน ไม่ใช่คิดแต่มิติทางการเมืองขยายความใหญ่โตไม่ตรงข้อเท็จจริงสร้างความเข้าใจผิดให้ประชาชน
    นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยในคณะกรรมาธิการพิจารณา เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ขู่ถอนตัวอ้างเหตุรัฐบาลปกปิดข้อมูล ว่ายืนยันรัฐบาลไม่ได้ปกปิดหมกเม็ดข้อมูลแน่นอน ในอนาคตก็ต้องไปชี้แจงตามขั้นตอน ที่ผ่านมารัฐบาลทำตามข้อเสนอของฝ่ายค้านทุกอย่าง ทั้งถ่ายทอดสด ขอเอกสารให้หมด เปิดให้ตรวจทุกโครงการไม่มีระยะเวลา เรื่องของเอกสาร ต้องเข้าใจว่าเอกสารมีหลายร้อยรายการ เอกสารบางอย่างที่ยังให้ไม่ได้ เพราะต้องรอผลการศึกษา ก็ไม่เข้าใจว่าพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่เป็นคนที่พูดเองในกรรมาธิการว่าหากอยู่ระหว่างการศึกษาไม่มีเอกสารไม่เป็นไร แต่ออกมาข้างนอกกล่าวหารัฐบาลปกปิด มาขู่ถอนตัว สร้างประเด็นเพื่อให้รัฐบาลขาดความชอบธรรมออกกฎหมาย เพื่อนำไปสู่เหตุผลการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ในส่วนของการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวในชั้นกรรมาธิการจะใช้เวลา 1 สัปดาห์แล้วเสร็จ โดยจะพักการประชุมในสัปดาห์หน้าเพื่อพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ในการประชุมสภาสมัยวิสามัญ
    นายวราเทพกล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช และนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ระบุนโยบายรถไฟฟ้า รฟม. 20 บาทตลอดสายที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้เป็นนโยบายขายฝันนั้น ขณะนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการนโยบายนี้อยู่ และที่ว่าทำไม่ได้รัฐบาลก็ไม่ได้เป็นผู้พูด มีแต่นายกรณ์เท่านั้นที่พูด อ้างว่าไปฟังคำชี้แจงของหน่วยงาน ทั้งที่หน่วยงานต้องปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลอยู่แล้ว เมื่อมีความพร้อมรัฐบาลก็ต้องดำเนินการที่ประกาศไว้อย่างแน่นอน อย่าเพิ่งพูดตอนนี้ว่าทำไม่ได้ เพราะรัฐบาลอยู่ถึง 4 ปี ใจเย็นๆ รอดู
ออเดอร์ "ทวาย"
    เช้าวันเดียวกันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน” ระหว่างเข้าร่วมประชุมนานาชาติ “The Future of Asia” ครั้งที่ 19 จากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินรายการ ถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานว่า เมื่อลงทุนเรื่องสถานีรถไฟ สิ่งที่ต้องพัฒนาต่อคือความเจริญของชุมชน ซึ่งจะเห็นว่าญี่ปุ่นจะมีร้านค้าและห้างสรรพสินค้าที่ให้โอกาสสินค้าในพื้นที่ได้วางโชว์ ซึ่งสิ่งที่อยากเห็นเมื่อเรามีสถานีรถไฟแล้วควรจะพัฒนาในส่วนนี้ร่วมด้วย
    นายกฯ กล่าวต่อว่า ญี่ปุ่นถือว่าเป็นนักลงทุนอันดับ 1 ที่มาลงทุนในประเทศไทย เรามาครั้งนี้นอกจากจะเชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นมาลงทุนในไทยในสาขาต่างๆ รวมถึงไทยได้นำนักธุรกิจมาร่วมทำธุรกิจกับภาคเอกชนที่นี่ และได้ใช้โอกาสนี้ในการอธิบายเรื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ว่าในอนาคตจะมีแผนอย่างไร จะเอื้อให้กับนักลงทุนอย่างไร และต่อยอดอธิบายไปถึงการลงทุนที่ท่าเรือน้ำลึกทวาย ที่ผ่านมาญี่ปุ่นร่วมกับไทยในการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง วันนี้ก็อยากเห็นการต่อยอดไปท่าเรือน้ำลึกทวาย ซึ่งได้มีโอกาสหารือกับนายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เพื่อสานต่อในเรื่องของการค้า การลงทุนที่ไทยจะให้นักลงทุนญี่ปุ่นลงทุนเพิ่มเติมในส่วนใดบ้าง รวมถึงท่าเรือน้ำลึกทวายด้วย
    น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวถึงการปาฐกถาในการประชุม The Future of Asia ว่า อนาคตของภูมิภาคเอเชียนั้นเรามองว่าภูมิภาคมีความหลากหลาย แปลว่าจะมีทั้งโอกาสและความท้าทายอยู่ในตัว แต่ขณะเดียวกันโอกาสในเชิงเศรษฐกิจนั้นมีมากมาย เรียกว่าเป็นโอกาสของเอเชียแล้ว ที่จะทำอย่างไรที่เราจะผนึกกำลังกันให้ภูมิภาคนี้แข็งแรง ซึ่งในส่วนของญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ เราอยากเห็นการเติบโตของไทยเติบโตไปพร้อมญี่ปุ่นในลักษณะการเติบโตอย่างมั่นคง ถ้าเราเอาประโยชน์ของภูมิภาคเป็นที่ตั้ง และเดินไปพร้อมกัน ก็จะทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ เศรษฐกิจของไทยนั้นถือว่าต้องการพาร์ตเนอร์ในเรื่องของการลงทุน เพื่อที่จะขยายโครงการในอนาคตและเทคโนโลยีต่างๆ ก็เป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าการที่จะมาลงทุนเพียงแค่พันธบัตรอย่างเดียว จะสามารถลงทุนในส่วนของการลงทุนธุรกิจได้
    ด้านนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการประชุมให้ข้อมูลนักลงทุนบริษัทญี่ปุ่นประมาณ 300 บริษัท เกี่ยวกับโครงการทวาย ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนญี่ปุ่นอย่างมาก เชื่อมั่นว่าเขาจะไปร่วมลงทุนเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวายให้ยิ่งใหญ่ เหมือนอีสเทิร์นซีบอร์ด โดยสิ่งที่ญี่ปุ่นสนใจหลักๆ มี 2 เรื่อง คือ ท่าเรือ และนิคมอุตสาหกรรม และความน่าสนใจคือ จากที่เราได้จัดหาพื้นที่ใหญ่ๆ ทำท่าเรือ และพื้นที่ทำนิคมฯ หาได้ยาก ถือเป็นแหล่งธุรกิจแหล่งใหม่ นอกจากท่าเรือและนิคมฯ แล้วก็มีการพูดถึงเรื่องเมือง การพัฒนาเมือง ซึ่งตรงนั้นมีหาดทรายยาวที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้อีกด้วย ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนาของพม่าเท่านั้น ถือเป็นการขยายธุรกิจของไทยไปอีกระดับหนึ่ง นอกจากนี้ทางรัฐบาลพม่าก็ได้ออกกฎหมายใหม่เพื่อส่งเสริมการลงทุน
    นายนิวัฒน์ธำรงกล่าวต่อว่า นอกจากการประชุมกับ 300 บริษัทแล้ว ก็มีการประชุมกับซีอีโอบริษัทใหญ่ๆ อีกครั้ง และนายกฯ ก็ได้คุยกับนายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น โดยนายอาเบะจะไปพบประธานาธิบดีพม่า ก็คงจะดำเนินการกันต่อไป ซึ่งในการดำเนินการ ระดับบนก็มีการวางนโยบาย ซึ่งเราคาดว่ามี 4 ประเทศ ส่วนในระดับล่างก็เป็นภาคเอกชนหมด มีกลุ่มภาคเอกชนทั่วไปไม่ใช่แค่ 3-4 ประเทศ เพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ ทั้งนี้จากที่มาคุย ทุกคนมั่นใจและบอกว่าต้องการไปลงทุน ตนเชื่อมั่นว่าเขาคงไปแน่นอน แม้ระบบของญี่ปุ่นในบางทีอาจจะตัดสินใจช้าไปบ้าง
    ส่วนเรื่องของแหล่งพลังงานทางประเทศไทยจะเป็นหัวหอก โดยกระทรวงพลังงานได้ยื่นข้อเสนอให้กับคณะกรรมการฝ่ายพม่าไปแล้ว ที่จะไปสร้างโรงงานไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหินบริสุทธิ์ ขนาดใหญ่ 3,000 เมกะวัตต์ ซึ่งถ้าเหลือใช้แล้วก็สามารถที่จะขายมายังประเทศไทย เพราะเราเองก็ขาดไฟฟ้า ขาดการระบบสำรอง เพราะเวลาเกิดเหตุไฟก็ดับ ซึ่งจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ ซึ่งโครงการทวายก็เป็นอีกโครงการหนึ่งที่เราจะหาแหล่งไฟฟ้าเพิ่มเติม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น