|
|
ผ่าประเด็นร้อน
ถือเป็นไฟต์บังคับไปแล้วสำหรับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะต้องออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน นั่นคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการออกกฎหมายที่กระทบกระเทือนต่อพระราชอำนาจ หรือโครงสร้างของสถาบันพระมหากษัตริย์ การออกกฎหมายเพื่อลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร กับพวก และเมื่อถึงเวลาที่ประชาชนเกิดการตื่นรู้และต้องการให้เกิดการปฏิรูปการเมืองอย่างขนานใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการออกแถลงการณ์ย้ำจุดยืนมาเป็นระยะ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2556 ก็มีการย้ำท่าทีในการเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยย้ำถึงการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ย่ำยีและตัดสิทธิภาคประชาชนในการพิทักษ์ปกป้องรัฐธรรมนูญ โดยการคัดค้านการแก้ไขมาตรา 68 และเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้าจึงมีมติให้ส่งตัวแทนไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และให้พิจารณาไต่สวนคุ้มครองฉุกเฉินเอาไว้ก่อนจนกว่าศาลฯ จะมีคำวินิจฉัยออกมา ขณะเดียวกันก็จี้ให้ถอนร่างแก้ไขมาตราดังกล่าวออกมาออกมาทันที
ส่วนเรื่องอื่นก็ย้ำอีกครั้งว่า จะคัดค้านการออกกฎหมายลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร กับพวก ไม่ว่าจะเป็นการเสนอร่างพระราชบัญญัติปรองดองตบตาเข้ามารวมไปถึงการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่มีเนื้อหากำกวมให้ตีความก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม กรณีหลังถือว่าต้องใช้เวลาอีกนานจะมีความชัดเจน แต่ก็เห็นแนวโน้มออกมาแล้ว
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความเร่งด่วนแล้วก็ถือว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 กลายเป็นเรื่องเฉพาะหน้าที่ที่ต้องเร่งขัดขวางไปก่อน เพราะถ้าการแก้ไขทำได้สำเร็จนั่นก็เท่ากับว่าสามารถสกัดไม่ให้ประชาชนใช้สิทธิในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ทำให้การแก้ไขมาตรา 291 เพื่อนำไปสู่ยกร่างฉบับใหม่ตามใจชอบทำได้ทันที เพราะเวลานี้รอเพียงการลงมติในวาระ 3 ในสภาเท่านั้น
ความเคลื่อนไหวทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ความพยายามในการเสนอกฎหมายเพื่อลบล้างความผิดให้จำเลย นักโทษที่ศาลตัดสินจนถึงที่สุด รวมไปถึงผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาสำคัญ รวมถึงผลที่ตามมาในทางแพ่งและอาญาที่ถูกจับได้ว่ามีผลเฉพาะบุคคลคือ ต้องการช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร และประโยชน์ของนักการเมืองชั่วๆ เป็นหลักเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของประชาชนเลยแม้แต่น้อย
แต่ขณะเดียวกัน มันก็สะท้อนให้เห็นถึงการลุแก่อำนาจของรัฐบาลที่นำโดยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยที่มี ทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของ ซึ่งแน่นอนว่าในกรณีที่เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เป็นอันขาด เพราะในฐานะผู้นำรัฐบาล ผู้มีอิทธิพลในพรรคเพื่อไทยที่ ส.ส.พรรคดังกล่าวลงชื่อสนับสนุน
อย่างไรก็ดี นี่คือการดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมาย ตามช่องทางที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญ และยังเป็นการแถลงย้ำท่าทีให้เห็นอีกครั้ง ขณะเดียวกันยังเป็นการชี้ให้เห็นถึงความไม่เอาไหนในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินสำหรับประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ เพราะการบริหารราชการที่ผ่านมาของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยล้วนล้มเหลว ส่อไปในทางทุจริตฉ้อฉล เพื่อประโยชน์ของนักการเมืองเฉพาะกลุ่ม บางครอบครัวเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากการ “ทรยศต่อความไว้วางใจ”ของประชาชน
นับวันการลุแก่อำนาจดังกล่าวยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่ผ่านมากลับไม่เคยใส่ใจ กระทำในสิ่งที่เป็นตรงกันข้าม ท้าทายความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา จะเห็นได้จากการเสนอร่างพระราชบัญญัติปรองดองฯ เพื่อลบล้างความผิดและคืนเงินที่ถูกศาลสั่งยึดไปกลับคืนมา ย่ำยีได้แม้กระทั่งความรู้สึกของคนเสื้อแดงที่เกื้อหนุนให้ตัวเองและครอบครัวขึ้นสู่อำนาจ คนพวกนี้ก็ยังไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา อาจเป็นเพราะหยามเหยียดเป็นแค่ “ขี้ข้า”ก็เป็นได้
แม้ว่าการเคลื่อนไหวล่าสุดของภาคประชนในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยครั้งนี้อาจจะต้องรอคำชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญออกมาก่อน ในกรณีของการแก้ไขมาตรา 68 แต่ขณะเดียวกันก็เป็นส่งสัญญาณไปถึงรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยให้หยุดการย่ำยีรัฐธรรมนูญและกระทำการที่ลุแก่อำนาจในทันทีเช่นเดียวกัน หากยังดึงดันไม่สนใจเสียงทักท้วงผลที่จะตามมาอาจเลวร้ายกว่าที่คาดคิดก็เป็นได้ เพราะนี่คือการเตือนครั้งสุดท้ายแล้ว!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น