|
|
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 30 พ.ค.
ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดกาฬสินธุ์
ได้รับแจ้งจากนายธวัชชัย สำราญวงศ์
ผอ.โรงเรียนเหล่าหลวงวิทยาคาร ต.ภูดิน อ.เมืองกาฬสินธุ์ น.ส.นลิน นาถ้ำพลอย
ครูประจำชั้นป.5 ว่า ต้องการให้ผู้มีจิตกุศลเข้าช่วยเหลือ ลูกศิษย์ ชื่อ
ด.ญ.สุภาพร ญาณสิทธิ์ อายุ 11 ปี หรือ น้องนุ่น นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
เพราะเป็นเด็กที่มีความกตัญญูต่อบิดาที่ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์
ซึ่งได้ดูแลด้วยความแร้งแค้นมานานถึง 3 ปี
ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปที่บ้านของน้องนุ่น ซึ่งห่างจาก
โรงเรียนเหล่าหลวงวิทยาคาร ถึง 2 กิโลเมตร
ลึกเข้าไปที่บ้านโนนศาลา เลขที่ 117 หมู่ที่ 13 ตำบลภูดิน
ซึ่งก็ต้องพบกับสภาพที่สุดจะเวทนา ซึ่งน้องนุ่น กำลังประคอง นายสมบูรณ์ ญาณสิทธิ์
อายุ 56 ปีผู้เป็นบิดา
ขึ้นมาป้อนข้าวที่บรรจุปิ่นโตที่ได้รับการแบ่งอาหารจากทางโรงเรียน
พร้อมกับเช็ดตัวให้กับบุพการี
ซึ่งป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์อย่างไม่รังเกียจ
ทั้งนี้จากการตรวจสอบสภาพบ้านที่อยู่ของ น้องนุ่น
มีสภาพไม่ต่างจากกระท่อมปลายนา ที่มีขนาดความกว้าง 2 เมตร
ยาว 2.50 เมตร มุ่งหลังคาด้วยสังกะสีเก่า แล้วล้อมตัวบ้านด้วยผ้าใบ
กระดาษที่ได้รับการบริจาคจากชาวบ้านที่ต่างเวทนาสงสาร มีเพียง นางแสวง ญาณสิทธิ์
อายุ 60 ปี ยาย ที่แบ่งพื้นที่บ้านให้ คอยเลี้ยงดูตามอัตภาพ
น.ส.นลิน ภูถ้ำพลอย ครูประจำชั้น
กล่าวว่า ต้องการที่จะให้ผู้มีจิตกุศลได้เข้ามาช่วยเหลือครอบครัวของ
น้องนุ่น เพราะ
ตนเองได้ติดตามชีวิตของน้องนุ่นมาตั้งแต่เข้าโรงเรียน
และเพิ่งจะเกิดปัญหาหนักในช่วง 3 ปีให้หลัง เพราะครอบครัวแตกแยก พ่อแม่หย่าร้าง
และมีครอบครัวใหม่ แต่ก็ต้องมาประสบกับปัญหาเพราะ พ่อของน้องนุ่น ซึ่งมีอาชีพหาปลา
ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ จนเป็นเหตุให้เป็นอัมพฤกษ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางโรงเรียนก็ทราบข่าวมาตลอด
และคอยประคองชีวิตของน้องนุ่น ให้ได้รับการศึกษาตามอัตภาพ
แต่มาในระยะหลัง เด็กเริ่มขาดโรงเรียน ครูจึงได้เดินทางเข้ามาดู ก็พบว่า
ครอบครัวมีฐานะยากจนมาก จะมีก็เพียง นางแสวง ญาณสิทธิ์ ผู้เป็นยาย
คอยดูแลมาตั้งแต่เกิด แต่เด็กที่มีความกตัญญู ซึ่งก็เลือกที่จะอยู่กับ
พ่อที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์
"ทุกวันก็จะเห็น น้องนุ่นต้องรีบกลับบ้านมาป้อนข้าว
ป้อนน้ำให้กับพ่อ แต่ น้องนุ่น เป็นเด็กที่มีความกตัญญูสูง ชีวิตในแต่ละวัน
จึงไม่ใช่ชีวิตของ เด็กอายุ 11 ปี ทั่วไป ไม่มีโอกาสไปเล่นกับเพื่อนๆ
เพราะฐานะยากจน ในแต่ละวันหากเป็นวันหยุด ก็จะไปรับจ้างคัดปลาบริเวณท้ายเขื่อนลำปาว
ก็จะได้ค่าแรงครั้งละ 40 บาท จากนั้นก็จะนำมาซื้อข้าวปลา อาหารให้พ่อรับประทาน
ส่วนในช่วงวันเรียนปกติ ก็จะตื่นแต่เช้าไปที่วัดในหมู่บ้าน
เพื่อรับอาหารจากพระที่ฉันท์แล้วมากินกับพ่อ ก่อนที่จะออกไปเรียนหนังสือ และในช่วงเที่ยง ก็จะรีบนำปิ่นโตไปรับอาหารจากแม่ครัวในโรงเรียน
แล้วก็จะรีบปั้นจักรยานกลับบ้านมากินข้าว เช็ดตัวให้พ่อ
ส่วนในช่วงเย็นก็จะได้รับการสงเคราะห์จากเพื่อนบ้านและยาย มาดูแล ซึ่งวันไหนโชคร้าย
ก็จะไม่ได้กินข้าว ซึ่งก็เป็นแบบนี้เรื่อยมา” ครูประจำชั้น
กล่าวด้วยน้ำตานองหน้า.
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น