วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"เณรคำ"ทัวร์เจนีวา โวยลั่น-ถูกป้ายสี เปิดอีกรูปทำพิลึก ขี่อูฐปลงศพมัมมี่ เมื่อ 20 มิ.ย.56



"เณรคำ"ทัวร์เจนีวา โวยลั่น-ถูกป้ายสี เปิดอีกรูปทำพิลึก ขี่อูฐปลงศพมัมมี่
 
"หลวงปู่เณรคำ"อยู่ที่กรุงเจนีวา โฆษกส่วนตัวระบุ พร้อมออกโรงแจงที่มาชื่อ ยืนยันวันที่ 25 มิ.ย.บินกลับไทยแน่ เป็นประธานในพิธีห่มผ้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ศรีสะเกษ พร้อมชี้แจงทุกเรื่อง อ้างข่าวที่ออกมาเป็นกระบวนการใส่ร้าย เริ่มชัดแล้ววัดต้นสังกัดพระดังยังอยู่ที่อุบลฯ เจ้าคณะจังหวัดสั่งให้มาพบด่วน เพื่อจะได้สอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร เปิดอีกภาพพิลึกขี่อูฐในทะเลทรายอ้างไปทำสมาธิบนหลุมศพมัมมี่ที่อียิปต์

เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายวิรอด ไชยพรรณนา ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีสะเกษ
เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบพระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ กรณีมีภาพโพสต์ว่อนเน็ตนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ใช้ของหรูหรา และภาพหลุดคนหน้าตาคล้ายกับหลวงปู่เณรคำนอนอยู่กับผู้หญิงว่า การตรวจสอบต้นสังกัด รวมถึงที่มาที่ไปของเงินบริจาคนั้น ปัญหาตอนนี้ยังไม่สามารถติดต่อหลวงปู่เณรคำได้ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าแท้ที่จริงสังกัดวัดไหนกันแน่ จึงไม่ทราบว่าจะให้เจ้าคณะปกครองที่จังหวัดอุบลราชธานี หรือที่จังหวัดศรีสะเกษ นิมนต์มาชี้แจงข้อเท็จจริง ขณะนี้ทำได้เพียงรวบรวมข้อมูลไว้และปรึกษาหารือกับเจ้าคณะปกครองในจังหวัดศรีสะเกษไว้ว่าท้ายที่สุดหากสังกัดเจ้าคณะปกครองจังหวัดศรีสะเกษจริง ก็ต้องตั้งพระอธิกรณ์มาสอบสวนข้อเท็จจริง ต้องนิมนต์มาชี้แจง หรือว่าชี้แจงเป็นหลักฐานและเอกสารเกี่ยวกับข้อร้องเรียนต่างๆ ทั้งเรื่องภาพหน้าคล้าย ต้นสังกัดที่แท้จริง ส่วนเรื่องบัญชีและการใช้จ่ายเงินบริจาคนั้นก็ต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยตรวจสอบด้วย

นายวิรอดกล่าวถึงกรณีที่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
แจ้งให้สำนักงาน พศจ.ศรีสะเกษประสานเจ้าคณะปกครองตรวจสอบหลวงปู่เณรคำทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นสถานภาพ สถานะการเงิน ถ้าหลวงปู่เณรคำไม่มีหลักฐาน ก็ต้องชี้แจงว่าเพราะเหตุใด ส่วนกรณีมีภาพพระสงฆ์รูปหนึ่งนอนกับสีกานั้น ให้ พศจ.ศรีสะเกษไปรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งประสานเจ้าคณะปกครองช่วยตรวจสอบด้วย หากเป็นภาพจริงก็ถือว่ามีความผิดถึงขั้นต้องสึก เรื่องลักษณะนี้ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและต้องปล่อยให้เจ้าคณะปกครองสอบสวนข้อเท็จจริง
นายวิรอดกล่าวต่อว่า การตรวจสอบสถานะการเงินของหลวงปู่เณรคำนั้น คงเป็นไปได้ยาก
เนื่องจากวัดป่าขันติธรรมนั้นไม่ใช่วัดที่ขออนุญาตจัดสร้างถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีสะเกษไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปตรวจสอบได้ แต่หากว่าเป็นวัดก็จะมีกฎระเบียบในการที่จะให้อำนาจในการเข้าไปตรวจสอบได้ ว่ามีเงินในบัญชีธนาคารเท่าใด มีการส่งหลักฐานอะไรหรือไม่ เมื่อไม่ใช่วัดจะส่งเรื่องให้คณะสงฆ์พิจารณาอะไรก็ยังไม่ได้ แต่ว่าเมื่อสั่งให้ตรวจสอบเรื่องนี้ ตนก็อาจจะต้องอาศัยอำนาจของตำรวจในการเข้าไปตรวจสอบสถานะทางการเงินของหลวงปู่เณรคำ ส่วนสังกัดที่แท้จริงอยู่ที่ใด ทราบข่าวเพียงว่าอาจจะสังกัดวัดพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดของเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ฝ่ายธรรมยุต ซึ่งหลวงปู่เณรคำนำเอารถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ถวายให้ใช้ในกิจการคณะสงฆ์
นายวิรอดยังกล่าวด้วยว่าการขอตั้งวัดป่าขันติธรรมนั้น เคยมีการขออนุญาตสร้างวัดมาก่อนแล้ว
โดยเคยได้รับอนุญาตให้สร้างวัดตามหนังสือที่ว่าการ อ.กันทรารมย์ ที่ ศก 0232/146 ลว. 25 ก.พ. 2545 ซึ่งเป็นหนังสือถึง พล.ต.จตุรานนท์ สิงหเดช แจ้งว่ากรมการศาสนา โดยความเห็นชอบของกระทรวงศึกษาธิการ และมหาเถรสมาคม อนุญาตให้สร้างวัดได้ โดยขอให้ดำเนินการก่อสร้างเสนาสนะขึ้นในที่ดินตรงตามจุดที่กำหนดไว้ในแผนผัง ที่เสนอขออนุญาต เมื่อก่อสร้างเสนาสนะเป็นที่มั่นคงแล้ว มีพระภิกษุพำนักพักอาศัยไม่น้อยกว่า 4 รูป และมีพระภิกษุผู้มีคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้าอาวาสได้ โดยให้เสนอรายงานขอตั้งวัดให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่กฎกระทรวงฯ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2507) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 บัญญัติไว้ต่อไป ลงนามโดย ว่าที่ ร.ต.พนม โพธิ์ศรี นายอำเภอกันทรารมย์ ในขณะนั้น
โดยหนังสืออนุญาตให้สร้างวัด มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 2545 ถึงวันที่ 9 ม.ค. 2550 ทั้งนี้หนังสืออนุญาตให้สร้างวัด
ลงนามเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2545 ลงนามโดย นายสมานจิต ภิรมย์รื่น อธิบดีกรมการศาสนา ในขณะนั้น ซึ่งตามหนังสือดังกล่าว เจ้าของที่ดินรายหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่บริจาคที่ดินให้สร้างวัดป่าขันติธรรมเป็นผู้เก็บหนังสือไว้ แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่ได้ดำเนินการขอสร้างวัดแต่อย่างใด จนทำให้หนังสืออนุญาตให้สร้างวัดหมดเขตที่กำหนดไว้ซึ่งตนจะได้ตรวจสอบว่า เมื่อได้รับอนุญาตให้สร้างวัดแล้วไม่สร้างมีความผิดอะไรอย่างไรบ้าง

ที่วัดป่าขันติธรรม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศยังคงเงียบเหงา มีเพียงคนงานของวัดประมาณ 3-4 คน พากันมาเตรียมการจัดงานของวัด และปฏิเสธที่จะตอบคำถามโดยแจ้งเพียงว่า ไม่ทราบเรื่องที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้แต่อย่างใด
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่วัดสามพระยา กรุงเทพฯ กลุ่มพุทธศาสนิกชนไทย
พร้อมคณะเข้ายื่นหนังสือต่อพระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา ในฐานะกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีพระวิรพลกรณีนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวและมีการเผยแพร่ภาพคนหน้าตาคล้ายกับหลวงปู่เณรคำนอนอยู่กับผู้หญิง ตรวจสอบต้นสังกัด รวมถึงที่มาที่ไปของเงินบริจาค เพื่อให้กรรมการมหาเถรสมาคมพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ซึ่งพระพรหมดิลกออกมารับหนังสือข้อร้องเรียน พร้อมทั้งกล่าวว่าไม่สามารถนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมมหาเถรฯ ได้ ตามกระบวนการแล้วต้องไปยื่นหนังสือต่อ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นเลขานุการมหาเถรสมาคม เป็นผู้พิจารณาเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมเท่านั้น
วันเดียวกัน พระฐกฤต กันตธัมโม โฆษกประจำหลวงปู่เณรคำและประชาสัมพันธ์วัดป่าขันติธรรม เปิดเผยว่า
ขณะนี้หลวงปู่เณรคำเดินทางออกจากประเทศฝรั่งเศส ไปยังกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อแสดงพระธรรมเทศนาและประชุมกิจสงฆ์ที่ศูนย์พุทธศาสนานานาชาติ จากนั้นจะเดินทางกลับถึงประเทศ ไทยภายในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ และจะเดินทางเข้าวัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ วันที่ 27 มิ.ย.นี้อย่างแน่นอน เพราะต้องเป็นประธานงานมหาพิธีห่มผ้าฤดูฝน พระแก้วมรกตจำลอง ตั้งแต่วันที่ 27-30 มิ.ย. จัดขึ้นที่วัด ซึ่งจะมีคณะสงฆ์จากนานาชาติมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก
ผู้สื่อข่าวถามว่าสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ติดต่อเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่เป็นข่าวอื้อฉาวหรือไม่ 
พระฐกฤตกล่าวว่า มีเข้ามาตรวจสอบแล้ว แต่ก็ไม่เห็นจะพบว่ามีสิ่งใดผิดปกติ ที่ผ่านมากิจกรรมทางวัดก็อยู่ในสายตาพระผู้ใหญ่ทางจังหวัดตลอด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปรากฏตามข่าวนั้นยืนยันว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี แต่หลวงปู่เณรคำเคยสั่งไว้ว่าความจริงย่อมเป็นความจริง ยินดีให้มีการตรวจสอบจนถึงที่สุด และจะไม่มีการฟ้องหมิ่นประมาทแต่อย่างใด

"ส่วนที่มีผู้สงสัยว่าหลวงปู่เณรคำอายุเพียง 34 ปี แต่ทำไมถึงเรียกหลวงปู่นั้น เนื่องจากสมัยที่บวชเป็นสามเณรระหว่างที่ปักกลดบำเพ็ญภาวนาอยู่ชาวบ้านเห็นรูปร่างเป็นพระแก่ พอลุกขึ้นกลับเห็นเป็นสามเณรเช่นเดิม ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่าหลวงปู่เณรคำ" พระฐกฤต กล่าว
ที่วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี พระราชธรรมโกศล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ฝ่ายธรรมยุต กล่าวว่า
พระวิรพลบวชที่วัดศรีนวล อ.พิบูลมังสาหาร จากนั้นได้ไปจำพรรษาที่วัดบ้านดอนธาตุ ก่อนจะออกจากวัดไปอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยตั้งใจจะไปสร้างวัด จึงมาขอเข้าสังกัดอยู่ที่วัดใต้องค์ตื้อเมื่อประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านมา เมื่อไปตั้งสำนักสงฆ์ขันติธรรมที่ อ.กันทรารมย์ ได้ระยะหนึ่ง ก็มาขอย้ายสังกัดไปอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งไม่ทราบว่าได้แจ้งย้ายเข้าอยู่ในสังกัดของคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษหรือไม่ หากไม่แจ้งย้ายเข้าทางนิตินัยถือว่าสังกัดกับคณะสงฆ์จังหวัดอุบลราชธานี แต่ทางพฤตินัยถือว่าสังกัดอยู่กับคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษแล้ว เพราะตั้งแต่ขอย้ายออกไปไม่เคยติดต่อมาเลยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระราชธรรมโกศลระบุว่า 
ทราบรายละเอียดจากหนังสือ พิมพ์ ส่วนเบื้องลึกไม่ทราบ และหากเป็นไปได้อยากให้หลวงปู่เณรคำติดต่อมา เพื่อสอบถามความจริง เนื่องจากมหาเถรสมาคมก็ต้องการทราบความเป็นไปเป็นมา ส่วนที่พระใช้สิ่งของมีราคาแพงเกินฐานานุรูป ก็จะทำให้ถูกทางโลกตำหนิติเตียนได้ตามที่เป็นข่าวอยู่ในเวลานี้

สำหรับภาพพิลึกในอิริยาบถต่างๆ นั้น พบว่าหลวงปู่เณรคำ โพสต์ในเว็บไซต์ส่วนตัว อ้างนำองค์กรสันติสุขจักรวาลขี่อูฐไปทำสมาธิแบบอภิจิตหมู่ในหลุมศพมัมมี่ ใต้มหาพีระมิด ประเทศอียิปต์ ระบุเพื่อสร้างสันติสุขและกอบกู้โลกให้พ้นภัยพิบัติด้วยความรัก 

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น