วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พลังหน้ากากขาว มังกรที่ไร้หัว!? โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มิถุนายน 2556 05:54 น


พลังหน้ากากขาว มังกรที่ไร้หัว!?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์17 มิถุนายน 2556 05:54 น
สะเก็ดไฟ
       
       จับอาการของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ยามนี้วิตกกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชน “หน้ากากขาว” แบบเก็บอารมณ์ไม่อยู่กันเลยทีเดียว จนสภาพตอนนี้ไม่ต่างจากไส้เดือนโดนน้ำร้อน
       
       กับคำประกาศ “ขณะนี้กองทัพประชาชนได้ลุกขึ้นมาแล้ว ข้าขอประกาศว่า ข้าจะล้มล้างระบอบทักษิณให้หมด สิ้นจากแผ่นดินไทย” ที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในแวดวงสังคมออนไลน์ ด้วยยุทธวิธี “ฟลัด” ข้อความถล่มเพจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ทั้งที่ดูเหมือนเป็นหมากง่าย แต่ฝ่ายรัฐยังแก้ไม่ตก
       
       เป็นจังหวะเดียวกับที่รัฐบาลผุดตั้ง“คณะกรรมการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” ขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ภารกิจก็คงหนีไม่พ้น “มือปราบไซเบอร์” ดึงทั้งฝ่ายความมั่นคง และตำรวจ เข้ามาเป็นมือไม้หวังกวาดล้างเสี้ยมหนามที่ตำตาตำใจให้สิ้นซาก ทั้งปรากฎการณ์ “หน้ากากขาว” ก็ดี หรือรวมไปถึง “แฮกเกอร์มือดี” ที่อาจร้อนวิชาลองของเข้าไปประจาน “นายกฯ คนสวย” ผ่านหน้าเวบไซต์ของรัฐบาลให้ขายขี้หน้าชาวโลกซ้ำสองอีก
       
       แต่คณะกรรมการฯ ที่ว่าก็อยู่ในช่วงแต่งเนื้อแต่งตัวเพิ่งประชุมวางยุทธศาสตร์กันไปหนเดียว คงยากที่จะจับได้ไล่ทัน “นักรบไซเบอร์” ที่ช่ำช่องกลศึกในโลกออนไลน์มากกว่า
       
       ย้อนไปเมื่อครั้งบรรดา “หน้ากากขาว” เริ่มก่อหวอดรวมพลังกันผ่านการสื่อสารทางไซเบอร์ คนในรัฐบาลดูหมิ่นดูแคลนไม่ให้ราคา มองเป็นเพียงเทรนด์ฮิต ที่ประเดี๋ยวประด๋าวก็ตกยุคตกสมัย จนไปๆมาๆกลับสำแดงพลังที่ทำให้ทั้งแกนนำ แกนนอน สมุนปลายแถวใน “ระบอบทักษิณ” ต้องหันหลับมามอง
       
       เพราะยิ่งเผลอไผลปล่อยไปบรรดา “ทายาทกาย ฟอว์กส์” ชักฟีเวอร์อาละวาดไปทั่ว
       
       เมื่อทางกลุ่มหน้ากากขาวเริ่มปลุกระดมผ่าน “โซเซียลมีเดีย” เพื่อขยับลงมาสู่ท้องถนน เริ่มแรกด้วยการยึดทำเลหน้า“เซ็นทรัลเวิลด์” เป็นสถานที่นัดรวมพลคนใส่หน้ากากขาวออกมาแสดงพลังต่อต้านรัฐบาล และระบอบทักษิณ จนมาถึง “ยุทธการดอกไม้บาน” ที่ให้ตัวแทนแต่ละจังหวัดจัดกิจกรรมรวมตัวกันเอง ที่แม้อาจจะปริมาณคนน้อยกว่าส่วนกลาง แต่มีกระจายกันทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 30 จังหวัดเข้าให้แล้ว และล่าสุดก็โกอินเตอร์มีการรวมตัวของคนหน้ากากขาวที่ต่างประเทศไทย อย่างที่นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย ที่มีการนัดหมายออกมาเช่นเดียวกับผู้เคลื่อนไหวในประเทศ
       
       ขณะที่จำนวนมวลชนที่ร่วมแสดงพลังในกรุงเทพฯ ก็เริ่มจากหลักร้อย เพิ่มเป็นหลักพัน จนล่าสุดกลายเป็นหลักหลายพันเข้าให้แล้ว
       
       ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งตกอยู่ในความประมาทพลิกตำราแก้เกมไม่ทัน เมื่อใช้กฎกติกาตามกฎหมายไม่ได้ เพราะกลุ่มหน้ากากขาวไม่ได้มีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายบ้านเมือง แต่เมื่อเข้าตาจนก็เลือกที่จะอาศัย “ความรุนแรง” เข้ากำราบกลุ่มต่อต้าน โดยการสร้างเงื่อนไขพยายามให้เกิดการปะทะของฝ่ายหนุนและฝ่ายต้านรัฐบาล
       
       ผู้รับงานนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพลพรรค “เสื้อแดง” ที่ออกมาทำหน้าที่“หัวหมู่ทะลวงฟัน” ให้แก่รัฐบาล ผลงานล่าสุดกับการบุกตีกลุ่มคนหน้ากากขาวใน จ.เชียงใหม่ จนคนที่สวมหน้ากากขาวได้รับบาดเจ็บไปหลายราย ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์นับสิบนายกลับทำหน้าที่เป็น “คนดู” เท่านั้น
       
       น่าแปลกที่เมื่อ “คนเสื้อแดง” ออกชุมนุมที่ไหน ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนเพียงใด ก็มักอ้างสิทธิการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามทำบ้างภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกันกลับรับไม่ได้ และเลือกที่จะใช้ความดิบเถื่อนที่อยู่ใน “กมลสันดาน” ขัดขวางการเคลื่อนไหวทันที
       
       จุดนี้ต่างหากที่แสดงว่าประชาธิปไตยของประเทศไทยยังไม่เต็มใบ ซ้ำร้ายรัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารที่ควรทำทุกวิถีทางลดเงื่อนไขที่จะนำคนชาติเข้าสู่ภาวะเสี่ยงใช้ความรุนแรง กลับยุยงส่งเสริมให้ท้ายเข้าไปอีก โดยไม่กลัวว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะเป็นการจุดชนวนไปสู่ความรุนแรง จนถึงขั้นเสียเลือดเสียชีวิต
       
       หวังว่ารัฐบาลจะกลับตัวกลับใจทัน เพราะหากถึงวันนั้นจริง ความรับผิดชอบย้อมเกิดกับรัฐบาลเอง
       
       หันมาดูส่วนของ “หน้ากากขาว” แน่นอนว่าควรได้รับเสียงชื่นชมในพลังที่เพิ่มขึ้นๆทุกขณะ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการก่อตัวของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เมื่อครั้งอดีต แต่คำถามมีว่าจะมีพลานุภาพทำลายล้าง “ระบอบทุนสามานย์” ได้เหมือน “คนเสื้อเหลือง” หรือไม่
       
       เพราะต้องยอมรับว่า การชุมนุมแสดงตัวรวมพลัง และชูป้ายประท้วงรัฐบาลนั้น เป็นไปได้เลยที่จะสะกิดให้ฝ่ายรัฐบาลหันมาสนใจ รวมทั้งต้องยอมรับด้วยว่าโจทย์การล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” นั้นยังเป็นประเด็นที่กว้างมากเกินไป ไม่มีการมุ่งประเด็นโจมตีรัฐบาลในเรื่องใดเป็นพิเศษ
       
       ขาดหมัดเด็ดที่จะถึงขั้นน็อกเอาต์รัฐบาล
       
       และในขณะที่พลังของ “หน้ากากขาว” เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่หากไร้การวางแผนจัดรูปขบวนที่ดี ก็ถือว่าเสียดายโอกาส ดังนั้นการมี “ผู้นำ” ที่ต้องกล้าหาญ กล้าตัดสินใจ มีคุณธรรมและปัญญา เพื่อนำทางและจัดระเบียบการเคลื่อนไหวให้มีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้“พลังบริสุทธิ์” ที่เริ่มต้นกันมาต้องสูญเปล่า ที่สำคัญยังต้องเป็นผู้นำที่ไม่นำพามวลชนไปสู้ “กับดัก” ความรุนแรงที่ฝ่าย “ระบอบทักษิณ” วางเอาไว้
       
       ซึ่งหากยังไม่รีบปรับกลยุทธ์ ก็อาจเป็นได้แค่มังกรที่ไร้หัว ไร้พิษสง ซ้ำร้ายอาจจะทำให้หางตีกันเองดั่งปรัชญาจีนเคยว่าไว้
       
       สุดท้ายก็เป็นได้แค่ “งูดิน” ธรรมดาๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น