วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทีมสังหาร'เอกยุทธ'รับวางแผน3เดือน ก่อนลงมืออุ้มฆ่ารัดคอ!เมื่อ 11 มิ.ย.56



ทีมสังหาร'เอกยุทธ'รับวางแผน3เดือน ก่อนลงมืออุ้มฆ่ารัดคอ!
 
วันนี้ 12 มิ.ย.56  ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตำรวจของนครบาล ตำรวจภาค 9 และกำลังตำรวจภูธร จ.พัทลุง 
ได้นำตัว นายสันติภาพ ผู้ต้องหาในคดีอุ้มฆ่ารนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดัง และเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ไปค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมในท้องที่ ต.นาขยาด อ.ควนขนุน โดยเฉพาะบริเวณป่าละเมาะเชิงสะพานปรางหมู่ พื้นที่รอยต่อระหว่าง อ.ควนขนุน กับพื้นที่ อ.เมืองพัทลุง เพื่อค้นหากระเป๋าบรรจุไวน์ของนายเอกยุทธ ซึ่งนายสันติภาพ ได้นำหลักฐานดังกล่าวไปทิ้งไว้ แต่ไม่พบกระเป๋าดังกล่าวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามจากการค้นหาพยานหลักฐานของนายสันติภาพ ในคืนที่ผ่านมา ตร.ได้พบหลักฐานสำคัญหลายอย่าง อาทิ อาวุธปืน กระสุนปืน เสื้อผ้า ที่ใช้ในการกระทำความผิดก่อนการหลบหนี

จากการสอบสวนในขั้นต้นพบว่านายสันติภาพได้ร่วมกับกับนายเชาวลิต วุ่นชุม อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 213 ม.1 ต.แพรกหา อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
และนายเปิ้ลไม่ทราบชื่อ-สกุล ร่วมกันวางแผนฆ่านายเอกยุทธ เพื่อชิงทรัพย์มานานกว่า 3 เดือน เนื่องจากนายเอกยุทธ เบิกเงินสดจากธนาคารครั้งละประมาณ 5-15 ล้านบาท แต่ก็ไม่สามารถจัดการได้ตามแผนโดยครั้งแรกจะใช้อาวุธปืนสังหารแล้วนำศพไปทิ้งแต่ก็ไม่มีโอกาส จึงได้ร่วมกับพวกทั้ง 3 คนวางแผนใหม่ โดยการฆ่ารัดคอนายเอกยุทธ ในเขตบึงทองหลางจนตายคามือ แล้วนำศพนั่งมาในรถแล้วนำมาทิ้งริมเขาจิงโจ้ดังกล่าว

นายสันติภาพ เผยอีกว่า หลังจากที่ได้เงินสดจากนายเอกยุทธกว่า 5 ล้านบาทแล้ว
ตนได้แบ่งให้นายเชาวลิตจำนวน 1 ล้านบาท นายเปิ้ล จำนวน 1 ล้านบาท ส่วนตนได้ส่วนแบ่งมา 2 ล้านบาท โดยเงินดังกล่าวได้นำไปฝากไว้ที่ จ.ส.อ.อิทธิพร เพ็งด้วง อายุ 59 ปี บิดาทหารสังกัดกองพันทหารช่าง 401 ค่ายอภัยบริรักษ์ อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง หลังจากก่อเหตุแล้วต่างคนต่างหลบหนี โดยตนขับรถเข้ากรุงเทพฯ

ทางด้าน นายสมนึก เกื้อทอง อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 213 หมู่ที่ 7 ต.แพรกหาอ.ควนขนุน 
ซึ่งเป็นบิดานายทิวากร เกื้อทอง อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว เผยว่า ตนและลูกชายมีอาชีพขายเสื้อผ้าตามตลาดนัดต่างๆ เมื่อตอนเช้าวันที่ 11 มิ.ย. 56 นายเชาวลิต วุ่นชุม อายุ 23 ปี ได้เดินทางมาพบบุตรชายตน โดยขอร้องให้ขี่ จยย.ไปส่งบริเวณสี่แยกเอเชีย ในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง โดยนายเชาวลิต บอกว่าตนจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ แต่กลับเดินทางไปยัง อ.กันตัง จ.ตรัง จนถูกตำรวจรวบตัวได้ดังกล่าว ซึ่งตนมั่นใจว่าบุตรชายของตนไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในคดีดังกล่าวอย่างแน่นอน โดยทำหน้าที่ขี่ จยย.ไปส่งนายเชาวลิตเพียงเท่านั้น โดยไม่ทราบมาก่อนว่านายเชาวลิต เป็นคนร้ายในคดีดังกล่าว
 

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์แนวหน้า  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น