“ศาลปกครอง” ยกฟ้อง “ชาวกทม.” ขอ “นายกฯ” รับผิดชอบ บริหารน้ำพลาด ชี้ ปริมาณน้ำปี 54 มากสุดในรอบหลายปี เมื่อ 24 ก.ค. ที่ศาลปกครองถนนแจ้งวัฒนะ ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้อง ในคดี น.ส.จรุงทิพย์ หล่อรุ่งโรจน์ กับพวกรวม 10 คน
ซึ่งเป็นประชาชนที่พักอาศัยในกรุงเทพฯซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทักภัยเมื่อปี พ.ศ.2554 ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (ดำรงตำแหน่งขณะนั้น) , กับพวกที่มีส่วนร่วมในการบริหาร จัดการน้ำรวม10 คน ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของ รัฐละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรและการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิด ความผิดอื่นๆอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย จากกรณีที่ผู้ถูกฟ้องทั้ง10 ได้บริหารจัดการน้ำผิดพลาดทำให้มวลน้ำจำนวนมหาศาลได้ไหลสู่พื้นที่ต่ำออกสู่ ทะเล เป็นเหตุให้น้ำไม่ไหลไปตามทิศทางตามธรรมชาติทำให้น้ำท่วมขังบริเวณจังหวัด กรุงเทพมหานครทั้งยังส่งกลิ่นเน่าเหม็นและทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีได้รับความ เสียหาย จึงฟ้องขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งรวมกันแล้วเป็นเงินกว่า 3 ล้านบาท และให้จัดทำแผนป้องกันน้ำท่วม
โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าในช่วงกลางถึงปลายปี 54 ประเทศไทยเกิดพายุโซนร้อนและมรสุมจำนวนหลายลูก
จึงทำให้มีปริมาณน้ำสะสมในเขื่อนต่างๆอาทิเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนอื่นๆมากที่สุดในรอบหลายๆปีซึ่งผู้ถูกฟ้องมีความพยายามในการระบาย น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทางวิชาการแล้ว แต่การปล่อยน้ำออกจากเขื่อนก็จำเป็นต้องปล่อยเพื่อไม่ให้เกินความจุของ เขื่อนแต่ด้วยปริมาณน้ำฝนทำให้บริเวณพื้นที่ใต้เขื่อนซึ่งมีปริมาณน้ำฝน มากอยู่แล้ว ไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยามากขึ้นขณะเดียวกันระหว่างนั้นประตูระบายน้ำบาง โฉมศรีได้พังทลายลง และประตูระบายน้ำแห่งอื่นๆพังทลายลงตามมาประกอบกับน้ำจากแม่น้ำป่าสักทำให้ ไม่สามารถบริหารจัดการน้ำให้เป็นไปในทางที่กำหนดได้อีกทั้งน้ำจากเขื่อน ภูมิพล และ สิริกิติ์ที่เข้าสู้พื้นที่ กทม.ก็ถือเป็นเพียงร้อยละ 20ส่วนที่เหลือน่าจะเป็นน้ำที่ค้างตามทุ่งต่างๆ ประกอบกับพื้นที่รับน้ำ ก็ได้มีการปรับเป็นพื้นที่ปลูกสร้างที่อยู่อาศัยทำให้ไม่สามารถกักเก็บน้ำ ได้แม้ผู้ถูกร้องจะป้องกันพื้นที่ กทม.ด้วยการเสริมคันกันน้ำ วางแนวกระสอบทรายต่างๆ และได้แจ้งเตือนประชาชนให้เตรียมตัวไว้อย่างเต็มความสามารถ รวมถึงฟื้นฟูความเสียหายตามกฎหมายแล้วแต่ด้วยปริมาณน้ำก็ทำให้เกิดอุทกภัยใน พื้นที่บ้านพักของผู้ฟ้องทั้ง 10 จึงเห็นได้ว่า การกระทำของผู้ร้องไม่ได้เป็นการกระทำโดยไม่ชอบและละเลยการปฏิบัติหน้าที่จน ทำให้ผู้ฟ้องได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้การที่ผู้ถูกฟ้องวางแนวป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจชั้นในของ กทม. ก็ไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติ
เพราะถือว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นศูนย์กลางการ บริหารประเทศหากปล่อยให้น้ำท่วมก็จะมีผลกระทบในวงกว้าง ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ในภาพรวมของประเทศจึงไม่ถือว่าเป็นการ เลือกปฏิบัติ อีกทั้งการวางแนวป้องกัน กทม. ของผู้ถูกฟ้องเพื่อชะลอไม่ให้น้ำเข้าพื้นที่ชั้นในนั้นก็ทำให้ผู้ร้องทั้ง 10 ได้รับผลประโยชน์ไม่ให้บ้านพักถูกน้ำท่วมสูงกว่าที่เป็นอยู่พิพากษายกฟ้อง.
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น