‘ปปช.’รู้ทันซื้อเวลาคดีโกงข้าว2 April, 2014
“ป.ป.ช.” ไม่เล่นเกมยื้อเวลา “ยิ่งลักษณ์” มีมติไต่สวนพยานเพิ่มแค่ 3 จากที่ขอมา 11 ราย เผย “นิวัฒน์ธำรง-ยรรยง-กิตติรัตน์” ข้องเกี่ยวข้อกล่าวหาจริง ชี้สอบเร็วช้าขึ้นกับความจริงใจนายกฯ ต้องการพิสูจน์ตัวเอง “ประยุทธ์” ย้ำให้เคารพกระบวนการยุติธรรม “ชาวนา” ขีดเส้น 10 เม.ย.จ่ายหนี้ค่าข้าวก่อนยกระดับ
เมื่อวันอังคาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการขอให้คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบพยานเพิ่มเติม 11 ปาก กรณีข้อกล่าวหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวว่า ต้องขอใช้เวลาอย่างเต็มที่ เพราะกว่า ป.ป.ช.จะแจ้งเรื่องมา มีเวลาแก้ข้อกล่าวหาเพียง 15 วัน ในฐานะที่อยู่ในระดับนโยบายจำเป็นต้องขอข้อมูลเพื่อมีพยานเพิ่มเติม และให้พยานนำข้อมูลมาให้ ซึ่งถือเป็นกระบวนการยุติธรรมตามปกติที่ผู้กล่าวหาย่อมต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้มีโอกาสนำพยานมาชี้แจงเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะได้รับการพิจารณาจาก ป.ป.ช.ด้วยความยุติธรรม ตามสมควรที่จะได้รับ
“ดิฉันคงไม่สามารถจะตอบเช่นนั้นได้ เพราะไม่ใช่คนพิจารณา แต่เราก็ทำเต็มที่ในเวลาที่มี ซึ่งวันนี้เอกสารที่ขอไปยังหน่วยงานต่างๆ ยังได้ไม่ครบ จึงชี้แจงไปเท่าที่ได้ ดังนั้นต้องเห็นใจ เพราะเอกสารต่างๆ แต่ละหน่วยงานกว่าจะส่งมาต้องใช้เวลา ซึ่งโครงการรับจำนำข้าวเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ส่วนเอกสารที่ขอ ป.ป.ช.เพิ่มเติมไปนั้นได้มาระดับหนึ่ง หากจะได้มากกว่านี้ต้องมีการประสานงาน” น.ส.ยิ่งลักษณ์ตอบข้อถามว่ามั่นใจในเอกสารชี้แจงข้อกล่าวหรือไม่
ซักอีกว่า คิดว่าจะได้รับความเป็นธรรมจาก ป.ป.ช.หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตอบว่า ไม่อยู่ในวิสัยจะตอบแทน ต้องไปถาม ป.ป.ช. ซึ่งแต่ละคดีจะมีขั้นตอน คณะกรรมการต้องพิจารณาในเนื้อหาทั้งเอกสารและตัวบุคคลอย่างอิสระและเป็นกลาง เพื่อให้คดีต่างๆ เป็นไปด้วยความยุติธรรม และต้องฟังข้อมูลให้ครบทุกด้าน ไม่ใช่ฟังข้อมูลจากผู้กล่าวหาอย่างเดียว
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกฯ กล่าวเช่นกันว่า พยานบุคคล 11 คน พร้อมให้ความกระจ่าง หวังว่า ป.ป.ช.ให้โอกาส 11 ปากชี้แจงข้อเท็จจริง ส่วนคำวินิจฉัยจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องของ ป.ป.ช. หากต่างฝ่ายต่างให้เกียรติการปฏิบัติหน้าที่เราก็สบายใจ
ต่อมาในช่วงเย็น นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการและรองโฆษก ป.ป.ช. ได้แถลงผลการประชุมเรื่องดังกล่าวว่า ตามระเบียบ ป.ป.ช.ว่าด้วยการไต่สวนข้อเท็จจริง พ.ศ.2555 เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาสามารถชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเพิ่มเติมได้จนกว่าจะมีการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในกรณีที่มีเหตุผลอันสมควร ส่วนกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ขออ้างพยานบุคคลเพื่อให้ ป.ป.ช.ไต่สวนเพิ่ม 11 ราย ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติให้สอบพยานบุคคลเพิ่ม 3 ราย เนื่องจากเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกกล่าวหา ประกอบด้วย นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ ซึ่งทั้ง 2 คนจะสอบในประเด็นรับจำนำ และการระบายข้าว ส่วนนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.การคลัง จะสอบประเด็นความเสียหายด้านการเงิน การคลังของประเทศ ส่วนคนอื่นๆ เห็นว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำของผู้ถูกกล่าวหา และไม่ใช่ประเด็นที่ ป.ป.ช.กล่าวหา
วัดความจริงใจยิ่งลักษณ์
นายประสาทกล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะทำหนังสือแจ้งไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้รับทราบ เพื่อให้นำพยานบุคคลทั้ง 3 รายเข้ามาให้ปากคำต่อไป ขณะเดียวกันจะประสานกับทีมทนายความอีกทางหนึ่งเพื่อให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น เพราะบุคคลทั้ง 3 ยังเป็นรัฐมนตรีรักษาการอยู่ ส่วนกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำหนังสือให้ยุติการไต่สวนข้อเท็จจริง ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติว่าจะนำเรื่องดังกล่าวไปวินิจฉัยในคราวเดียวกับหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงจำนวน 151 แผ่น ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ยื่นชี้แจงมาเมื่อวันที่ 31 มี.ค.
“อยู่ที่ความร่วมมือของนายกฯ ผมคิดว่านายกฯ คงต้องการความรวดเร็วและสะดวกเพื่อจะพิสูจน์ตัวเอง อีกทั้งพยานบุคคลทั้ง 3 ราย ปัจจุบันยังเป็นรัฐมนตรีรักษาการอยู่ ซึ่งถ้านายกฯ ให้ความร่วมมือดีก็น่าจะรวดเร็ว” นายประสาทกล่าวถึงการเริ่มไต่สวนพยาน
ส่วนความเห็นของพรรคฝ่ายค้านนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำเพียงยื้อเวลา และลดความน่าเชื่อถือองค์กรอิสระ ทั้งที่มี 2 คำถามง่ายๆ คือ 1.น.ส.ยิ่งลักษณ์ทราบหรือไม่ว่ามีการทุจริตในโครงการจำนำ และ 2.เมื่อทราบแล้วทำอะไร เป็นสิ่งที่คิดว่า ป.ป.ช.ต้องการรู้ และถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ตอบได้ ก็จะมีความชัดเจนว่ารู้ ได้ติดตามและแก้ไขปัญหาได้ก็จบ แต่ถ้าบอกไม่รู้ก็ต้องตั้งคำถามว่า ไม่รู้นั้นเพราะอะไร
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้า ปชป. กล่าวขอบคุณที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ไปชี้แจง ป.ป.ช. เพราะแสดงว่ายังเคารพกระบวนการยุติธรรม และยอมรับการตรวจสอบ แต่ยังไม่เพียงพอ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ควรทำใน 3 เรื่องคือ 1.ไม่ควรแสวงหาช่องว่างกฎหมายยื้อเวลา 2.ควรยุติการดิสเครดิตหรือใส่ร้ายป้ายสี ป.ป.ช. และ 3.ควรระงับยับยั้งไม่ให้คนเสื้อแดงชุมนุมกดดันการทำงานของ ป.ป.ช.
แนะสังคมทันเกม
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก แสดงความผิดหวังในการชี้แจงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า เป็นลูกไม้เก่าๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง เพราะไม่ได้แก้ข้อกล่าวหาในเชิงสาระ แต่เป็นการแก้ข้อกล่าวหาในเชิงเทคนิค เช่น อ้างว่า ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจ กล่าวหานายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. รวมถึงกล่าวหาการเร่งรัดดำเนินคดี รวมถึงกล่าวหาว่าตนเองและนายอภิสิทธิ์ไม่น่าเชื่อถือ เพราะเป็นคู่แข่งทางการเมือง เป็นการเปิดประเด็นใหม่เพื่อให้เกิดความสับสนในสังคม
“การขอให้สืบพยานเพิ่มอีก 11 ปากนั้นไม่ใช่เรื่องจำเป็น ถือเป็นการถ่วงเวลาและใช้เป็นข้ออ้างปลุกระดมมวลชนว่าไม่ให้โอกาสชี้แจง ทั้งที่พยานทั้งหมดไม่มีผลต่อรูปคดี สังคมจึงต้องตามให้ทันหมากของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าต้องการซื้อเวลา เบี่ยงประเด็นเพื่อปลุกระดมมวลชนว่าถูกกลั่นแกล้งเท่านั้น” นพ.วรงค์กล่าว
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แสดงความเห็นว่า พวกเราทุกคนต้องเคารพกฎหมาย เรื่องอื่นก็ไปว่ากัน และยังไม่ทราบว่าใครผิด หรือใครถูก ขอให้เป็นดุลยพินิจของกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นอย่าไปละเมิด ถ้าไปกล่าวอ้างกันทุกวันก็จะขาดความเชื่อถือไปทั้งหมด ทำไมไม่สร้างความเชื่อถือให้กระบวนการยุติธรรม เพราะคือสิ่งที่ชี้วัดได้ ไม่ใช่ตัดสินด้วยความรู้สึก ซึ่งผู้ที่ถือกฎหมายถ้าทำผิดก็ถูกฟ้องร้องได้ ศาลก็ต้องระมัดระวัง ซึ่งขณะนี้ก็ระมัดระวังตัวอยู่แล้ว ดังนั้นอย่าไปละเมิด
เมื่อถามว่า ถ้านายกฯ คนต่อไปไม่ใช่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กองทัพจะเปลี่ยนบทบาทหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า กองทัพต้องอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล ไม่สามารถเลือกใครก็ได้ โดยสอนลูกน้องเสมอว่า การเป็นทหารไม่สามารถเลือกผู้บังคับบัญชาได้ เพราะมากันคนละระบบ ถ้าในระบบของกองทัพบกต้องมีการตรวจสอบ เช่นเดียวกับฝ่ายบริหารที่มีการตรวจสอบ เป็นเรื่องของการทำงานร่วมกัน ใครจะเป็นอะไรก็เป็นไป เราเอนไปข้างไหนไม่ได้ เพราะความชอบเป็นเรื่องส่วนตัว เหมือนกับการเลือกตั้ง ถ้าชอบใครก็เลือกคนนั้น ดังนั้นจึงอยากให้มีสติ และขอให้เลือกกันให้ดี
วันเดียวกัน สมาพันธ์เครือข่ายชาวนาไทย นำโดยนายปัญญา จุลอำพันธ์ เลขาธิการสมาพันธ์เครือข่ายชาวนาไทย ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเบิกเงินงบกลางที่ยังค้างอยู่อีก 2.7 แสนล้านบาท จ่ายให้ชาวนาภายในวันที่ 10 เม.ย.นี้ หากยังไม่คืบหน้าจะยกระดับโดยให้ชาวนานำข้าวเปลือกมาขายให้หน่วยงานของรัฐบาลทุกกระทรวง กระทรวงละ 1 พันตัน ในราคาตันละ 1.5 หมื่นบาท ตลอดเดือน เม.ย. รวมทั้งให้เอกสิทธิ์แกนนำแต่ละจังหวัดในการยกระดับขับไล่รัฐบาล รวมถึงกับร่วมชุมนุมกับกลุ่มต่างๆ นอกจากนี้สมาพันธ์ยังได้เข้ายื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้เร่งสอบสวนหาผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมาย และยึดทรัพย์ผู้กระทำผิดทั้งนักการเมืองและข้าราชการประจำในคดีโครงการรับจำนำด้วย โดยมีนายวิทยา อาคมพิทักษ์ รองเลขาธิการ ป.ป.ช.เป็นผู้รับมอบหนังสือ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น