30 เม.ย. 57 เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ห้องพิจารณา 2 ศาลปกครองกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ 1843/2553 ที่กรุงเทพมหานคร ยื่นฟ้อง คุณหญิงสุรัตน์ สุนทรเวช ภรรยานายสมัคร อดีตผู้ว่าฯ กทม. , นางกาญจนากร ไชยลาภ และนางกานดาภา มุ่งถิ่น ทายาทมรดกของนายสมัคร อดีตผู้ว่า ฯ กทม. เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 เพื่อให้ผู้ถูกฟ้องทั้งสาม ซึ่งเป็นผู้รับมรดก นายสมัคร ที่เสียชีวิตแล้ว ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย กรณีที่นายสมัคร กระทำความผิดเกี่ยวกับการจัดซื้อรถเรือดับเพลิง หลัง ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่า ร่วมกันกับ บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอยก์ จํากัด ประเทศออสเตรีย กำหนดราคาซื้อขายให้สูงเกินจริง
โดยคดีนี้ ฝ่ายภรรยาและบุตร ของนายสมัคร ผู้ถูกฟ้อง ไม่ได้เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาแต่มอบอำนาจให้นายสุขสันต์ สุขสวัสดิ์ ทนายความ มาศาลแทน ส่วน กทม. ผู้ฟ้อง ไม่ได้เดินทางมาศาล
ขณะที่ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า พฤติการณ์ของนายสมัคร และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีต ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงการลงนามในสัญญามีลักษณะเป็นการเร่งรีบ เพื่อให้มีการดำเนินการตามสัญญาระหว่างที่นายสมัคร ยังคงดำรงตำแหน่งผู้ว่า กทม. แม้จะมีการอ้างเหตุจำเป็นในการดำเนินโครงการจากการเติบโตของ กทม. แต่ทั้งสอง ไม่ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบ ในการพิจารณารายละเอียด สัญญา ลักษณะ รัฐต่อรัฐตามขั้นตอน ที่ ครม.มีมติ และยังไม่ได้นำกรณีอื่นที่หน่วยทหารพัฒนา ของ บก.สส. ได้ทำสัญญาแบบรัฐต่อรัฐกับบริษัทสไตเออร์ มาพิจารณาประกอบ ในการปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ ให้ครบถ้วนสมกับกรณีทั้งที่นายสมัคร ก็เป็นผู้ว่า กทม.ย่อมต้องรับรู้และเข้าใจขั้นตอนปฏิบัติ
พยานหลักฐานจึงฟังได้ว่าการกระทำของนายสมัครดังกล่าวจงใจประมาทเลินเล่อ ทำให้ กทม.เสียหาย จึงพิพากษาให้ทายาทซึ่งเป็นผู้รับมรดก ชดใช้เงินค่าเสียหาย ร้อยละ 30 ของความเสียหายทั้งหมดจำนวน 1,958 ล้านบาทเศษ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 587,580,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้อง โดยให้ชำระเสร็จภายใน 60 วันตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษา
ภายหลังนายสุขสันต์ สุขสวัสดิ์ ทนายความของคุณหญิงสุรัตน์ กล่าวว่าหลังจากนี้จะไปปรึกษากับคุณหญิงสุรัตน์ และทายาททั้งสอง เรื่องการอุทธรณ์คดี ต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งจะต่อสู้ในประเด็นที่ว่าศาลปกครองไม่มีอำนาจพิพากษาในคดีนี้ เพร่ะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมรดก ที่ควรจะต้องยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง
ต่อมาเวลา 12.00 น. ศาลปกครองกลาง ก็ได้มีคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ 1234/2554 ที่นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย ยื่นฟ้อง กรุงเทพมหานคร และ รมว.มหาดไทย เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 เรื่องกระทำการออกคำสั่งโดยมิชอบ ที่กรุงเทพมหานคร สั่งให้ผู้ฟ้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จากการที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญากล่าวหาว่า ขณะผู้ฟ้องดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ มีพฤติการณ์ร่วมกับ บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอยก์ จํากัด ประเทศออสเตรีย กระทำความผิดเกี่ยวกับการจัดซื้อรถเรือดับเพลิงฯ ซึ่งผู้ฟ้องได้อุทธรณ์คำสั่ง กทม.ดังกล่าว แต่ผู้ถูกฟ้องมีคำสั่งยกอุทธรณ์
ขณะที่วันนี้นายประชา ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา เนื่องจากได้หลบหนีคดีที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ออกหมายจับ หลังพิพากษาจำคุก 12 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อ รถ-เรือดับเพลิง
โดยศาลปกครอง ได้พิพากษา ให้นายประชา ผู้ฟ้อง ต้องจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายกับ กทม. เช่นเดียวกับ ทายาทของนายสมัคร เนื่องจากขณะเกิดเหตุนายประชา ดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเริ่มโครงการ และกระบวนการจัดซื้อ
และวันเดียวกันนี้ ศาลปกครองกลาง ก็ยังมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ 1287/2554 ให้เพิกถอนคำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ประกาศกำหนดให้ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีต ผู้ว่า กทม. ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับ กทม.ที่เสียหายจากการ ทำสัญญาซื้อขายรถเรือดับเพลิง และอุปกรณ์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
โดยศาลเห็นว่า นายอภิรักษ์ มีการแสดงให้เห็นถึงความพยายามการปกป้องผลประโยชน์ของทางราชการ หลังเห็นว่าการซื้อขายมีข้อบกพร่องของกฎหมายจึงได้ยื่นขอระงับการเปิดหนังสือค้ำประกัน หรือ LC กับธนาคารกรุงไทย 2 ครั้ง และทำหนังสือถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และหนังสือถึงนายโภคิณ พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย 2 ครั้ง ให้ทบทวนการสัญญา แต่นายโภคิณ ก็ยืนยันว่าไม่สามารถทำได้ ขณะที่นายอภิรักษ์ ก็ไม่มีอำนาจที่จะบอกเลิกสัญญา ซื้อขายที่ได้ดำเนินการไปแล้ว
จึงเห็นว่านายอภิรักษ์ ได้ระมัดระวังตามกรอบอำนาจหน้าที่ ไม่มีเจตนาทุจริต หรือทำให้เกิดความเสียหาย ประกอบกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่าการกระทำของนายอภิรักษ์ ก็ไม่เป็นความผิด จึงพิพากษาให้เพิกถอนประกาศ กทม.ดังกล่าว
อย่างไรก็ตามทั้ง 3 คดีดังกล่าว ถือว่ายังไม่สิ้นสุด เนื่องจากคู่ความยังสามารถอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุดได้