วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 17-24 มิ.ย.2555



คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

 

1.“สุรพงษ์” เตรียมชง ครม.ไฟเขียวนาซาใช้สนามบินอู่ตะเภา 26 มิ.ย. หลังนาซาขู่ถอนตัว ด้านผู้ตรวจการแผ่นดิน ชี้ ต้องให้รัฐสภาพิจารณาก่อน!

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ
       เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกรณีองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา หรือนาซา ขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเพื่อดำเนินกิจกรรมของนาซา สำหรับผู้ที่เข้าร่วมหารือ ได้แก่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ,พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ
      
       ทั้งนี้ ก่อนเข้าประชุม พล.อ.อ.สุกำพล ยืนยันว่า การที่นาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภาจะไม่ส่งผลเสียหรือกระทบต่อความมั่นคงของไทย และไม่มีนอกมีในอย่างที่หลายฝ่ายวิตก “ไม่ต้องกลัวเรื่องที่บินถ่ายรูปแล้วเก็บข้อมูลของเราไป เพราะดาวเทียมมีอยู่เต็มไปหมด ถ้าอยากจะได้ภาพที่ชัดเจนก็เสียเงินนิดหน่อย ใช้เว็บไซต์กูเกิลสบายมาก...” ส่วนที่มีข่าวว่า การอนุญาตให้นาซาเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภา เพื่อแลกกับการที่สหรัฐฯ จะให้วีซ่าแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้น พล.อ.อ.สุกำพล รีบบอกว่า เป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องตลก พวกที่ออกมาพูดเช่นนี้เป็นพวกที่ทำให้รัฐบาลเสีย
      
       ขณะที่นายสุรพงษ์ เผยเหตุที่นาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภาว่า เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา นาซาได้ทำหนังสือมาถึงกระทรวงการต่างประเทศเพื่อขอสำรวจเมฆสำหรับใช้ในการพยากรณ์อากาศ จากนั้นฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แสดงความเป็นห่วงกรณีที่เครื่องบินของนาซาต้องบินผ่านประเทศเพื่อนบ้านด้วย จึงได้ให้นาซาไปเจรจากับเพื่อนบ้านก่อน ปรากฏว่าไม่มีประเทศใดคัดค้าน นาซาจึงทำหนังสือมาถึงตนเมื่อต้นเดือน มิ.ย. และว่า นาซาต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภาแค่ 2 เดือน คือ ส.ค.-ก.ย. โดยจะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยขึ้นบินด้วย เพื่อเอาตัวอย่างของเมฆไปวิเคราะห์
      
       ทั้งนี้ หลังประชุมกับนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้น นายสุรพงษ์แถลงว่า ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการและจะเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันที่ 19 มิ.ย. นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติให้ตั้งคณะทำงานเพื่อตกลงรายละเอียดและรูปแบบการทำงานร่วมกัน รวมถึงเที่ยวบินที่จะบินผ่านน่านฟ้าไทยข้ามไปประเทศกัมพูชาและสิงคโปร์ด้วย ไม่เท่านั้น ที่ประชุมยังหารือถึงการตั้งศูนย์ช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติระดับภูมิภาค ที่สืบเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว ซึ่งทุกเหล่าทัพก็เห็นชอบในหลักการ โดยเบื้องต้นจะตั้งศูนย์แบบไม่ถาวร และมีเจ้าหน้าที่ประจำตลอดเวลาช่วงที่เกิดภัยพิบัติ
      
       ด้านนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พยายามชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ หากอนุญาตให้นาซาใช้สนามบินอู่ตะเภาว่า ทำให้เรารู้เกี่ยวกับเมฆและฝนในระดับสูง นอกจากนี้ยังได้ความรู้เรื่องฝุ่นละอองในบรรยากาศและเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน พร้อมย้ำว่า ไม่มีอะไรต้องห่วงเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคง และไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะไม่ร่วมมือกับนาซา
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลายฝ่ายได้ออกมาคัดค้านการที่นาซาจะขอใช้สนามบินอู่ตะเภา โดยแกนนำพรรคประชาธิปัตย์หลายคน ยืนยันว่า เรื่องนี้เข้าข่ายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ต้องให้รัฐสภาเห็นชอบก่อน พร้อมจี้ให้ ครม.เปิดเผยรายละเอียดที่จะให้นาซาใช้สนามบินอู่ตะเภา ขณะที่นายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็เห็นเช่นเดียวกันว่า การจะให้นาซาใช้สนามบินอู่ตะเภา รัฐบาลต้องเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรค 2 ว่าด้วยสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เพราะเป็นเรื่องผลประโยชน์ของชาติที่อาจไปอยู่ในอาณัติของต่างชาติ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลกำลังให้สหรัฐฯ เข้ามามีอิทธิพลต่อประเทศไทยอีกครั้ง
      
       ด้านนางพิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ ส.ว.พิษณุโลก ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) การต่างประเทศ วุฒิสภา ยืนยันเช่นกันว่า เรื่องนาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภาควรเข้าที่ประชุมรัฐสภา เพราะขนาดเรื่องไทยจะเพิ่มเส้นทางการบิน ยังต้องนำเข้าพิจารณาในรัฐสภา แล้วนี่จะมีการบินสำรวจสภาพภูมิอากาศที่ต้องบินผ่านน่านฟ้าของหลายประเทศ ยิ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐสภาจะต้องพิจารณาก่อน
      
       ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ไม่มีวาระพิจารณาเรื่องนาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภา แต่อย่างใด โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บอกว่า จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษารายละเอียดก่อน หากชัดเจนเมื่อใด จึงจะนำเข้า ครม. ส่วนขั้นตอนใดที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายให้รัฐสภารับทราบ ก็จะทำ
      
       อย่างไรก็ตาม สถานทูตสหรัฐฯ ได้นำหนังสือของนาซามาแจ้งให้ไทยทราบว่า หากรัฐบาลไทยไม่สามารถหาข้อยุติเรื่องสนามบินอู่ตะเภาได้ภายในวันที่ 26 มิ.ย.นี้ เพราะปัญหาในประเทศ นาซาก็เข้าใจ และจะขอถอนตัว เพราะไม่สามารถขนอุปกรณ์มาเตรียมพร้อมได้ทัน
      
       ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกอาการเหมือนไม่อยากให้นาซาถอนตัว จึงรีบออกมาบอกว่า จะเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม ครม.ในวันที่ 26 มิ.ย.นี้ จะเอาหรือไม่เอา เรื่องจะได้จบ
      
       ด้าน พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ได้ออกมาเตือนรัฐบาลอย่าไว้ใจสหรัฐฯ เพราะเรื่องความมั่นคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในประเทศไทยได้ พร้อมยกตัวอย่างว่า เมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์สึนามิครั้งใหญ่ สหรัฐฯ อ้างว่าจะนำเครื่องบินไปรับผู้ประสบภัย แต่กลับนำไปสำรวจและถ่ายภาพฐานทัพของฝ่ายตรงข้าม สร้างความไม่พอใจให้ประเทศคู่ขัดแย้งกับสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ยังมีความพยายามจะเข้ามาขอใช้พื้นที่ในไทยเป็นที่ตั้งการต่อสู้เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างตะวันตกกับตะวันออก เช่น เคยขอเช่าเกาะภูเก็ต แต่กองทัพเรือไม่อนุญาต
      
       2.“สุเทพ” แฉ “ทักษิณ” ส่งคนมาเจรจาให้หยุดขวางแก้ รธน.-ออก พ.ร.บ.ปรองดองฯ แลก ปชป.ได้ร่วมรัฐบาล ด้าน “เพื่อไทย” เล็งฟ้องหมิ่น!
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรค ปชป.
       สัปดาห์ที่ผ่านมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้ออกมาแฉว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ส่งคนกลางมาเจรจากับตน เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์เลิกขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการออก พ.ร.บ.ปรองดองฯ แลกกับการดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล
      
       ปรากฏว่า คำพูดของนายสุเทพ ส่งผลให้แกนนำพรรคเพื่อไทยออกมาโวยวายเป็นการใหญ่ หาว่านายสุเทพกุเรื่อง โดยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ท้าให้นายสุเทพโชว์หลักฐานออกมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณส่งใครมาเจรจา อย่าพยายามสร้างเครดิตให้ตัวเองด้วยการเล่นการเมืองแบบเก่าบิดเบือนข้อมูล
      
       ขณะที่นายสุเทพ แย้มว่า การเจรจาเกิดขึ้นหลายครั้ง ผ่านคนกลางที่ให้ความเคารพคุ้นเคยกันดี ครั้งแรกมาขอให้ตนเดินทางไปดูไบ แต่ได้ปฏิเสธไป จากนั้นส่งคนมาประสานให้เจอในสถานที่แห่งหนึ่ง “ครั้งหลังเขาเปิดเผยเจตนาว่าจะคุยเรื่องขอให้ยุติการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการออก พ.ร.บ.ปรองดองฯ ผมก็ได้ปฏิเสธไป เพราะส่วนตัวไม่ไว้วางใจ พ.ต.ท.ทักษิณอีกต่อไปแล้ว หลังจากเคยรับปากผมหลายเรื่อง แต่ไม่เคยทำตามที่รับปากไว้เลยสักเรื่อง”
      
       นายสุเทพ ยังเล่าต่อว่า เมื่อไม่นานมานี้คนเดิมได้มาเจรจามาอีก บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยากพบ ถ้าไม่สะดวก ให้ไปคิดว่าจะมาร่วมรัฐบาลกันหรือไม่ จะเลือกกระทรวงไหนไปบริหารให้บอกมา ขออย่างเดียวอย่าคัดค้านร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ มาจับมือกันแก้ปัญหาก่อน เพื่อให้บ้านเมืองสงบ พอรัฐบาลอยู่ครบ 4 ปี ค่อยเลือกตั้งต่อสู้กันใหม่ แต่ตนได้ปฏิเสธไปทันที
      
       ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปถามเรื่องดังกล่าวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกเพียงว่า ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ และไม่น่าเป็นไปได้
      
       ด้านนายสุเทพ ออกมาแย้มอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณส่งคนมาเจรจาตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.พ.2555 หลังน้ำท่วม แต่ไม่ใช่คนในพรรคเพื่อไทย โดยเป็นสุภาพสตรีชั้นสูง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในสังคม 2 คน ส่วนอีกคนเป็นสุภาพบุรุษ ซึ่งได้ไปพบที่บ้านบุคคลดังกล่าว โดยบุคคลดังกล่าวทำหน้าที่วิ่งไปวิ่งมาระหว่างตนกับ พ.ต.ท.ทักษิณหลายครั้ง กระทั่งมีการเจรจาครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายสุเทพ ยังบอกด้วยว่า ทุกครั้งที่ได้รับการติดต่อจากบุคคลดังกล่าว ตนได้แจ้งให้หัวหน้าพรรคและผู้ใหญ่ในพรรคทราบ
      
       ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า เรื่องที่นายสุเทพพูดเป็นเรื่องเท็จ และ พ.ต.ท.ทักษิณได้แต่หัวเราะเมื่อทราบเรื่องนี้ ขณะที่นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ท้าให้นายสุเทพและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไปสาบานที่วัดพระแก้วพร้อมกับตนและ ส.ส.พรรคเพื่อไทยในวันที่ 20 มิ.ย. หากไม่ไป แสดงว่าที่พูดมาเป็นเรื่องโกหก
      
       ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนด(20 มิ.ย.) นายพร้อมพงศ์และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งได้ไปรอเก้อ เพราะนายสุเทพไม่ได้เดินทางมาแต่อย่างใด ทั้งนี้ นายพร้อมพงศ์ เผยว่า ได้สาบานต่อวัดพระแก้วว่า หากสิ่งที่ทำเป็นเรื่องถูกต้อง ขอให้พรรคเพื่อไทยเจริญรุ่งเรืองและเป็นรัฐบาลตลอดไป หากสิ่งที่นายสุเทพพูดไม่จริง เป็นเกมการเมืองเพื่อทำลายพรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ ขอให้พรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ ไม่เจริญรุ่งเรืองทางการเมือง และเป็นฝ่ายค้านตลอดไป นายพร้อมพงศ์ ยังบอกด้วยว่า สัปดาห์หน้าจะไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีนายสุเทพข้อหาหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 236
      
       3.กกต.แจกใบแดง “การุณ” ฐานใส่ร้าย “แทนคุณ-ปชป.” เตรียมส่งศาลฎีกาฯ ชี้ขาด ด้าน “เพื่อไทย” เล็งส่ง “จตุพร” เลือกซ่อม!

พรรคเพื่อไทยเปิดเวทีให้นายการุณ โหสกุล ปราศรัยที่ย่านดอนเมือง หลังถูก กกต.แจกใบแดง(22 มิ.ย.)
       เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ประชุมพิจารณากรณีนายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.เขต 12 พรรคเพื่อไทย ถูกกล่าวหาว่าโฆษณาใส่ร้ายนายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตดอนเมือง พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 และ 12 มิ.ย.2554 นอกจากนี้ยังมีการปราศรัยใส่ร้ายในลักษณะเดียวกันที่ตลาดโกสุมรวมใจ เขตดอนเมือง โดยใส่ร้ายนายแทนคุณและพรรคประชาธิปัตย์ว่า “พรรคการเมืองเก่าแก่ นักการเมืองรุ่นใหม่ ถือแปรงทาสีปราศรัยทุกครั้ง ชุมนุมทุกครั้ง เอาเงินมาแจก เกณฑ์คนไปฟังการปราศรัยที่ตลาดสะพานใหม่ รายละ 300 บาท”
      
       ทั้งนี้ กกต.พิจารณาแล้วมีมติเสียงข้างมากให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง) นายการุณ โดยหลังจากนี้ กกต.จะยกร่างคำวินิจฉัยเพื่อเสนอศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งพิพากษาต่อไป
      
       ขณะที่นายการุณ เผยความรู้สึกหลังทราบมติ กกต.ว่า ตอนนี้ยังรู้สึกสบายๆ เพราะเคยเจอเหตุการณ์หนักกว่านี้ ก็ยังยิ้มได้ และจะเดินหน้าทำงานต่อไปไม่ว่าจะมีตำแหน่งหรือไม่มีก็ตาม นายการุณ ยังย้ำด้วยว่า การปราศรัยของตน ไม่ได้ระบุตัวบุคคล
      
       ด้านนายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตดอนเมือง พรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า หากศาลฎีกาฯ วินิจฉัยให้มีการเลือกตั้งใหม่ ตนก็พร้อมสู้เต็มที่ และคงต้องดูว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งใครลงสมัครแทนนายการุณ และว่า ขณะนี้รู้สึกกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะคดียิงนายชุติเดช สุวรรณเกิด หัวคะแนนของตน ยังไม่มีความคืบหน้า ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือว่า หลังจากนายชุติเดชแล้ว รายต่อไปจะเป็นตน จึงต้องระวังตัวมากขึ้น พร้อมยอมรับว่า ที่ผ่านมามีการข่มขู่เข้ามาเป็นระยะๆ แต่ไม่รู้สึกท้อถอย
      
       ขณะที่พรรคเพื่อไทยยังไม่มีความชัดเจนว่าจะส่งใครลงสมัครรับเลือกตั้งแทนนายการุณ แต่นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาบอกว่า หากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีมติเช่นเดียวกับ กกต. จะเสนอให้พรรคส่งนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลงสมัครรับเลือกตั้งแทนนายการุณ พร้อมเชื่อว่า นายการุณจะไม่ขัดข้อง เพราะถือว่าเป็นนักต่อสู้เช่นเดียวกัน
      
       ด้านนายการุณ ส่งสัญญาณไม่มีปัญหาหากนายจตุพรจะลงสมัครรับเลือกตั้งแทนตน เพราะนายจตุพรเป็นพี่ตนและเป็นพวกเดียวกัน แต่ต้องมีการพูดคุยกันก่อน นายการุณ ยังเชื่อด้วยว่า ตนยังมีโอกาสต่อสู้ในชั้นศาลฎีกาฯ เพราะดูจากมติ กกต.แล้ว ยังมีเสียงแตกอยู่ 2 เสียง
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ได้ออกมาเผยว่า ตนเป็นเสียงข้างน้อยที่ไม่ได้ให้ใบแดงนายการุณ เนื่องจากเห็นว่าที่ผ่านมากรณีมีการพูดจาใส่ร้ายกันทางการเมือง กกต.จะยกคำร้องทุกครั้ง โดยเฉพาะการใส่ร้ายกันของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ เพื่อไทยและประชาธิปัตย์ การให้ใบแดงนายการุณด้วยข้อกล่าวหาใส่ร้ายครั้งนี้จึงถือเป็นครั้งแรก
      
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาเตือนความจำนางสดศรีว่า ไม่ทราบว่านางสดศรีได้ดูประวัติหรือยังว่าเคยให้ใบแดงเรื่องแบบนี้มาก่อน เพราะนายธานินทร์ ใจสมุทร อดีต ส.ส.สตูล พรรคประชาธิปัตย์ เคยโดนใบแดงข้อหาปราศรัยใส่ร้ายมาแล้ว นอกจากนี้กฎหมายยังระบุชัดว่า พฤติกรรมใดที่เป็นการสร้างความเข้าใจผิด ทำให้เกิดผลกระทบต่อคะแนนนิยมของผู้สมัคร ถือเป็นการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ไม่เท่านั้น เวลาผู้สมัครรับเลือกตั้งทำอะไรเองแล้วผิดกฎหมาย มักจะโดนใบแดง ไม่ใช่โดนใบเหลือง ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน ดังนั้นนางสดศรีไม่ควรให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนกับประชาชน “คำพูดของนางสดศรีนั้น จะมีคนนำไปใช้ประโยชน์อย่างแน่นอน... จึงอยากให้ กกต.ออกมาชี้แจง ไม่เช่นนั้นคนจะสับสน กลายเป็นว่ามีมติออกมาแล้ว เสียงข้างน้อยออกมาอธิบาย แต่เสียงข้างมากไม่อธิบาย”
      
       4. ศาล รธน. ยื่นศาลอาญาถอนประกัน “จตุพร” คดีก่อการร้าย หลังดูหมิ่น-ข่มขู่ศาล ด้านเจ้าตัว ขู่ดำเนินคดีตุลาการสัปดาห์หน้า!

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย
       จากกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ได้ขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มคนเสื้อแดงที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. โดยปราศรัยโจมตีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีมติรับคำร้องเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้วินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่ พร้อมมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในวาระ 3 ไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย โดยนายจตุพรได้กล่าวหาว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกระทำการขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เพราะไม่มีอำนาจรับคำร้องไว้วินิจฉัย นอกจากนี้แกนนำเสื้อแดงบางคน เช่น นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ยังประกาศบนเวทีในลักษณะข่มขู่คุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยการบอกเบอร์โทรศัพท์และบ้านพักของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและครอบครัวด้วยนั้น
      
       ปรากฏว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ส่งตัวแทนไปยื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อให้มีการเพิกถอนคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพรในคดีก่อการร้าย โดยศาลอาญาได้รับคำร้องไว้ พร้อมออกหมายเรียกนายจตุพรมาสอบถามข้อเท็จจริงในวันที่ 23 ก.ค.เวลา 09.00น.
      
       ด้านนายจตุพร ไม่พอใจพร้อมประกาศว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีสิทธิยื่นเรื่องถอนประกัน เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดี และว่า ตนจะไปแจ้งความผิดตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในสัปดาห์หน้า ข้อหากระทำการขัดรัฐธรรมนูญ
      
       ขณะที่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกมาชี้แจงว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้สั่งให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไปยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรณีดังกล่าว แต่สำนักงานศาลฯ คงทำไปตามหน้าที่ที่เห็นว่าควรต้องมีการดูแลความปลอดภัยของตุลาการทุกคน “ผมเข้าใจว่าเพื่อให้ตุลาการทำหน้าที่ด้วยความราบรื่น ไม่ถูกข่มขู่คุกคาม จึงจำเป็นต้องดูแลไม่ให้ตุลาการถูกข่มขู่ เพราะนายจตุพรและพวกได้มีการปราศรัยข่มขู่ที่รัฐสภา อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้ คนรถของผมเองก็ได้รับโทรศัพท์ข่มขู่ว่าจะพาคนมาบุกที่บ้าน สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจึงห่วงความปลอดภัย”
      
       ด้านนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา พูดถึงการรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญไว้พิจารณาว่า แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ใช่คู่ความ แต่คำร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญเสนอมานั้น มีผลกระทบต่อสังคม และพฤติการณ์ของนายจตุพรตามที่ร้องมา ก็มีการเผยแพร่ทางสื่อมวลชน ถือว่าเข้าข่ายข้อกำหนดในการประกันตัว ถึงศาลรัฐธรรมนูญไม่ยื่นคำร้องมา ศาลอาญาก็มีสิทธิเรียกตัวนายจตุพรมาสอบสวนได้
      
       อย่างไรก็ตาม นายทวี ส่งสัญญาณเหมือนกับว่าอาจจะไม่มีการถอนประกันนายจตุพรตามที่ศาลรัฐธรรมนูญยื่นคำร้อง “ไม่มีการตั้งธงว่าจะถอนประกันนายจตุพร เพราะการถอนประกันอาจเกิดปัญหาตามมาแบบกรณีที่เคยถอนประกัน แล้วนายจตุพรติดคุก ออกมาเลือกตั้งไม่ได้ จนโดนตัดสิทธิ แต่จะพิจารณาถึงข้อแม้ในการประกันตัวและความเสียหายที่เกิดขึ้น”
      
       5. ศาลเยาวชนฯ ยังไม่อ่านคำพิพากษาคดี “แพรวา” ซิ่งซีวิคชนรถตู้ดับ 9 ศพ นัดคู่กรณีไกล่เกลี่ย 2 ก.ค.!

นางถวิล เช้าเที่ยง มารดาของ ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เยาวชนขับรถซีวิคชนรถตู้โดยสารบนทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์
       เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการคดีเยาวชนและครอบครัว 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.แพรวา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 18 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายต่อร่างกายบาดเจ็บสาหัส ทรัพย์สินเสียหาย และข้อหาใช้โทรศัพท์ขณะขับรถยนต์
      
        ทั้งนี้ อัยการยื่นฟ้องสรุปว่า เมื่อคืนวันที่ 27 ธ.ค.2553 จำเลยได้ขับรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีวิค ทะเบียน ฎว 8461 กรุงเทพมหานคร ขึ้นทางยกระดับโทลล์เวย์มุ่งหน้าถนนดินแดงด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจำเลยได้กระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังหรือใช้ความระมัดระวังไม่เพียงพอ โดยจำเลยไม่ขับรถในช่องทางซ้าย เมื่อมาถึงบริเวณแยกทางลงบางเขน ช่วงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำเลยได้เปลี่ยนช่องทางจากขวาสุดมาทางซ้าย และได้เปลี่ยนกลับไปยังช่องทางขวาอีกครั้ง เป็นเหตุให้รถของจำเลยพุ่งเข้าชนรถตู้โดยสาร ที่วิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทำให้รถตู้เสียหลัก หมุนไปชนขอบกั้นทางโทลล์เวย์พลิกคว่ำ คนขับรถตู้และผู้โดยสารกระเด็นออกจากตัวรถตกจากทางด่วนเสียชีวิตรวม 9 ศพ และบาดเจ็บสาหัสอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนรถของจำเลยแฉลบเลยจากรถตู้ไปประมาณ 50 เมตร นอกจากนี้ ก่อนเกิดเหตุ จำเลย ยังได้ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถด้วย โดยมีหลักฐานเป็นรายงานการใช้โทรศัพท์มือถือของจำเลย ซึ่งในชั้นสอบสวน จำเลยให้การปฏิเสธทั้ง 2 ข้อหา
      
        ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ยังไม่สมควรมีคำพิพากษา และได้เสนอแนะให้ทั้งสองฝ่ายใช้วิธีไกล่เกลี่ยเรื่องค่าสินไหมทดแทนตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวกลาง พ.ศ.2553 มาตรา 132 โดยนัดให้ทั้งสองฝ่ายมาไกล่เกลี่ยอีกครั้งในวันที่ 2 ก.ค. เวลา 09.00น. หากไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ ศาลจะมีคำพิพากษาต่อไป
      
        หลังศาลยังไม่อ่านคำพิพากษา นพ.กฤช รอดอารีย์ บิดานายเกียรติมัน รอดอารีย์ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยอมรับว่าผิดหวังที่ศาลยังไม่อ่านคำพิพากษา พร้อมย้ำว่า คดีนี้ ตนไม่ได้หวังเรื่องสินไหมทดแทน แต่อยากให้มีการรับผิดชอบต่อสังคม อยากให้มีการตัดสินตามความผิดของจำเลยมากกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น