วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

ระบอบทักษิณขายสมบัติชาติโดยฉ้อฉล เมื่อ 23 เม.ย.57



ระบอบทักษิณขายสมบัติชาติโดยฉ้อฉล

วานนี้ กปปส.เดินทางไปรณรงค์ถึงสำนักงานใหญ่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
                ปรากฏว่า พนักงาน กฟผ. ออกมาต้อนรับกันอย่างแน่นหนา   ทั้งโบกธงชาติ เป่านกหวีด ชูป้ายไล่รัฐบาลระบอบทักษิณ บ้างเอาอาหารคาวหวานมาเลี้ยงดูผู้ชุมนุม ฯลฯ
                เหตุผลสำคัญน่าจะมาจากว่า คน กฟผ.ได้เจอพิษร้ายของระบอบทักษิณด้วยตนเอง
                มันคุกคามเข้าไปถึงในบ้านเขา
                ถึงขั้นว่ามันเคยจะขายบ้านเขา!
                หรืออาจจะพูดได้ว่า มันเตรียมปล้นสมบัติในบ้านเขาไปขายด้วยซ้ำ!
                นั่นก็คือพฤติกรรมของรัฐบาลทักษิณ เคยดำเนินการเพื่อขายหุ้น กฟผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ ยักย้ายถ่ายเทสมบัติของชาติโดยวิธีการฉ้อฉล โดยคนของระบอบทักษิณ
                ยังดีที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนการกระทำอันฉ้อฉลของระบอบทักษิณดังกล่าวเอาไว้
                มิเช่นนั้น คงเสร็จโจรไปแล้ว!
                โอกาสนี้ ลองทบทวนความจำกันสักนิด ว่าระบอบทักษิณเคยกระทำผิดคิดชั่ว ดำเนินการเพื่อขายสมบัติของแผ่นดินที่เกี่ยวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตอย่างไรบ้าง
                1) กฟผ. ครอบครองดูแลทรัพย์สินของแผ่นดินอยู่ เช่น โรงไฟฟ้า เขื่อน สายส่ง ฯลฯ
                ทั้งหมด ล้วนแต่ใช้อำนาจรัฐดำเนินการบังคับเอาจึงได้มา อาทิ การสร้างเขื่อน เวนคืนที่ดินจมน้ำมากมาย กินพื้นที่ป่ามากมาย, สายส่งไฟฟ้าก็เช่นกัน ทั้งหมดล้วนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่อาจยกให้เป็นสมบัติของเอกชนรายใด
                2) ระบอบทักษิณส่งคนของตัวเองเข้าไปเดินเกมขายหุ้น กฟผ. พ่วงขายสมบัติของแผ่นดินทั้งหลาย
                อ้างว่า แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดภาระของรัฐบาล
                พยายามเอาผลประโยชน์เรื่องหุ้นมาเป็นเครื่องล่อใจพนักงานบางส่วน
                3) ระบอบทักษิณออก พ.ร.ฎ.กำหนดอำนาจสิทธิและประโยชน์ของ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ยินยอมให้มีการถ่ายโอนสมบัติของชาติทั้งหลายให้กับบริษัทดังกล่าว ซึ่งจะมีเอกชนเป็นผู้ถือหุ้น
                ซึ่งในกรณีการขายหุ้นปตท. ในยุคทักษิณเช่นกัน ปรากฏว่า หุ้นทั้งหลายได้ไปตกแก่พวกพ้องของระบอบทักษิณทั้งสิ้น ขายหมดในเวลาไม่ถึงอึดใจ คนไทยทั่วไปไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของ
                4) คนของระบอบทักษิณที่เข้าไปดำเนินการในเรื่องแปรรูป กฟผ. คือ นายโอฬาร ไชยประวัติ
                ในครั้งนั้น รัฐบาลทักษิณให้นายโอฬารเข้าไปเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท โดยที่นายโอฬารเป็นกรรมการในบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการเกี่ยวกับการสื่อสารและโทรคมนาคม
                กิจการของ กฟผ. นอกจากจะมีเขื่อนและสายส่งไฟฟ้าแล้ว ยังมีระบบรับส่งข้อมูลประกอบด้วยเส้นใยแก้วนำแสง กิจการชินฯ จึงมีประโยชน์ได้เสียกับกิจการของ กฟผ.
                นายโอฬารยังเป็นกรรมการบริษัท ปตท. ซึ่ง กฟผ.ซื้อก๊าซธรรมชาติจาก ปตท.ด้วย นายโอฬารจึงเป็นกรรมการในนิติบุคคลที่มีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของ กฟผ.
                ด้วยเหตุนี้ นายโอฬารจึงเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท
                ทั้งหมดนี้ ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2549  ซึ่งมีคำสั่งให้การกระทำใดๆ ของคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทนั้น เสียไปทั้งหมด หรือไม่มีผลทางกฎหมาย รวมทั้งพิพากษาเพิกถอน พ.ร.ฎ.กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2548
                สมบัติของแผ่นดินใน กฟผ.จึงรอดเงื้อมมือของระบอบทักษิณไปได้
                แต่ถึงปัจจุบัน นายคนนี้ก็ยังคงทำตัวรับใช้รัฐบาลระบอบทักษิณอยู่ โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งสร้างความเสียหายหลายแสนล้านบาท เกิดการทุจริตโกงกินมากมาย คนที่เคยคุยโวโอ้อวด เที่ยวออกมาโฆษณาชวนเชื่อให้กับโครงการนี้ก็คือ นายโอฬาร ไชยประวัติ นี่เอง

                5) ระบอบทักษิณยังใช้วิธีการถนัด คือ บิดเบือนกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน
                กรณีการขายสมบัติ กฟผ. ก็ผู้ช่วยรัฐมนตรีไปดำเนินการจัดทำประชาพิจารณ์โดยไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
                มีรายละเอียดอยู่ในคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเช่นกัน
                6) หลังศาลปกครองสูงสุดมีพิพากษาดังกล่าว (มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นผู้ยื่นฟ้อง) ปรากฏว่า รัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะทักษิณ ชินวัตร ไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ เลย
                ทั้งๆ ที่ คำพิพากษาดังกล่าวเสมือนหนึ่งใบเสร็จของการพยายามปล้นชิงสมบัติของชาติ
                ทักษิณ ชินวัตร ณ พ.ศ.นั้น อ้างเพียงว่า ส่วนไหนที่ศาลไม่สบายใจ อะไรที่ยังไม่เข้าใจ หรือทั้งไม่เข้าใจและไม่พอใจ ก็ต้องทำให้เกิดความเข้าใจกันก่อน เมื่อเข้าใจแล้วและพอใจก็ทำ และเมื่อเข้าใจแล้วและไม่พอใจก็ไม่ทำ ก็แค่นั้นเอง ถ้าประชาชนไม่สบายใจ ไม่เห็นด้วย ก็ไม่ทำ
                พูดง่ายๆ ว่า ไม่แสดงความรับผิดชอบอะไรเลย
                แถมยังบิดเบือนเฉไฉ เสมือนหนึ่งการกระทำผิดร้ายแรง ถึงขั้นเตรียมการขายสมบัติของชาติโดยผิดกฎหมายของพวกตนนั้น เป็นเพียงเรื่องที่ “ศาลไม่สบายใจ –ไม่เข้าใจ” และ “ประชาชนไม่พอใจ-ไม่เข้าใจ”
                เป็นพฤติกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างไม่รู้จักอาย
                7) แม้ พ.ศ.นี้ พฤติกรรมหลายๆ เรื่องของยิ่งลักษณ์และพวก ก็เหมือน “สืบสันดาน” กันมา
                เรียกว่า เชื้อไม่ทิ้งแถว
                ใช้อำนาจรัฐโดยผิดกฎหมาย-ผิดรัฐธรรมนูญ ไร้ความรับผิดชอบ ไม่รู้จักละอาย
                ขายข้าวในโครงการรับจำนำโดยทุจริต-ขายสมบัติของชาติโดยฉ้อฉล
                แถมตัวละครที่รับใช้ ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในแวดวงคนหน้าเดิมๆ
                สันดานขายสมบัติชาติโดยฉ้อฉลคงฝังลึกอยู่ในดีเอ็นเอของระบอบทักษิณ เกินเยียวยา!

สารส้ม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น