วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โจรแสบงัดเอทีเอ็มฉกเกือบ 6 ล้าน เมื่อ 30 ก.ค.57



โจรแสบงัดเอทีเอ็มฉกเกือบ 6 ล้าน
 
โจรแสบงัดตู้เอทีเอ็มแบ็งก์กรุงเทพฯเมืองตรัง กวาดเงินสดไปเกือบ 5.6 ล้านบาทหลบหนีลอยนวล โปลิศเชื่อเกลือเป็นหนอน

เมื่อวันที่ 30 ก.ค.  ร.ต.อ.โอภาศ  ไชยบุญ  พนักงานสอบสวน สภ.สิเกา จ.ตรัง  รับแจ้งเหตุจากสายตรวจนาเมืองเพชร ว่า  เกิดเหตุคนร้ายงัดตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพฯ  ซึ่งติดตั้งไว้ที่หน้าโรงงานศรีตรังแอโกรอินดัสตรี  หมู่ 2  ต.นาเมืองเพชร อ.สิเกา   ไปตรวจสอบ

พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.สิเกา ที่เกิดเหตุพบผู้เสียหายยืนคอยให้การ อยู่บริเวณข้างตู้เอทีเอ็ม  ทราบชื่อคือ  นางสาวสุจินต์  ยุทธวรวิทย์  อายุ 53 ปี  ผู้จัดการ ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง  จากการตรวจสอบพบร่องรอยคนร้ายใช้อาวุธของแข็งงัดบานประตูตู้เอทีเอ็ม  และใช้กุญแจไขเปิดตู้เซฟที่เก็บเงินของตู้เอทีเอ็ม  รวมทั้งยังมีการตัดระบบสัญญาณเตือนของตู้เอทีเอ็มอีกด้วย  ซึ่งจากการตรวจเช็คเงินสดที่นำมาเก็บไว้ในตู้เอทีเอ็ม จำนวน 5.6 ล้านบาท  ได้สูญหายไป

จากการสอบถาม  นางสาวสุจินต์  ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุได้ให้พนักงานนำเงินไปเติมให้เต็มตู้เอทีเอ็ม  เนื่องจากเป็นช่วงสิ้นเดือน   โดยหลังที่ตนได้รับแจ้งว่า  ตู้เอทีเอ็มถูกงัด  ก็รีบเดินทางมาตรวจสอบโดยเร็ว  เนื่องจากเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  และหลังจากนี้ทางธนาคารก็จะเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังเพิ่มมากขึ้น  เพื่อเป็นการป้องกันเหตุร้ายในลักษณะเช่นนี้อีก

ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ  สันนิษฐานว่า  คนร้ายที่ลงมือก่อเหตุมีการเตรียมการมาอย่างและรู้ความเคลื่อนไหวภายในธนาคาร  เพราะก่อนที่คนร้ายจะลงมือ  ก็ได้มีการตัดระบบสัญญาณเตือนภัยเป็นอันดับแรก  หลังจากนั้นจึงมีการงัดตู้เอทีเอ็ม  พร้อมกับใช้กุญแจตู้เซฟที่เตรียมมาไขเปิดระบบป้องกัน  

ซึ่งผู้ที่ลงมือต้องมีความรู้เกี่ยวกับระบบธนาคารเป็นอย่างดีเบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีคนในเกี่ยวข้อง  เพราะการจะเปิดตู้เซฟต้องมีรหัสผ่าน  โดยตู้เอทีเอ็มระบบใหม่จะมีการป้องกันหลายชั้น  ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการป้อนรหัสผิด  การใช้กุญแจผี  และสัญญาณเตือนภัย  อย่างไรก็ตามทางธนาคารก็ได้มีการซุกซ่อนกล้องวงจรปิดไว้จำนวนหลายตัวในตู้เอทีเอ็ม  เพื่อจับภาพและลักษณะท่าทางของคนร้ายเพื่อที่จะนำไปใช้ประกอบคดีในการติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น