วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

เอาผิดพิธีกรรม "พุทธิศักดิ์คลินิก"เมื่อ 27 มี.ค.57



เอาผิดพิธีกรรม "พุทธิศักดิ์คลินิก"
 
ร้องกองปราบเอาผิดพระทำพิธีกรรมนะหน้าทอง สไตล์ "พุทธิศักดิ์คลินิก" ไม่เหมาะสม
เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 26 มีนาคม ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับบุคคลที่แต่งกายคล้ายพระสงฆ์ หรือพระสงฆ์ซึ่งมีประพฤติไม่เหมาะสม รับประกอบพิธีกรรมปิดแผ่นทองคำบนใบหน้า (มาร์กหน้า) ให้กับแม่ชีและหญิงสาว เพื่อเป็นการเสริมเสน่ห์เหตุเกิดที่วัดชัยอุดมมงคลธรรม หรือวัดหลวงพ่อเณร ต.หนองย่างทอย อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน , ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และความผิดข้อหาอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยนำสำเนาภาพถ่าย 6 ภาพ และเอกสารที่เกี่ยวข้องมอบไว้เป็นหลักฐาน               
นาย สงกานต์ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นนั้นตนได้รับข้อมูลจากเครือข่าย “ชมรมคนรักพระพุทธ ศาสนา”
โดยมีผู้ส่งภาพที่มีชื่อว่า “พุทธิศักดิ์คลินิก” แสดงถึงพฤติกรรม ต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์ ซึ่งทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบเรื่องนี้แล้วตามที่มีการนำเสนอข่าว ผ่านสื่อมวลชนหลายแขนง นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเรียกรับเงินเพื่อประกอบพิธีกรรมดังกล่าวรายละ 30,000-40,000 บาท มีการโฆษณาลงในนิตยสารด้านไสยศาสตร์อย่างโจ๋งครึ้ม ซึ่งเข้าข่ายความผิดอาญา ส่วนทางสงฆ์ถือเป็นการอวดคุณวิเศษ หรืออวดอุตริมนุสธรรม ต้องปาราชิก               
นายสงกานต์ กล่าวต่อว่า การโฆษณาที่เข้าข่ายลักษณะนี้ยังมีข้อมูลปรากฎทางเว็บไซต์ที่เครือข่ายฯ ตรวจสอบพบมาตั้งแต่ปี 2555 ที่ผ่านมา
เช่น กรณีที่ตำรวจ บก.ป.ได้เข้าจับกุมหมอการเวก รับทำเสน่ห์ “เทพหน้าทอง เสน่ห์มอญแปลงรูป” และพบการหลอกลวงที่คล้ายคลึงกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อตนได้ภาพและเบาะแสต่างๆ ก็มีการตรวจสอบในเบื้องต้น อย่างไรก็ดี สำหรับกรณีของวัดดังกล่าวนั้น มีความชัดเจนในระดับหนึ่ง แม้ทางวัดจะอ้างว่าพระที่รับทำพิธีกรรมเป็นชาวมาเลเซีย และสึกไปแล้ว ก็ต้องมีชื่อ รวมทั้งพระและบุคคลที่ปรากฎในภาพ ก็ต้องตรวจสอบได้ว่าเป็นใคร เพราะมีความชัดเจนไม่ได้มีการตัดต่อภาพแต่อย่างใด กรณีนี้เจ้าอาวาสวัดจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้               
นาย สงกานต์ กล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากกรณีที่เกิดขึ้นกับวัดแห่งนี้แล้ว
ตนยังพบอีก 2 กรณีที่ปรากฎภาพหญิงสาวชาวต่างชาติเปลือยกายถ่ายรูปคู่กับพระพุทธรูป เป็นการดูหมิ่นพระพุทธศาสนา โดยมีข้อมูลเบื้องต้นว่าเป็นแกลอรี่ย่านถนนสีลม กทม.และภาพพระสงฆ์สวมแหวนที่มือซ้ายของหญิงสาวด้วยใบหน้าระรื่น เป็นการกระทำที่ขัดต่อพระธรรมวินัย ที่มีข้อมูลว่าเป็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.สุรินทร์ ทั้งสองกรณีนี้ตนก็ประสงค์ที่จะให้ตำรวจ บก.ป.ได้ตรวจสอบและพิจารณาดำเนินการเช่นเดียวกัน ส่วนสาเหตุที่เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษในครั้งนี้ เป็นเพราะเชื่อมั่นการทำงานของตำรวจ บก.ป.ที่เคยทำคดีนายวิรพล สุขผล หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ               
ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า ได้รับเรื่องไว้สอบสวนโดยในส่วนของกรณีมาร์กหน้าทองคำ ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป.รับไว้ดำเนินการ 
ส่วนอีก 2 กรณีที่มีการร้องทุกข์ไว้ด้วยนั้น ก็จะมอบหมายให้ทาง กก.1 และ กก.3 บก.ป.เจ้าของพื้นที่รับผิดชอบรับเรื่องและสอบสวนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ คงจะมีการพิจารณาเรียกสอบพยานจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะพิจารณาว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายความผิดฐานใดหรือไม่ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานในการดำเนินคดี               
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษครั้งนี้ 
นายสงกานต์ ได้พาหญิงสาวที่มีรูปร่างและลักษณะใบหน้าที่ใกล้เคียงกับภาพผู้หญิงที่ปราก ฎเข้ารับการมาร์กหน้าทองคำ โดยนำเอาน้ำมันจัน ที่หาซื้อได้ตามท้องตลาด ใช้ทาบริเวณใบหน้าก่อนจะนำทองคำเปลวมาแปะไว้ ซึ่งระหว่างการสาธิต นายสงกานต์ ระบุด้วยว่าการทำมาร์คหน้าทองคำ นั้น ไม่ใช่เรื่องยาก และใครก็ทำได้ กรณีที่เกิดขึ้นจึงเข้าข่ายเป็นการหลอกลวงอย่างชัดเจน
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น