วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วังวน"วิกฤติประเทศ" ต้องจี้สำนึกรัฐบาลชิน อเมื่อ 9 พ.ย.56

วังวน"วิกฤติประเทศ" ต้องจี้สำนึกรัฐบาลชิน


ยังคงโยนกันไปมาระหว่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มีตระกูลหลักครอบงำการบริหาร และกำหนดทิศทางเกมการเมืองในประเทศ กับฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังเป็นแกนนำตั้งเวทีที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง ว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะอีกฝ่ายอยากได้อำนาจและผลประโยชน์จากการเข้ามาบริหารประเทศ จนสร้างตรรกะข้าชั่วเอ็งเลว ปัดต้นเหตุแห่งการสร้างวิกฤติว่าเป็นน้ำมืออีกฝ่ายหนึ่งสลับกันไปมา โดยมีมวลชนที่สนับสนุนฝ่ายตนเป็นพลังหนุนหลังในการเคลื่อนไหว
    เมื่อรัฐบาลเพลี่ยงพล้ำในการเดินเกมดันพระราชบัญญัติเหมาเข่งเข้าสู่สภาฯ เจตนาลักไก่ผ่านร่างแบบดูถูกและไม่ไว้หน้าคนไทย มุ่งหวังว่าซูเปอร์ดีลและการเคลียร์คัตกลุ่มอำนาจได้แล้ว แต่ปรากฏว่าการเคลื่อนไหวต่อต้านเร็วแรงไปทั่วประเทศเหมือนไฟลามทุ่ง ไม่ได้มีแค่เวทีของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่เป็นพลังเดี่ยวในการต่อต้าน ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจถอยในเกมดังกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก เพราะแนวร่วมคนเสื้อแดงสายที่ไม่เอากฎหมายฉบับยกเข่ง แสดงออกว่าไม่เอาด้วย
    นอกจากนั้นยังตัดสินใจกดปุ่มถอนร่างกฎหมายออกจากสภาฯ ทั้ง 6 ฉบับ ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ (ฉบับนายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.เพื่อไทย) ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ (ฉบับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ) ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ (ฉบับนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เพื่อไทย) ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ (ฉบับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.เพื่อไทย) ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ (ฉบับนายนิยม วรปัญญา ส.ส.เพื่อไทย) ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม (ฉบับนายนิยม วรปัญญา ส.ส.เพื่อไทย) พร้อมให้วุฒิสมาชิกคว่ำร่าง แต่ปรากฏว่าเกมของรัฐบาลชินไม่สามารถเดินได้ง่ายเหมือนเช่นเมื่อก่อน เพราะทุกกลไกฝ่ายต่อต้านเริ่มขยับ และขัดขืนในการกำหนดเกมของคนแค่ตระกูลเดียว
    แม้พรรคเพื่อไทยจะสั่งกดปุ่มเรียกระดมพล ให้เสื้อแดงทุกกลุ่มที่กลับมาจูบปากรัฐบาลอีกครั้ง ออกมาแสดงพลังที่สนามศุภชลาศัยในวันอาทิตย์นี้ เพื่อให้เห็นว่าเสื้อแดงยังหนุนรัฐบาล พร้อมโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ว่ามีเจตนาบิดเบือนเพื่อดึงไปสู่เกมล้มรัฐบาลในที่สุด แต่ก็ดูเหมือนว่าเป็นเพียงการผนึกเพื่อสู้ศัตรูคนเดียวกัน หาใช่ว่ารอยร้าวระหว่างพรรคกับเสื้อแดงจะสมานกันได้สนิท  ที่สำคัญคือความไว้วางใจต่อรัฐบาลภายใต้การกำหนดเกมของคนในตระกูล โดยชักนำเอาซูเปอร์ดีลเพื่อเป็นธงนำการต่อสู้ เป็นสิ่งที่คนเสื้อแดงก็ยังไม่วางใจ
     ทำนองเดียวกัน ปฏิกิริยาของรัฐบาล โดยเฉพาะนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่พร้อมจะถอยโดยไม่ฝืนความรู้สึกของประชาชน ลึกๆ ก็เชื่อว่าถ้าไม่ถอย ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจะไปไกลเกินกว่าแก้ไข ซึ่งแน่นอนว่าการประเมินน่าจะไปถึงจุดนั้น การเลือกวิธีการชนหรือไม้แข็งเพื่อจัดการกับม็อบ ไม่น่าจะใช่ทางเลือกที่รัฐบาลกำลังรอบริหารงบประมาณและเงินกู้ ประตูในการนำไปสู่การแก้ไขปัญหาจึงมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การยุบสภาฯ ค่อนข้างสูง
    ยังไม่นับจังหวะเวลาร้อนของสถานการณ์ที่รออยู่ข้างหน้า ในวันจันทร์ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ที่จะพิจารณาคดีพิพาทกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีการนำไปปลุกระดมโค่นล้มรัฐบาลได้ ขณะนี้ไม่มีการคาดเดาว่าผลจะออกมาอย่างไร แม้จะมีการเก็งข้อสอบไว้ 4 ข้อ และเตรียมแนวทาง ข้อมูลในการชี้แจง ทั้งในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ และคณะดำเนินคดีก็ตาม 
    กระนั้นสถานการณ์ของรัฐบาลที่ประเมินกระแสสังคมและมวลชนในมือของตนเองต่ำเกินไป เพราะเชื่อในการบริหารงานแบบบริษัท ซึ่งผู้บริหารกำหนดทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว เมื่อเกมที่กำหนดผิดพลาดจึงคิดว่าไม่ต้องรับผิดชอบ และใช้วิธีทดแทนความเสียหายให้กับลูกจ้างของบริษัท ซึ่งเราเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่คนในสังคมและประชาชนในประเทศต้องดำเนินการให้บทเรียนกับรัฐบาลที่ไม่ได้สำนึกถึงความรับผิดชอบ มองประเทศเป็นบริษัทที่เดินไปตามการตัดสินใจของคนคนเดียว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น