วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เอาจริง!!! ภาพชัดๆ กลุ่มพลังมวลชนอ่างทองรวมพลังโค่น "เข่งเน่า" ลุยขึ้นป้ายทั่วเมืองวันนี้ (5 พ.ย.56)



เอาจริง!!! ภาพชัดๆ กลุ่มพลังมวลชนอ่างทองรวมพลังโค่น "เข่งเน่า" ลุยขึ้นป้ายทั่วเมือง
กลุ่มพลังมวลชนอ่างทอง รวมตัวกันนำป้ายแสดงพลังต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ออกติดตามจุดสำคัญภายในเขตเทศบาลเมืองอ่างทองกว่า 100 ป้าย
วันนี้ (5 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ว่า กลุ่มพลังมวลชนในจังหวัดอ่างทอง รวมตัวกันนำป้าย ต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ออกติดตามจุดสำคัญภายในเขตเทศบาลเมืองอ่างทองกว่า 100 ป้าย เพื่อแสดงจุดยืนพร้อมคัดค้านต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งมองว่าเป็นจุดที่สร้างความขัดแย้งแตกแยกในสังคมที่เหมาเข่งสุดซอย และถ้าทางรัฐบาลยังคงเดินหน้ามีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็จะพร้อมเข้าร่วมชุมนุมคัดค้าน เนื่องจากมีความคิดเห็นว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ดังกล่าวนั้นมีเจตนา สนับสนุนให้คนที่มีการทุจริตคอร์รัปชั่นและมุ่งหมายที่จะลบล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีทุจริตต่างๆ และให้คดีที่ยังค้างคาเป็นอันยุติไป        
ทั้งนี้ กลุ่มพลังมวลชนในจังหวัดอ่างทองที่ร่วมคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเผยว่า จะ พ.ร.บ.ชุดนี้จะทำให้ผู้กระทำความผิดในคดีทุจริตจะพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบที่กระทำให้บ้านเมืองเสียหาย เป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ถูกต้อง สร้างความไม่ชอบธรรมให้เกิดขึ้นในประเทศไทย และจะก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในสังคมอย่างรุนแรง โดยประชาชนชาวจังหวัดอ่างทอง ที่ออกเรียกร้องต่อต้าน พ.ร.บ.ต้านนิรโทษกรรม ในวันนี้ ถ้ารัฐบาลไม่หยุดทางกลุ่มมวลชนในจังหวัดอ่างทองที่คัดค้านพร้อมที่จะเดินทางเข้าร่วมกันคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรม ในกรุงเทพฯต่อไป





นายกรัฐมนตรี แถลงชัดเจนเดินหน้าดันพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยเต็มสูบ ชี้ให้ทุกฝ่ายยอมรับมติวุฒิสภาไม่ว่าจะออกไปในทางใด
กราบเรียนพี่น้องประชาชนที่เคารพรัก  ดิฉันขอใช้เวลากับพี่น้องประชาชนเพียงเล็กน้อย  ขออนุญาตเรียนว่า จากความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว  ก็จะเห็นได้ว่า  ความขัดแย้งที่ผ่านมาได้สร้างความบอบช้ำให้กับประเทศเป็นอย่างมาก  เมื่อดิฉันได้รับการเลือกตั้งเข้ามา  ดิฉันเชื่อว่า  คนไทยทุกคนมีความเห็นที่ตรงกันว่า  หากความขัดแย้งดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป  ก็จะเป็นการบั่นทอนความเจริญก้าวหน้าของประเทศ และทำให้ประเทศเดินต่อไปไม่ได้  ดังนั้นนับตั้งแต่วันที่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศ  ดิฉันก็ได้ประกาศใช้นโยบายอย่างชัดแจ้งว่า  เราจะร่วมสร้างความปรองดองของคนในชาติ  โดยยึดหลักนิติธรรมและต้องการเห็นกลไกของอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย  ได้แก่  อำนาจนิติบัญญัติ  บริหาร  ตุลาการให้เป็นไปอย่างสมดุล  ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน  ซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐบาลนั้นก็ต้องการเห็นความปรองดอง  ความสมานฉันท์ของคนในชาติอย่างไม่ลดละ 
จนในที่สุดเมื่อเร็วๆ นี้ดิฉันก็ได้เสนอการสร้างเวทีปฏิรูปทางการเมืองร่วมกับทุกฝ่าย  ที่มีทั้งความคิดเห็นที่แตกต่าง  และความคิดเห็นที่มาจากหลากหลายในหลายกลไก  จะได้ร่วมสร้างความปรองดอง  และความสมานฉันท์เป็นอย่างมาก  แต่ขณะเดียวกันภายใต้ของอำนาจอธิปไตย  ในระบอบประชาธิปไตยนั้น  ก็จะทำให้เห็นได้ในหลายๆ ฝ่ายว่า  เมื่อฝ่ายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ( ส.ส. )  ได้เสนอร่างกฎหมายต่างๆ นั้น  รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นในซีกของรัฐบาล  ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวดิฉันในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี  ก็ไม่ได้ก้าวก่ายในฝ่ายของนิติบัญญัติเลย  จนกระทั่งดิฉันเองกลับถูกกล่าวหาว่า  ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นหน้าที่ของส.ส. ด้วย  ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว  ดิฉันต้องการให้ฝ่ายนิติบัญญัติได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ 
สำหรับการที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีการผ่านร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรม  ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดการถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบันนั้น  โดยข้อเท็จจริงแล้วในหลายๆ ประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมือง  ถึงขั้นรุนแรง  ถึงการเสียชีวิต  การเสียทรัพย์สิน  ก็มีการนิรโทษกรรมมาก่อน  และเป็นบทเรียนที่ประเทศไทยต้องศึกษา  และลักษณะของนิรโทษกรรมนั้นก็เป็นทางออกหนึ่งที่ควรจะพิจารณา  เพราะหากทุกฝ่ายเรียนรู้ที่จะให้อภัยซึ่งกันและกันแล้ว  ดิฉันเชื่อว่า  ความขัดแย้งย่อมลดลง  และประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้  แต่ที่น่าเสียใจอย่างยิ่งว่า  จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา  ก็ได้มีพี่น้องประชาชนจำนวนหนึ่งนับร้อย  ที่ต้องสูญเสียชีวิตและอีกหลายพันคน  ที่ได้รับการบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรง  ที่มาจากความขัดแย้ง  ที่มาจากต้นตอของการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย  ดังนั้นการนิรโทษกรรมไม่ได้หมายความว่า  จะให้เราลืมบทเรียนอันเจ็บปวด  เราทุกคนต้องเรียนรู้  เราทุกคนต้องเข้าใจ  เพื่อไม่ให้ลูกหลานของเรานั้นเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก
และในขณะเดียวกัน  เราก็ต้องร่วมมือกัน  ทำให้ประเทศของเรานั้นต้องเดินหน้าได้  เราจะมาติดล่มจนประเทศชาติต้องอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้งต่อไปไม่ได้  และหากจะให้บ้านเมืองสงบ  การให้อภัยนั้นก็ต้องปราศจากอคติ  ไม่ใช้อารมณ์  และเปิดใจกว้างให้ทุกฝ่ายของความขัดแย้ง  ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่  ซึ่งดิฉันเข้าใจว่าหลายๆ อย่างเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก  แต่เราต้องคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน  มาจนถึงวันนี้เราก็พบว่า  ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ผ่านการพิจารณาของส.ส. เสร็จแล้วนั้น  ได้มีการนำเสนอสู่วุฒิสภา  ซึ่งถือว่าเป็นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และกลไกตามปกติของบทบัญญัติของรับธรรมนูญ  และมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างหนัก  จนทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติหล่ายกลุ่ม  หลายสถาบัน  หรือแม้กระทั่งพรรคการเมืองด้วยกัน  ตลอดจนพี่น้องประชาชนในหลายๆ พื้นที่ 
อย่างไรก็ตาม  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผ่านพ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว  ยังเห็นได้ว่า  ยังมีคนไทยหลายกลุ่มที่มีความเห็นแตกต่างกัน  และยังไม่พร้อมที่จะให้อภัย  ทั้งยังมีท่าทีที่จะเป็นบ่อเกิดแห่งความขัดแย้งนำไปสู่ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง  ดิฉันไม่อยากเห็นการนำพ.ร.บ.นิรโทษกรรมนี้  ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองทำให้เกิดข้อถกเถียง  หรือมีการให้ข้อมูลที่สับสน  และถูกบิดเบือนโดยมีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐบาล  และระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง  การบิดเบือนนั้นทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่า  กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายการเงิน  ถ้าหากว่าเป็นกฎหมายที่เกี่ยงข้องกับการเงิน  ดิฉันในฐานะที่เป็นนายกฯ  ต้องลงนาม  ซึ่งดิฉันไม่เคยลงนามใดๆ เลย  ที่สำคัญมีความพยายามที่จะบิดเบือนว่า  กฎหมายจะปรับเปลี่ยนการทุจริตคอรัปชั่นซึ่งก็เป็นคนละประเด็นกับพ.ร.บ.นิรโทษกรรม  ซึ่งพ.ร.บ.นี้ยกโทษให้กับผู้ที่ได้รับผลพวงจากทางการเมือง การรัฐประหารที่ไม่อยู่ในหลักของนิติธรรม  รวมทั้งผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำต่อชีวิต  ดิฉันขอยืนยันว่า  รัฐบาลนี้จะทำเพื่อประเทศชาติ  เพราะรัฐบาลของดิฉันเป็นรัฐบาลของประชาชน  ย่อมต้องฟังเสียงคัดค้าน 
เป้าหมายของรัฐบาลชุดนี้  ก็คือการสร้างความปรองดอง  และทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้  ภายใต้วิถีทางประชาธิปไตย  ที่ประชาชนมีส่วนร่วม  และมีเหตุและผลไม่ใช้อารมณ์  ภายใต้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นที่ปะทุอยู่นี้  รัฐบาลเห็นว่า  ทุกฝ่ายน่าที่จะหยุดคิด  หยุดกระทำที่จะสร้างความแตกแยก  ทั้งนี้ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ  หากถือว่าขั้นตอนของกระบวนการกฎหมาย  ก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาของวุฒิสภา  ดิฉันจึใคร่ขอเสนอว่า  ให้วุฒิสภาโดยวุฒิสมาชิก  ซึ่งเป็นตัวแทนที่มาจากการแต่งตั้ง  และตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง  ทั้งเป็นกลุ่มที่เห็นด้วย  และไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล  ได้กรุณาใช้ดุลยพินิจอย่างเต็มที่  ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า  วุฒิสมาชิกนั้นไม่มีใครก้าวก่ายได้  ได้โปรดใช้ดุลยพินิจพิจารณา  โดยอาศัยพื้นฐานของความปรองดอง  ความเมตตาธรรมกับผู้ที่เดือดร้อน  และผู้ที่เจ็บปวดมาเป็นเวลานาน  ให้ได้รับความยุติธรรมอย่างเสมอภาค  ซึ่งการพิจารณาพ.ร.บ.นี้  ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก  และไม่ว่าวุฒิสภาจะติดสินอย่างไรจะไม่เห็นด้วย  จะไม่ยับยั้งกฎหมาย  หรือจะมีการแก้ไขกฎหมายก็ตาม  ดิฉันเชื่อว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ลงคะแนนผ่านพ.ร.บ.ฉบับนั้นไปแล้ว  จะยอมรับการตัดสินใจด้วยเหตุด้วยผล  เพื่อความปรองดองของคนในชาติ  ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามครรลองทั้งหมดในระบบประชาธิปไตยในรัฐสภา  อันเป็นเป้าหมายหลักที่เราต้องช่วยกันรักษาไว้  เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนคนไทยทุกคน 
สุดท้ายนี้  ดิฉันขอขอบคุณทุกฝ่าย  ที่ได้ทำงานอย่างหนักในฝ่ายนิติบัญญัติ  เพื่อสนับสนุนแนวทางปรองดอง  ซึ่งถือว่าทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่  อย่างเต็มกำลังสุดความสามารถแล้ว  เพื่อประเทศชาติ  และขอใช้เวลาต่อจากนี้ไปเป็นเวลาของคนไทยทุกคน  ที่จะต้องร่วมกันคิด  ร่วมกันตัดสินใจแนวทางด้วยความเป็นธรรม  ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน  ไม่มีอคติ  ไม่มีอารมณ์  ด้วยใจที่เปิดรับและเห็นอกเห็นใจกัน  อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการปรองดอง  ที่ประชาชนคนไทยต้องการ ขอบคุณค่ะ   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น