วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

"ปาริชาติ" ขวัญเสีย !!! รุดแจ้งความลงบันทึกประจำวัน หลังถูกแดงข่มขู่เอาชีวิตวันนี้ ( 19 พ.ย.56) เมื่อเวลา 17.30 น.



"ปาริชาติ" ขวัญเสีย !!! รุดแจ้งความลงบันทึกประจำวัน หลังถูกแดงข่มขู่เอาชีวิต


"ปาริชาติ" ลงบันทึกประจำวัน เพื่อเป็นหลักฐานที่กองปราบว่ามีกลุ่มคนเสื้อแดงโพสต์เฟชบุ๊ค ข่มขู่เอาชีวิต หลังจากขึ้นเวทีราชดำเนิน เผยธาตุแท้กลุ่มคนเผาศาลากลาง
    วันนี้ ( 19 พ.ย.56) เมื่อเวลา 17.30 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นางปาริชาติ บุญสร้อย หรือ ภูนกยูง อายุ 40 ปี ชาวกาฬสินธุ์ อดีตคนเสื้อแดง จำเลยในคดีเผาศาลากลางจังหวัดขอนแก่นและธนาคารกรุงเทพฯ สาขาขอนแก่น เมื่อปี 2553 พร้อมด้วยการ์ดกลุ่มเวทีราชดำเนิน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ เกิดเอี่ยม พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป. เพื่อแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ภายหลังถูกกลุ่มคนเสื้อแดงโพสต์ข้อความข่มขู่ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของตนเอง โดยเชื่อว่าสาเหตุเป็นเพราะขึ้นเวทีปราศรัย ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ซึ่งได้กล่าวโจมตีแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

          นางปาริชาติ กล่าวว่า หลังจากตนตัดสินใจขึ้นเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อบอกกล่าวกับพี่น้องคนเสื้อแดง ว่าถูกแกนนำหลอกใช้โดยมีการว่าจ้างให้ไปเผาธนาคารดังกล่าว ทำให้ตนต้องตกเป็นจำเลย ทั้งคดีเผาธนาคารรวมทั้งเผาศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ซึ่งคดีนี้ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุก 1 ปี ขณะนี้ตนได้ต่อสู้ในชั้นฎีกา และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาตลอด 3 ปี ภายหลังเกิดเหตุและถูกดำเนินคดีนั้น ตนไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากแกนนำ นปช.แต่อย่างใด

          นางปาริชาติ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่สามีตนคือ นายพูนทรัพย์ บุญสร้อย ได้ขึ้นเวทีภาคเครือข่ายพลังประชาชน ที่อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ เขตบางเขน กล่าวหาว่าตนสติไม่สมประกอบนั้น ไม่เป็นความจริง ตนกับสามีมาพบกันเมื่อครั้งที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แยกราชประสงค์ ปี 2553 จากนั้นก็ตกลงปลงใจแต่งงานอยู่กินกัน แต่ภายหลังเมื่อต้องโทษในคดีแล้ว ตนรู้สึกน้อยใจที่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากแกนนำ นปช.ที่เคยรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ นอกจากนี้แกนนำบางคนต่างได้ดิบได้ดีเป็นมีตำแหน่งใหญโตในรัฐบาลชุดนี้ เมื่อตนกล่าวตัดพ้อกับสามีที่เคยเป็นการ์ด นปช.ก็ทำให้เกิดระหองระแหงกัน

          นางปาริชาติ กล่าวอีกว่า เมื่อต่อสู้คดีแล้วได้รับการประกันตัวออกมา ก็ไม่สามารถหางานทำได้ เพราะมีประวัติติดตัว ไม่มีบริษัทห้างร้านรับเข้าทำงาน ต่อมาก็เริ่มทะเลาะกับสามี ก่อนแยกกันอยู่ได้ประมาณ 3 เดือน ตนยืนยันได้ว่าที่พูดมาทั้งหมดเป็นความจริง เพราะตนต้องแบกรับความอัดอั้นในเรื่องนี้มากว่า 3 ปีแล้ว ตนเคยไปสอบถามเพื่อนบ้านที่ไปร่วมชุมนุม และต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีวางเพลิงทำลายทรัพย์สิน 24 คน ต่างก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือ มีเพียงช่วงแรกที่ถูกดำเนินคดี มีการจ่ายเงินให้คนละ 30,000 บาท ขณะที่คนเสื้อแดงในอีกหลายจังหวัดภาคอีสาน เช่น ที่ จ.อุดรธานี กลับได้เงินคนละ 1.5-1.7 ล้านบาท
น.ส.ปาริชาติ กล่าวว่า เหตุที่ตนต้องออกมาเพราะเริ่มรู้สึกไม่ได้รับความปลอดภัยในชีวิตภาย หลังออกมาแฉเรื่องนี้ โดยข้อความข่มขู่แสดงความอาฆาตตนอย่างมาก เช่น “มึงหักหลังพวกกู อย่าให้เจอที่ไหนนะกูจะฆ่าให้ตาย” และอีกหลายข้อความที่ตนเห็นจากโทรศัพท์มือถือเมื่อลงจากเวทีปราศรัย

          “หลังจากที่ฉันขึ้นปราศรัยที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแล้ว วันรุ่งขึ้นก็ทราบว่าบ้านญาติที่ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ มีตำรวจมากันเต็มคันรถตู้ เข้ามาสอบถามหาข้อมูลของฉัน แต่พี่สาวก็โทรศัพท์มาบอกว่า ตำรวจเข้ามาในลักษณะไม่เหมือนจะเข้ามาหาข้อมูล เหมือนไม่ได้มาแบบมีเจตนาดี ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ เกรงว่าญาติพี่น้องและคนรอบข้างจะเดือดร้อนไปด้วย” นางปาริชาติ กล่าว

          อดีตผู้ร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า อยากฝากไปยังคนเสื้อแดง ว่าอย่าไปร่วมกับแกนนำในการชุมนุมอีกเลย เพราะหากเป็นอะไรขึ้นมา ก็คงไม่คุ้มกับชีวิตเราที่ต้องเอาไปเสี่ยง และไม่มีใครมาดูแล ก่อนหน้านี้ตนเคยไปร้องเรียนคณะกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และอีกหลายหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรม แต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ สำหรับกรณีการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นั้น ใจจริงตนก็อยากได้เพราะจะได้ไม่ต้องรับโทษ แต่เมื่อมีการเสนอร่างแบบเหมาเข่ง เช่นนี้ตนก็รับไม่ได้ และถึงวันนี้ก็ต้องทำใจว่าคงจะต้องติดคุก

          ด้าน พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ กล่าวว่า ได้รับเรื่องและให้สิบเวรลงบันทึกประจำวันไว้ อย่างไรก็ดี ทางผู้ร้องไม่ได้มีความประสงค์จะขอกำลังตำรวจคุ้มครอง จึงไม่ได้ดำเนินการในส่วนนี้แต่อย่างใด
ภาพจากเพจ  "Love Thai Land"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น