|
|
รายงานการเมือง
“ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ฉบับทะลุซอย ล้วงไส้ล้วงพุงรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ได้อย่างล่อนจ้อน และยังตอกย้ำข้อครหาว่า ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคมปี 2553 เป็นเพียงตัวประกันของ “นายใหญ่-ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นอิสรภาพปราศจากพันธนาการนั้นเป็นเรื่องจริง
หลังจาก “หัวเขียง-ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” อดีต ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการขันอาสาเป็น “ตัวชง” ให้ล้างผิดทุกคดีความย้อนหลังกันให้หมดในชั้นพิจารณาของกรรมาธิการ โดยเฉพาะคดีความที่มาจากการสืบสวนสอบสวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่มาตามคำสั่งของคณะรัฐประหาร
เปลือยกายไม่เหลือซาก ไขคำตอบหลอกแดงเพื่อ “นายใหญ่” ได้เป็นอย่างดี
โดยหากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับทะลุซอย ที่ฟอกดำให้เป็นขาวแบบเหมาเข่งนี้ผ่านสภาและสามารถประกาศใช้ไปได้ จะกลายเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลกที่นิรโทษกรรมให้กับนักโทษในคดีคอรัปชั่น ที่ไม่ใช่คดีในความผิดทางการเมือง
จะเป็นการปล่อย “ผีห่าซาตาน” ในคดีคอร์รัปชันที่โกงกินบ้านเมืองได้ลอยนวลออกมาหลายชีวิตมากเป็นประวัติการณ์ และยังจะเป็นกฎหมายที่ทำลายบรรทัดฐาน “ความดี-ความชั่ว” ให้ถูกกำหนดโดยคนมีเงินและมีอำนาจเท่านั้น
มานั่งไล่เรียงรื้อแฟ้มคดีที่ คตส.สืบสวนสอบกันมา มีนักการเมืองที่พัวพันอยู่หลายชีวิต ที่สำคัญเป็นนักการเมืองในเครือข่าย “ระบอบทักษิณ” ล้วนๆ ทั้งสิ้นมากกว่าสิบคดี
โดยคดีที่ถึงที่สุดไปแล้วก็มี คดีทุจริตประมูลซื้อ “ที่ดินย่านรัชดาภิเษก” ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก “ทักษิณ” ไปแล้ว 2 ปี ในความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 (1) วรรค 3 และมาตรา 122 วรรค 1
- คดีเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้น “ชินคอร์ป” บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่า 738 ล้าน ศาลอาญาพิพากษาจำคุก “บรรณพจน์ ดามาพงศ์” เป็นเวลา 1 ปี โดยให้รอลงอาญา
- คดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้ “ยกฟ้อง”
- คดี “หวยบนดิน” ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้จำคุก “วราเทพ รัตนากร” อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง 2 ปี “สมใจนึก เองตระกูล” อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และ “ชัยวัฒน์ พสกภักดี” อดีตผู้อำนวยการกองสลากกินแบ่งรัฐบาล 2 ปี โดยให้รอลงอาญาไว้ก่อน ส่วนตัวการอย่าง “นายใหญ่” เบี้ยวไม่โผล่มาฟังคำพิพากษา จึงออกหมายจับ
- คดีร่ำรวยผิดปกติ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งยึดเงิน จำนวน 46,373 ล้านบาท ของ “ทักษิณ” ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
- คดีจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด “ซีทีเอ็กซ์ 9000” และระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าในสนามบินสุวรรณภูมิ ป.ป.ช. มีมติสั่งไม่ฟ้อง “ทักษิณ” และ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
และสดๆ ร้อนๆ คดีทุจริตจัดซื้อ “รถ-เรือดับเพลิง” และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยของ กทม. มูลค่า 6,800 ล้านบาท ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก “ประชา มาลีนนท์” อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 12 ปี และ “พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ” อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.10 ปี
ขณะที่คดีที่ยังอยู่ในชั้นศาล ประกอบด้วย คดีที่ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้เอาผิดต่อ “ทักษิณ” ในข้อหาจงใจแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ สืบเนื่องจากคดีร่ำรวยผิดปกติ โดยขณะนี้มีการออกหมายจับแล้ว
- คดีทุจริตปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ให้กับรัฐบาลพม่า มูลค่า 4,000 ล้านบาท โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีการออกหมายจับ “ทักษิณ” แล้วเช่นกัน
- คดีทุจริตออกพระราชกำหนดแปลงค่าภาษีสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจบริษัทชินคอร์ป ศาลฎีกาได้ออกหมายจับ “ทักษิณ” ไว้อีกกระทง
นอกจากนี้ ยังมีคดีที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช. และอยู่ในชั้นอัยการสูงสุดอีกจำนวนไม่น้อย อาทิ คดีทุจริตจัดซื้อจัดจ้างโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่ “เสี่ยไก่-วัฒนา เมืองสุข” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา
- คดีทุจริตธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้บริษัท กฤษดามหานคร มี “ทักษิณ” และ “ลูกโอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” และพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา
สารพัดคดีเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นอดีตหากพลพรรคเพื่อไทยสามารถลุแก่อำนาจทานกระแสสังคมมุ่งหน้าปลดล็อกออก “กฎหมายล้างผิด” แบบเหมาเข่งได้สำเร็จ
คตส.ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบก็จะพลันกลายเป็นองค์กรที่หมดความชอบธรรม และเต็มไปด้วยข้อครหาเรื่องความเอนเอียงไม่เป็นกลาง ตามที่ “นายใหญ่” และลิ่วล้อบดขยี้และอยากให้เป็นในทันที
กระนั้นก็ตาม การจะไต่ไปถึงฝันของบรรดาพลพรรคเพื่อไทยก็หาได้ราบเรียบแม้จะใช้เสียงข้างมากลากผ่านขั้นตอนรัฐสภาออกมาได้ เพราะแม้ คตส.จะมาจากคำสั่งของคณะรัฐประหาร แต่ต้องอย่าลืมว่า คตส.เองเป็นเพียง “พนักงานสอบสวน” ไม่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายได้ นอกจากจากสืบสวนสอบสวนและสั่งฟ้องต่อศาล
แต่คนที่จะชี้ขาดเป็นดาบสุดท้ายก็คือ “ศาล” เหมือนกับคดีความทั่วๆ ไป
ดังนั้น ต่อให้ คตส.จะอคติ หรือเอนเอียงขนาดไหน ก็ไม่มีผลหรือชี้นำศาลได้ เพราะทางคดีนั้น ศาลไม่ได้พิพากษาตามสำนวนที่ คตส.ส่งมาอย่างเดียว แต่ต้องมีการสืบพยาน และแสวงหาข้อมูลเพิ่มเติมอีก
การยกเลิกคดีที่ คตส.ทำทั้งหมด จึงเป็นการก้าวล่วง “อำนาจศาล” เต็มๆ เพราะบางคดีศาลพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว
ขณะเดียวกัน หาก “นายใหญ่” และลิ่วล้อ มองว่า คตส.เอนเอียงและไม่เป็นกลาง เหตุใดจึงต้องลบล้างคดีความทั้งหมด เพราะหากบริสุทธิ์ใจจริง ทำไมไม่ “รีเซต” กันใหม่ ด้วยการไปเริ่มต้นสืบสวนสอบสวนกันใหม่เพื่อพิสูจน์ต่อสังคม แต่กลับฟอกขาวกันยกกระบิเอาดื้อๆ
สอดคล้องกับที่ “วิชา มหาคุณ” คณะกรรมการป.ป.ช. ออกมากระทุ้ง หากจะนิรโทษกรรมกันแบบทะลุซอยอย่างนี้ มันจะไปกระทบกับ 3 อำนาจหลักของประเทศในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญหรือไม่
โดยเฉพาะการกระทำใดๆ ที่กระทบกับคดีที่ศาลวินิจฉัยต้องระวังให้มาก หากการล้างไพ่ไปกระทบอำนาจตุลาการก็ต้องมีคำตอบในเรื่องเหล่านี้ และต้องมีเหตุผลที่ดีด้วย
ตามคิวออกหมัดหนักๆ เน้นๆ เตือนกันดังๆ ทำให้เริ่มมองเห็นภาพแบบรำไรๆ โดยเฉพาะหากมีการยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ สภาพน่าจะออกมาอย่างไร
เพราะด่าน “ศาลรัฐธรรมนูญ” นั้นแสนหนักแสนหินสำหรับพลพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ยิ่งไปก้าวล่วงกันแบบกฎหมายเขียนกันแบบชัดๆ แบบนี้
ระวังจะจอดแบบไม่ทันได้แจว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น