วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"รถหรู...มีแต่ชาวบ้านเท่านั้นที่ผิด"เมื่อ 18 มิ.ย.56

"รถหรู...มีแต่ชาวบ้านเท่านั้นที่ผิด"


ครึ่งเดือนมาแล้ว สำหรับลีลา DSI โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ เรียกคดีไฟไหม้รถหรู ๖ คัน จากตำรวจท้องที่กลางดง ไปทำเป็นคดีพิเศษ แต่ไม่โชะ-เชะ เหมือนคดีลากคออภิสิทธิ์-สุเทพเป็นผู้ต้องหา ฐานปราบผู้ก่อการร้ายเผาบ้าน-เผาเมืองเลย 
    อย่าลืม เหตุเกิดเป็นคดีอาญาที่ DSI ต้องคลี่คลายหาตัวคนผิดโดยตรง คือ คดีรถหรู ๖ คัน แต่ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน นายธาริตยังพายเรือวนในอ่าง มีดารารับเชิญงอกออกมาอีกคน เป็นการช่วยยืดอายุการสางคดี คือ...นายเป๋ ด้วน!
    นายธาริตเขาว่า เป๋ ด้วน เป็นมาสเตอร์คีย์ ได้ตัวคนนี้แล้วจะไขรหัสลับชาติกำเนิดของรถหรูทั้ง ๖ คันนั้นได้...เป็นของใคร นักการเมืองระดับรัฐมนตรีว่าการหรือช่วยว่าการใช่หรือไม่ ขนจากไหน เอาไปส่งให้ใครที่ไหน?
    ทำประจำ หรือชั่วคราว ใช้อิทธิพลบารมี สั่งเข้ามาเป็นร้อยๆ คัน แล้วกระจายไปตีทะเบียนจังหวัดโน้น-จังหวัดนี้ จนเจ้าหน้าที่กลืนไม่เข้า-คายไม่ออก เป็นอย่างที่ "ภายใน" เขานินทาลูบหน้าปะจมูกจริงหรือไม่ 
    เนี่ย...นายธาริตเขาว่า ถ้าได้ตัวนายเป๋ ด้วน ข้อข้องใจทั้งหลายก็จะมีคำตอบ ถ้าไม่มีเป๋ ด้วน ทุกคำตอบก็จะ "ด้วน" ตามไปด้วย!?
    ฟังแบบนี้ชักห่วง ด้วยยุคนี้เป็น "ยุคนอมินี" เกิดมีสาวคนไหน "อุ้มเป๋ ด้วน" ไปอาบน้ำ-ประแป้งให้...ก็จะจบกันไปแบบปื๊ด..ปื๊ด! 
    สรุปแล้ว เท่าที่ติดตามดู จากหนังโฆษณาธาริต รถหรูกว่า ๖ พันคัน ขยายเป็นหมื่นกว่าคันที่ DSI เฝ้าติดตามพฤติกรรมมา ๒ ปีกว่า แต่พอฉายจริง เห็นมีแค่ ๕๔๘ คันเท่านั้น ที่ DSI บอกว่าต้องตรวจสอบเป็นรถจดประกอบหรือไม่?
    พูดกันตรงๆ ตัวคดีคือรถ ๖ คัน มันออกอ่าว-ออกทะเลเป็น DSI เฉไฉหยิบเอาเรื่องรถหลีกเลี่ยงขั้นตอนระบบภาษีในการนำเข้า อันเป็น "คนละเรื่องเดียวกัน" กับคดีรถหรู ๖ คันถูกไฟไหม้นั้น ขึ้นมากลบคดีหลักเกือบหมด
    แสดงกันสมจริง-สมจังซะด้วย สมเป็นฉากใหญ่ของ DSI นอกจากมีสรรพสามิต ศุลกากร สมอ. ขนส่งทางบก นิติวิทยาศาสตร์ บูรณาการเข้าฉากพร้อมหน้าแล้ว ยังเชิญตัวแทนบริษัทผู้จำหน่ายรถหรูในประเทศ ๑๐ ราย มาเข้าฉากด้วย
    ก็ว่ากันไป ซักพัก...พอเรื่องซา หายเห่อ-หายสนใจกัน ตรวจแล้ว ผิดนั่นนิด-นี่หน่อย ก็คืนเจ้าของเขาไป เป้าหมายไม่ใช่ประชาธิปัตย์ ยิ่งไม่มี "อภิสิทธิ์-สุเทพ" เป็นเดิมพัน คดีมันก็...ไม่ค่อยมีแรงจูงใจ!
    แต่ผมก็เห็นใจ อุตส่าห์เฝ้าติดตามพฤติกรรมมาตั้ง ๒ ปี ถ้าไม่ทำอย่างที่ทำตอนนี้ แล้วมันจะผสมผเสลงตัวให้ทำกันตอนไหน ที่พูดนี่ก็เพราะสงสาร เห็นชักตันถึงขั้นออกตัว...ไม่ค่อยสันทัดเทคโนโลยีชั้นสูงรถหรู
    อยากบอกว่า ท่านเล่นทำคดีแบบ "กลับหัว-กลับหาง" มันก็ยักตื้นติดกึก-ยักลึกติดกักอย่างนี้แหละ คือเรื่องนี้คนที่ควรต้องอยู่ในข่ายถูกตรวจสอบและถูกสอบสวนทวนความ เพื่อทลายแก๊งรถหลบเลี่ยงภาษีก่อน คือ.....
    ๑.หน่วยงานไหนล่ะ ที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบรถนำเข้า?
    ๒.หน่วยงานไหนล่ะ ที่มีหน้าที่ตรวจสเปกให้ตรงมาตรฐาน?
    ๓.หน่วยงานไหนล่ะ ที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีตามกำหนด?
    ๔.หน่วยงานไหนล่ะ ที่มีหน้าที่ตีทะเบียนให้รถออกวิ่งได้?
    นั่นคือ รถหรูที่ DSI เฝ้าดูพฤติกรรมนั้น จะเป็นรถนำเข้าถูกต้องหรือไม่ เสียภาษีถูกต้องหรือไม่ ตีทะเบียนถูกต้องหรือไม่ คนที่นำเข้า หรือผู้ครอบครองรถ "ทำเองไม่ได้" แน่นอน 
    ถึงมีก็น้อยมากที่เจ้าของ "ทำเถื่อนเอง" ครบวงจร!
    พฤตินัยที่เป็นจริงทางกฎหมายคือ รถที่ออกมาวิ่งในท้องถนนได้ทุกวันนี้ ในขั้นต้นต้องยอมรับว่า เป็นรถถูกต้องตามกฎหมาย
     เพราะผ่านขั้นตอนตรวจสอบจาก "เจ้าหน้าที่รัฐ" แต่ละหน่วยงานมาแล้ว จนถึงชั้นออกทะเบียน คือใบรับรองว่า เป็นรถผ่านการตรวจถูกต้องแต่ละขั้นตอนกฎหมายแล้ว
    แต่เอาล่ะ...เมื่อวันนี้ DSI เรียกตรวจสอบ จากเป็นหมื่นเหลือแค่ ๕๔๘ คัน ในความเห็นผม การตรวจสอบนั้น ตรวจสอบได้ แต่ DSI ตรวจสอบ "ปลายทาง" คือเจ้าของรถ ด้วยสายตาตำรวจที่มักมองคนอื่นเป็นคนผิดเสมอ
     ผมจึงบอกว่า เป็นการตรวจสอบแบบ "กลับหัว-กลับหาง" ไม่เป็นธรรม สำหรับผู้ครอบครองรถที่ "ตีทะเบียน" จากหน่วยราชการแล้ว!
    ทำไม DSI จึงไม่โฟกัสให้ตรงประเด็น "ทุกอย่างมาจากเหตุ" ขบวนการรถหรูเลี่ยงภาษี  เหตุ-คือต้นทางอยู่ที่ ศุลกากร สรรพสามิต สรรพากร สมอ. และขนส่งทางบก ดังนั้น ถ้าจะแก้ไขจริง ควรตรวจสอบ "ต้นทาง" ก่อน 
    คือ ศุลกากร สรรพสามิต สรรพากร สมอ. และกรมขนส่งทางบก! 
    ไม่ต้องครอบจักรวาลเป็นพัน-เป็นหมื่นคันให้ดูตื่นเต้น-สมจริง เพราะถ้ารถหรูอันเป็นปลายทางมันผิด ผิดนั้น...ก็ไม่ใช่ผิดมาจากตัวเจ้าของรถ
    หน่วยใด-หน่วยหนึ่ง ในแต่ละขั้นตอนจนถึงขั้นตีทะเบียนนั่นแหละ คือคนผิด เป็นตัวการทำให้ขบวนการรถหรูหลบเลี่ยงภาษี ได้รับการย้อมให้เป็นรถถูกกฎหมาย จากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยใด-หน่วยหนึ่ง!
    ดังนั้น การทำเรื่องนี้ ที่ถูก-ที่แฟร์ DSI ควรสอบสวนทวนพยานเจ้าหน้าที่ก่อน มากกว่าจะไปไล่บี้-ไล่จับชาวบ้านก่อน ขั้นต้น ควรสั่งอายัดเอกสารการรับจดทะเบียนรถหรูในแต่ละจังหวัดที่รับจดทะเบียนตามที่ DSI เคยประกาศ มาตรวจสอบ
    นนทบุรี ๒,๒๕๓ คัน สระบุรี ๑,๐๔๘ คัน กทม. ๘๙๑ คัน อยุธยา ๖๐๗ คัน ปราจีนบุรี ๒๙๐ คัน นครปฐม ๒๓๙ คัน อ่างทอง ๒๓๖ คัน นครนายก ๑๑๔ คัน ชลบุรี ๕๔ คัน กาญจนบุรี ๓๕ คัน ราชบุรี ๒๗ คัน ศรีสะเกษ ๑๙ คัน จันทบุรี ๗ คัน อุบลฯ ๕ คัน เชียงใหม่ ๒ คัน อุตรดิตถ์ ๒ คัน ฯลฯ
    เนี่ย...ขนส่งจังหวัดแต่ละจังหวัดต้องถูกสอบสวนก่อน เอกสารการรับจดทะเบียนทั้งหมด ต้องถูกตรวจสอบความถูกต้อง ตรวจหาตัวเจ้าของ 
    แล้วหลักฐานแต่ละคันนั้น ต้องนำไปยันด้วยการตรวจสอบให้ตรงกันกับของศุลกากร สรรพสามิต สรรพากร และ สมอ.ด้วย
    ทำแบบนี้จึงจะแฟร์ และล้างบางขบวนการฟอกรถเถื่อนได้!
    แต่ที่ DSI ทำขึงขัง-โครมครามอยู่ขณะนี้ ไล่บี้แต่ปลายทางคือชาวบ้าน ส่วนต้นทาง-ต้นเหตุของรถเถื่อนเกลื่อนเมือง กลับทำคล้าย
    "ให้จำเลยเป็นตุลาการ"!?
    ผู้รับผิดชอบแต่ละกรม ที่รถหรูนำเข้าแต่ละคันต้องไปผ่านขั้นตอน ควรต้องถูก DSI เรียกสอบในฐานะผู้ต้องสงสัยในการทำหน้าที่ขั้นต้น ไม่ใช่ไปเรียกเชิงข่มขู่-คุกคามผู้ครอบครองรถ ซึ่งควรอยู่ในฐานะเจ้าทุกข์ 
    ควรใช้เป็นพยานเพื่อยืนยันว่า...ในเอกสารที่ตรวจพบเป็นการ "ฟอกรถ" คันนั้นๆ หน่วยงานนั้นๆ-คนนั้นๆ เป็นผู้ทำให้!
    ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพราะเห็น DSI เบี่ยงทางของคดีออกปากอ่าวไปเรื่อยๆ เผลอๆ เจ้าเล็ก-รายน้อยจะถูกเชือดสังเวย แล้วทั้งรถไฟไหม้ ๖ คัน และทั้งที่คุยเฝ้าติดตามพฤติกรรมเป็นพัน-เป็นหมื่นจะเป็นคลื่นซัดหาด
    ก็จะจับใครล่ะ ในเมื่อ "ตัวการใหญ่" รับเชิญร่วมบูรณาการคดีกับ DSI ซะงั้น!?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น