วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปิดปาก-ซ่อนเร้นทุจริต สัญญาณสุดท้ายรัฐบาล เมื่อ 16 มิ.ย.56

ปิดปาก-ซ่อนเร้นทุจริต สัญญาณสุดท้ายรัฐบาล


การเสียชีวิตของ “นายเอกยุทธ อัญชันบุตร” นักธุรกิจชื่อดังและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านระบอบทักษิณ แม้ว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ได้รีบสรุปว่าคดีนี้คือการฆ่าชิงทรัพย์ ไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง  
    แต่ไม่มีใครในสังคมเชื่อ เพราะเมื่อดูจากการให้ปากคำของผู้ต้องหา ประกอบการทำแผนรับสารภาพนั้น ตั้งข้อสังเกตว่ามีการจัดฉากอย่างเป็นขั้นเป็นตอน 
    ยกตัวอย่างเช่น นายสันติภาพ เพ็งด้วง คนขับรถที่ระบุว่าฆ่านายเอกยุทธ ที่เหมือนจะรอบคอบที่ถอดกล้องวงจรปิดและฮาร์ดดิสก์ในบ้านของเจ้านายทิ้ง เพื่อไม่ให้เห็นร่องรอย
    แต่กลับลืมปิดสัญญาณจีพีเอสในรถ ทั้งที่เป็นคนขับต้องคุ้นเคยกับระบบในรถ จนทำให้ตำรวจรู้เส้นทางการเคลื่อนไหว เป็นต้น ส่วนจะโยงผู้มีอำนาจและเสธ.คนดังเข้ามาบงการก็ต้องพิสูจน์ต่อไป
    เหตุการณ์การอุ้มฆ่าสำหรับผู้มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างจากรัฐบาล นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้หากยังจำกันได้ก็คือ การอุ้มฆ่าทนายสมชาย นีละไพจิตร ถึงวันนี้ยังไม่สามารถหาศพพบ
    ในส่วนของคดีของนายเอกยุทธ ไม่ทราบว่าเป็นความจงใจหรือเรื่องบังเอิญ เพราะตำรวจที่จับกุมคนขับรถ (นายสันติภาพ เพ็งด้วง) จนมาถึงการปิดคดีนั้น เคยเป็นทีมผู้ต้องหาฆ่าทนายสมชายมาแล้ว เรื่องนี้อาจสะท้อนอะไรบางอย่าง   
    เบื้องต้นมีการเรียกร้องให้เปลี่ยนตัว พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ออกจากหัวหน้าชุดทำคดีเพื่อความโปร่งใส เนื่องจากเป็นคู่ขัดแย้งกับนายเอกยุทธ เพราะมีคดีฟ้องร้องในชั้นศาล และให้หน่วยงานที่มีความเป็นกลาง เช่น สภาทนายความ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมเป็นคณะผู้ทำคดีด้วย  
    เพราะไม่มั่นใจอำนาจรัฐตำรวจ ตามวลีติดปาก “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ภายใต้ระบอบทักษิณ อีกทั้งยังเป็นที่ทราบกันดีว่า นายเอกยุทธถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของอดีตนายกฯ และหากใครรู้ใจนายจัดการให้ ก็อาจจะได้รับการตบรางวัลชิ้นใหญ่ในภายหลัง
    โดยเฉพาะการเปิดเผยข้อมูลของนายเอกยุทธ ในยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เกิดขึ้นหลังความฉาว ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ ชั้น 7 จนเป็นที่ฮือฮา ตามด้วย “น้ำทะเลกระฉอกที่มัลดีฟส์” และการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการฟอกเงินของนักการเมืองใหญ่ในอังกฤษ
    อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้วีรกรรมของนายเอกยุทธมีมาตั้งแต่ปี 2547 โดยเฉพาะเป็นผู้สนับสนุนการเงิน ด้วยการจับมือกับนักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ ฝั่งสีเหลือง และนักการเมือง และยังใช้สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียโจมตีระบอบทักษิณมาตลอด
    แม้ก่อนเขาเสียชีวิต ในหัวสมองของเขาก็ไม่วายที่จะล้มล้างทักษิณ ด้วยการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อ 27 พฤษภาคม 2556 "ใจพร้อม-ทุนพร้อม ปลุกผู้เสียภาษี-ผู้รักความยุติธรรม เตรียมพร้อมรอสัญญาณรวมตัวไล่พวก 'การเมืองระยำ' ให้พ้นจากอำนาจ วอนฝ่ายต้านระบอบทักษิณ ลดความแตกต่าง-ประสานกำลังกัน ถ้าทำกันไม่กี่คน คงชนะยาก แนะอย่าเอาความเด่น-ดัง-ยศมาเป็นกำแพงกั้น ชี้ทุกคนมีอดีต แต่ต้องร่วมมือกันทำเพื่อชาติ"
    อีกข้อความในวันต่อๆ ไป "ผมยังไม่เคยเห็นใครบอกว่า..ไม่ให้ทักษิณกลับเมืองไทย..ไม่มีใครห้าม..มีแต่ใครๆ ก็อยากให้กลับทั้งนั้น แต่ที่พล่ามว่าอยากกลับ แต่ไม่กล้ากลับมาเองก็เพราะหนีคุกอยู่ไงครับ..ปากกล้าขาสั่นอยู่เมืองนอก ทั้งๆ ที่มีขี้ข้าเป็นใหญ่เต็มบ้านเมือง มีน้องเป็นนายกฯ..เหตุผลที่ไม่กลับไม่ใช่อะไรหรอกครับ..กลัวความจริงไง.."
    ดังนั้นหากรัฐบาลไม่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ ก็ต้องทำความจริงให้ปรากฏ อย่าเร่งรัดปิดคดี และอย่าให้คนที่มีภาพสีเทาเป็นผู้ทำงาน เพราะมิเช่นนั้นการเสียชีวิตของอดีตเจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์อาจไม่เสียเปล่า เพราะเชื่อว่าผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันเกิดขึ้นมาทดแทน “ตายสิบ เกิดร้อย” อย่างแน่นอน
    ข้อกล่าวหาปิดปากผู้เห็นต่าง ในขณะนี้รัฐบาลยังถูกมองว่ามีพฤติกรรมปกปิดเรื่องทุจริตอีกด้วย โดยเฉพาะความล้มเหลวโครงการรับจำนำข้าว ด้วยการบิดเบือนตัวเลขขาดทุน 2.6 แสนล้านบาท แต่อ้างว่าขาดทุนเพียง 3.4 หมื่นล้านบาท ด้วยการเปิดเผยตัวเลขภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา
    เพื่อต้องการแก้ข่าวความเสียหาย จากข้อมูลที่หลุดรอดจากเอกสารของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าขาดทุน 2.6แสนล้านบาท และเรียกร้องความเชื่อมั่นกลับมา หลังจาก มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำระดับโลก ได้ออกมาแสดงความกังวลต่อการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลไทยและมีแนวโน้มจะลดเครดิตประเทศ  
    ขณะนั้นคนไทยก็ไม่มั่นใจโครงการดังกล่าว ผ่านการสำรวจความคิดเห็นผ่านนิด้าโพล เชื่อว่าโครงการขาดทุนถึง 2.6 แสนล้านบาท 37.71% ขณะที่ไม่เชื่อว่าขาดทุน 26.5% โดยผู้ได้ประโยชน์คือรัฐบาล 36.6%, โรงสี 36.2%, ชาวนา 34.03%, นักการเมือง 29.86% และผู้ส่งออกข้าว 14.04 %  
    หากขาดทุนจริงผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือคณะรัฐมนตรี 39.95% นายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง 27.06%, น.ส.ยิ่งลักษณ์ 15.45% นายบุญทรงและนายณัฐวุฒิ 8.57% และนายกิตติรัตน์ 1.68%
    ก่อนหน้านี้ 2 รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องนำโดย นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ไม่สามารถชี้แจงได้ ล่าสุดนายกฯ กลัวเรื่องจะมาถึงตัว ได้แต่งตั้งนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้เป็นผู้รวบรวมข้อมูลโครงการรับจำนำข้าว
    เพราะหวังให้ “นายวราเทพ” ซึ่งเป็นนักสื่อสารชั้นยอด สามารถอธิบายเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย และทำความเข้าใจแก่สังคมเพื่อลวงโลกต่อไป
       อีกทั้งภาพของนายวราเทพยังไม่เป็นสายล่อฟ้าอย่างเช่น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งเป็นคนเสื้อแดง ที่คนชั้นกลางหวาดกลัว ขณะที่นายบุญทรงเองก็มีสภาพเป็นนายบุญทรุดไปแล้ว 
    ส่วนนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.การคลัง ก็หมดราคาตั้งแต่ไปโกหกสีขาว และยังเคยประกาศเอาไว้ว่า หากโครงการรับจำนำข้าวใช้เงินเกินกว่า 6 หมื่นล้านบาท มากกว่างบประมาณที่ใช้ในโครงการประกันรายได้ของพรรคประชาธิปัตย์ รัฐบาลคงอยู่ไม่ได้ แต่วันนี้ยังไม่เห็นความรับผิดชอบใดๆ เลย แม้กระทั่งคนพูดคือนายกิตติรัตน์นั่นเอง
    แม้รัฐบาลจะปิดบังตัวเลขการขาดทุน สุดท้ายก็คงเดินหน้าโครงการต่อไป เพราะอ้างว่าชาวนาได้ประโยชน์ แต่ปัจจัยสำคัญสุดคือคนในเครือข่ายรัฐบาลได้ส่วนแบ่ง พร้อมทั้งคะแนนความนิยมให้แก่พรรคเพื่อไทย
    เมื่อไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ ความหวังสุดท้ายก็คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบและชี้มูลความผิด โดยขณะนี้ นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำลังรอเอกสารหลักฐานจากกระทรวงพาณิชย์ที่ยังไม่ยอมส่งข้อมูลมาให้
    เชื่อว่า ป.ป.ช.คงจะหาหนทางเอาเอกสารมาได้ เพราะมีกฎหมายบังคับใช้ หากตรวจสอบและพบว่ามีการทุจริตจริง รัฐบาลอาจหาทางลงและระงับโครงการนี้ไว้ พร้อมกับการสร้างวาทกรรมทางการเมืองว่า "อำมาตย์ขัดขวางความร่ำรวยของคนรากหญ้า"
    เมื่อบวกกับเรื่องอุ้มฆ่านายเอกยุทธ ที่ไม่ทราบว่าจะทำความจริงให้กระจ่างหรือไม่ พร้อมทั้งปมร้อนเรื่องทุจริต โครงการรับจำนำข้าวหากถูกชี้มูลความผิด และปัญหาการเมือง อาทิ แก้รัฐธรรมนูญ 50 และกฎหมายปรองดองที่รอเวลาปะทุ อาจเห็นรัฐบาลยุบสภาเร็วขึ้น "เซ็ตซีโร่" เริ่มต้นกันใหม่.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น