วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"หน้ากากขาว" เขย่ารัฐบาล โต้กลับเตรียมเปิด100เวทีสู้ เมื่อ 10 มิ.ย.56

"หน้ากากขาว" เขย่ารัฐบาล โต้กลับเตรียมเปิด100เวทีสู้


 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤติรุมเร้าตัวเอง จากปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นมา ไม่สามารถดำเนินนโยบายตามที่ประกาศไว้ ด้านการเมือง มุ่งมั่นแต่แก้ปัญหาให้คนคนเดียว เสถียรภาพความมั่นคงก็กำลังถูกสั่นคลอน อันเนื่องจากปัญหาทุจริตคอรัปชั่น การดำเนินนโยบายอย่างผิดพลาดด้านเศรษฐกิจ ปัญหาข้าวยากหมากแพง ทำให้แนวร่วมผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นรากหญ้ากำลังเผชิญชะตากรรมจากการดำเนินนโยบายผิดพลาด 
    ผลจากการบริหารงานมาร่วม 2 ปี นโยบายหนึ่งที่หวังมัดใจประชาชนคือ ‘กระชากค่าครองชีพลงมา ปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน’ เวลาผ่านไป ไม่เพียงค่าครองชีพไม่ถูกกระชากลงมา เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง สิ่งของอุปโภค บริโภค ไข่ไก่อันถือเป็นสิ่งหาง่าย จากเดิมราคาถูก แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ราคาสูงถึง 7 บาทต่อฟอง เช่นเดียวกับผักสด เนื้อสัตว์ ก็ขึ้นไปเป็นเงาตามตัว 
    แว่วมาว่าเดือน ก.ค.นี้ กระทรวงพลังงานเตรียมขึ้นก๊าซภาคครัวเรือนอีก ซ้ำเติมแนวร่วมรากหญ้า อันเป็นเสียงสนับสนุนส่วนใหญ่ ขณะที่ค่าแรง 300 บาท ก็ไม่สามารถทำได้จริงในหลายพื้นที่ เนื่องจากผู้ประกอบการไม่ยอม หวั่นกระทบตุ้นทุน ปัจจัยอะไรหลายอย่างตามมา 
    วาทะที่พรรคเพื่อไทยมักใช้โจมตีรัฐบาลอภิสิทธิ์ ขณะยังครองอำนาจ ‘ดีแต่พูด’ ทุกวันนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ขว้างงูไม่พ้นคอ ถ่มน้ำลายรดฟ้า เป็นรัฐบาล ‘ดีแต่พูด’ เช่นกัน
    ปัญหาที่กำลังจะนำไปสู่จุดตายรัฐบาล อย่างโครงการรับจำนำข้าว ที่แตะไปตรงไหนก็เจอ ผิดพลาดตั้งแต่เลือกคนไม่เหมาะกับงานมาทำ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยุคแรกวาง กิตติรัตน์ ณ ระนอง คนสนิทยิ่งลักษณ์คุมเจ้ากระทรวง มี ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์, ภูมิ สาระผล เป็น รมช. อยู่มาไม่นานก็แก้ปัญหาการเมือง นำ เด็กเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อย่าง บุญทรง เตริยาภิรมย์ ขึ้นมาเป็น รมว. โยกรัฐมนตรีไพร่ที่ดีแต่พูด ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ มาเป็น รมช. ส่วนคนเก่าถูกปรับโยก ปรับออก เพียงเพราะ ความเกรงใจและโควตาทางการเมือง
    การวางตัวบุคคลไม่เพียงไม่เหมาะกับงาน งานจึงไม่ออก ผลงานจึงไม่มี เรื่องราวที่ออกมาจึงถูกตั้งคำถามในเชิงความไม่โปร่งใส ตามที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ลากไส้ออกมาขุดคุ้ย ที่จับไปตรงไหนก็เจอตรงนั้น และรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงไม่สามารถตอบคำถามที่สงสัยต่างๆ ได้เลย
    ไล่ตั้งแต่ ข้าวมีเท่าไหร่ เหลือค้างสต็อกจนล้นโกดังหรือไม่ ข้าวขายให้ใคร สัญญาเป็นไง ตัวเลขงบที่รัฐจะได้ ตัวเลขที่ประเมินว่าขาดทุนเท่าไหร่ ทั้งหมดเป็นปัญหาที่ทั้งบุญทรง-ณัฐวุฒิ ไม่ว่าจะร่วมแก้ต่างยังไง ยิ่งแก้ก็เหมือนลิงแก้แห ยิ่งพูดก็ยิ่งพัง จึงไม่แปลกใจที่เรื่องข้าวจะกลายเป็นหนึ่งในจุดตายรัฐบาล
    นอกจากรัฐมนตรีโควตากลุ่มก๊วนที่เลือกมาไม่เหมาะกับงานจะทำให้เกิดปัญหาแล้ว รัฐมนตรีคนอื่นก็แสดงออกถึงความไม่เอาไหนเช่นกัน ปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ท่าทีทางคำพูด ผรุสวาทใส่กลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านต่อต้านโครงการบริหารจัดการน้ำ วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท เปรียบเป็น ‘ขยะ’ ยังไม่พอ ล่าสุดก็ด่าเปรียบเป็น ‘เห้’ อันแสดงให้เห็นถึงผู้ที่ไร้ซึ่งวุฒิภาวะหนักขึ้นไปอีก 
    ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อีกหนึ่งรองนายกรัฐมนตรี เตรียมชงร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ที่มีเนื้อหาช่วยเหลือคนผิด ตามที่เจ้าตัวบอกต้องนับหนึ่งกันใหม่ เนื้อหาที่ช่วยเหลือคนผิดหลังเหตุ 19 ก.ย. ลบล้างคำพิพากษา คืนเงินให้ทักษิณ นิรโทษความผิดให้แกนนำทุกสีเสื้อ ก็ไม่สามารถตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ได้ กลายเป็นการเรียกแขก ปลุกกระแสคนไม่ชอบรัฐบาลให้ดาหน้าออกมาต่อต้านเสียมากกว่า
    ไม่ต้องแปลกใจ เพียงแค่ครึ่งวาระของการบริหารงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทุกวันนี้สารพัดม็อบจะรุมเร้ามายังรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ม็อบคนกันเองแนวร่วมเสื้อแดงที่ไม่พอใจการชง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้คนผิด ลืมบาดแผลกลุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา กลุ่มหมอที่เริ่มรวมตัวเคลื่อนไหวหนักขึ้น ส่งสัญญาณไปถึง รมว.สาธารณสุข แต่ก็สั่นสะเทือนถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลุ่มองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อันเป็นฐานเสียงหลักช่วยนักการเมืองระดับชาติ ก็ไม่พอใจแนวคิด ยุบ อบจ. ก็เคลื่อนไหวแบบเงียบๆ รอจังหวะ
    รวมไปถึงกลุ่มกาย ฟอว์กส์ หรือหน้ากากขาว ที่กำลังเป็นกระแสในตอนนี้ นัดหมายรวมตัวไปยังสถานที่ต่างๆ แสดงออกไปตามสถานที่ต่างๆ หยิบยกประเด็นต่างๆ จากความผิดพลาดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งในแง่ตัวบุคคลและนโยบาย ทำงานสอดประสานกับอย่างกล้าแข็งในโลกออนไลน์ ก็มีแนวร่วมเพิ่มมากขึ้นจากกลุ่มคนที่ไม่พอใจรัฐบาล ไม่เพียงเฉพาะขาประจำ แต่เป็นกลุ่มคนกันเองบางส่วน ที่แม้จะยังไม่ถึงกับตบเท้าเข้าร่วม แต่ก็แอบเชียร์เป็นกำลังใจให้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน 
    จากปรากฏการณ์หน้ากากขาว กลุ่มม็อบสนามหลวง รวมไปถึงกลุ่มไทยสปริง ทำให้รัฐบาลเริ่มนั่งไม่ติด หวั่นจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว หลายคนในรัฐบาลจึงออกมาดักทางทำลายความน่าเชื่อถือ แนวรบด้านบริหารอย่างเฉลิมก็ออกมาดักทาง ตัดท่อน้ำเลี้ยง โยงไปถึงกลุ่มทุน 3-4 กลุ่มใหญ่ลงขันหวังล้มรัฐบาล กลุ่ม ส.ส.เพื่อไทย-คนเสื้อแดง ก็หันไปดิสเครดิตกลุ่มหน้ากากขาว โยงอดีตพวกกลุ่มที่เคยเคลื่อนไหวในประวัติศาสตร์อังกฤษเคยนำระเบิดไปวางในรัฐสภา หวังจะลอบปลงพระชนม์พระเจ้าเจมส์ที่ 1 เลยบิดประเด็นใส่ร้ายมายังกลุ่มหน้ากากขาวในไทย แสดงสัญลักษณ์เช่นนี้เลยเปรียบเป็นพวกล้มเจ้า ล้มการปกครองระบอบประชาธิปไตย
    การเบี่ยงกระแส เลี่ยงประเด็น หรือให้ข้อมูลด้านเดียว ถือเป็นงานถนัดของคนในรัฐบาลนี้อยู่แล้ว ในความเป็นจริงคนในพรรคเพื่อไทย-เสื้อแดง ก็รู้ประวัติความเป็นมาทั้งหมด เหตุทำไมถึงมี ผลทำไมถึงเกิด แต่คนพวกนี้ก็เลือกแต่เปลือกมาพูด ไม่ได้เลือกถึงเนื้อใน ความเป็นมามาพูด ในอดีตเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่มองให้ลึกลงไป กลุ่มคนที่มาเคลื่อนไหวนั้น ยุคพระเจ้าเจมส์ที่ 1 มีอำนาจมากล้น แต่กลับปกครองอย่างกดขี่ ใช้อำนาจตามอำเภอใจ สนแต่พวกพ้อง จึงเกิดขบวนการลุกฮือจากประชาชนออกมาเคลื่อนไหวด้วยสารพัดวิธีนั่นเอง
    เปรียบสมัยนี้ก็ไม่ต่างอะไรจาก มรดกทักษิณ ที่ยังเหลืออยู่ ชักใยผ่านนอมินีหุ่นเชิด ใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อประโยชน์วงศ์วานว่านเครือ เอื้อประโยชน์พวกพ้อง บริหารงานผิดพลาด เกิดการทุจริตคอรัปชั่น สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนในวงกว้าง ให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพง หวังสถาปนารัฐตำรวจ ล้มล้างระบอบเดิม ทำหินแตก หวังแยกแผ่นดิน ก็เปรียบได้กับรัฐบาลสมัยนี้ จึงเกิดขบวนการภาคประชาชน ภายใต้กลุ่มหน้ากากขาวที่กำลังเป็นกระแสแผ่ขยายออกไปเฉกเช่นทุกวันนี้ 
    ไม่เพียงแต่เฉพาะในกรุงเทพฯ ที่กลุ่มหน้ากากขาวดังกล่าวจะเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ไปตามจุดต่างๆ ในต่างประเทศ ในต่างจังหวัดเองก็กำลังเกิดกระแสดังกล่าวตามมาไม่น้อยเช่นกัน 
    แต่ไม่ว่าอย่างไร การขยับตัวของคนในหน่วยงานรัฐ ทั้งการให้ข้อมูลบิดเบือน ป้ายสีไปยังกลุ่มตรงข้าม การออกมาเปิดหน้า ความร้อนรนของคนในรัฐบาล การตั้งวอร์รูมอย่างลับๆ เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวทางโลกออนไลน์ การสั่งให้หน่วยงานความมั่นคงเฝ้าระวังวอร์รูม คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อไทยก็เฝ้ามองด้วยความสนใจ รวมไปถึงความเคลื่อนไหวล่าสุด ที่ขยิบตาให้แนวร่วมภาคประชาชนเปิดเวทีกว่า 100 จุดทั่วประเทศ ให้ชี้แจงข้อมูลที่ถูกบิดเบือน และยังเป็นการส่งสัญญาณกลายๆ ด้วยจำนวนคนที่ยังหนุนหลังรัฐบาลมีจำนวนมาก
    อาการร้อนของรัฐบาล-เพื่อไทย จนต้องงัดสารพัดวิธีเข้ามาตอบโต้ จัดการการเคลื่อนไหวของ ประชาชนในนามหน้ากากขาว ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ก็แสดงให้เห็นถึงภาวะตั้งรับเพื่อรุก แสดงออกให้เห็นถึงอาการ ‘ประมาทไม่ได้’ 
    เพราะบทเรียนในอดีตมีแล้ว ถึงแม้จะมาจาก 'ประชาชน' แต่ก็ไปได้ง่ายๆ ด้วยชนวนที่มาจาก ‘ประชาชน’  เช่นกัน!!.
                                                                                       ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น