วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สั่งพรึ่บทั้งประเทศ100เวที จัดทัพชนม็อบล้มรัฐบาลปชป.ย้ำจำนำข้าวเจ๊งจริงอัด”บุญทรง”ปกปิดตัวเลข เมื่อ 10 มิ.ย.56



สั่งพรึ่บทั้งประเทศ100เวที

จัดทัพชนม็อบล้มรัฐบาลปชป.ย้ำจำนำข้าวเจ๊งจริงอัด”บุญทรง”ปกปิดตัวเลข


สุมไฟการเมือง “พท.” ปลุกสาวกป้องรัฐบาล โวแนวร่วมเตรียมตั้ง 100 เวทีทั่วประเทศ ต้านกลุ่มล้มรัฐบาล ฉะหน้ากากขาว พวกหน้าเก่ากลุ่มเดิม หวังจุดกระแสสร้างเงื่อนไขปฏิวัติ ขู่ไม่ง่ายเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา ขณะที่ “เสื้อแดง 17 จว.เหนือ” ขู่หน้ากากขาวป่วน ครม.สัญจร เมืองกล้วยไข่ เจอดีแน่ ด้าน “สังศิต” ฉะเหลิมป้ายสีหน้ากากขาวล้มรัฐบาล ชี้แค่เคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ ค้านการกระทำรัฐบาลที่ไม่ถูกต้อง ส่วน “สุริยะใส” เชื่อหน้ากากขาว ทรงพลังกว่าเสื้อหลากสี ชี้ทำให้รัฐบาลหวาดกลัว ขณะที่ “ปชป.” ตอก “เหลิม” อย่ามัวระแวงกลุ่มล้มรัฐบาล ไล่ดูพวกเดียวกัน ทั้งทุจริต-เอื้อประโยชน์-ใช้อำนาจรัฐไม่เป็นธรรม ชี้สนิมกินเนื้อใน นำรัฐบาลสู่จุดจบ ด้าน ปมจำนำข้าวเจ๊ง 2.6 แสนล้านบาน “มาร์ค” ย้ำตัวเลขขาดทุนของจริง จวกอย่าบิดเบือน จี้นายกฯ ปูเร่งทบทวนด่วน แฉชาวนาได้ประโยชน์จริงแค่ 8 หมื่นล้าน ส่วน “หมอวรงค์” ตามขย้ำซ้ำ ฉะคำชี้แจงบุญทรงฟังไม่ขึ้น ซัดปิดตัวเลขเจ๊งจำนำข้าวสุดเลวร้าย ทำต่างชาติไร้ความเชื่อมั่น ขณะที่ “รัฐบาล” สุดด้าน หิ้วชาวนาออกทีวี แจงกลบข้าวเจ๊งมหาศาล อ้างราคาดีขึ้น เปลี่ยนวิถีชีวิต หนุนรัฐบาลสานต่อ
พท.ปลุกสาวกป้องรัฐบาล
วันที่ 8 มิ.ย. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาพบความเคลื่อนไหวจากคนหลายกลุ่มเพื่อหวังล้มรัฐบาล ซึ่งเป็นคนกลุ่มเดิมๆ ที่เคยกระทำกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่ครั้งนี้แค่เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ใส่หน้ากากตัวละครมากันเกือบครบทีม แต่ติดปัญหาที่คนน้อยเลยต้องเวียนเทียนแนวร่วม ตอนเช้าสวมหมวกดาวแดง บ่ายๆ ใส่หน้ากาก กลางคืนนอนเฝ้าเต็นท์สนามหลวง ทั้งหมดผสมปนเปกันไปหมด ทั้งในกลุ่มพันธมิตรฯ ไปจนถึงแนวร่วมอื่นๆ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายแนวร่วมผู้รักประชาธิปไตย ต้องพร้อมรับมือทุกสถานการณ์อย่างมีสติและไม่ประมาทด้วยแนวทางสันติวิธี ขอเตือนว่า ความพยายามจะล้มรัฐบาลนั้นไม่ง่ายเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา เพราะประชาชนจะไม่ยอมให้กลุ่มใดๆ มาทำร้ายประเทศอีก เร็วๆ นี้อาจจะมีเวทีภาคประชาชนที่รับไม่ได้กับขบวนการดังกล่าว ออกมาต้านอำนาจนอกระบบ ปกป้องรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง นับ 100 เวทีทั่วประเทศ ซึ่งเป็นในส่วนของภาคประชาชนที่ไม่ใช่คนเสื้อแดง หรือพรรคเพื่อไทย แต่แน่นอนว่าหากจะมีคนเสื้อแดงหรือ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยไปร่วมด้วยก็เป็นเรื่องปกติ คาดว่าจะเริ่มเวทีได้ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน หรือต้นเดือนกรกฎาคม โดยผู้ที่เกี่ยวข้องคงจะมีการแถลงข่าวในเร็วๆ นี้
ยันไม่ยุบสภาหลังงบปี 57 ผ่าน
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะยุบสภา หลังร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 ผ่านสภาผู้แทนราษฎร และมีผลประกาศบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค.56 รวมไปถึงการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเสร็จ ว่า ขอปฏิเสธว่าข่าวที่ออกมาไม่เป็นความจริง และในพรรคเพื่อไทยไม่เคยมีชุดความคิดแบบนี้ เป็นลักษณะการปล่อยข่าว เคาะกะลา ให้พวกต่อต้านรัฐบาลดีใจ ทั้งที่อายุรัฐบาลยังเหลืออีก 2 ปี ไม่มีความจำเป็นหรือประโยชน์อะไรที่จะยุบสภา ขนาดครึ่งทางรัฐบาลยังผลักดันวาระสำคัญๆ ของชาติได้มากขนาดนี้ จะยุบสภาให้ประเทศชาติเสียโอกาสทำไม หากรัฐบาลยุบสภาตอนนี้ก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่อพรรคประชาธิปัตย์เอง เพราะนายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังทำการปฏิรูปพรรคไม่เสร็จ และเผลอๆ อาจจะเป็นนายอลงกรณ์ ที่ถูกพรรคปฏิรูปก่อน หรือไม่ก็อาจจะบอยคอตการเลือกตั้ง เกิดสุญญากาศทางการเมืองขึ้นมาได้อีก ดังนั้นจึงขอถามพวกปล่อยข่าวว่าจะทำไปเพื่ออะไร เพราะเมื่อเลือกตั้งใหม่พรรคเพื่อไทยก็ชนะการเลือกตั้ง และพรรคประชาธิปัตย์ก็จะแพ้อีกอยู่ดี
จุดกระแสโยงปฏิวัติล้มรัฐบาล
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลที่กำลังจุดกระแสล้มรัฐบาลว่า เป็นกลุ่มคนหน้าเดิมๆ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ ไม่ต้องการให้โครงการโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท และการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ จึงทำทุกวิธีเพื่อล้มสองเรื่องนี้ให้ได้ โดยยืมมือกลุ่มหน้ากากขาว และกลุ่มม็อบที่สนามหลวงของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นตัวจุดกระแส หากจุดกระแสติด ก็จะจุดกระแสเรื่องการล้มสถาบันตามมา เพื่อจะปลุกคนชั้นกลางออกมาล้มรัฐบาล จนเกิดการต่อต้านครั้งใหญ่จากคนเสื้อแดง ในที่สุดก็จะเข้าเงื่อนไขของการทำรัฐประหารอีกครั้ง หากเกิดขึ้นจริง รับรองคนเสื้อแดงไม่มีทางยอมแน่
แดง 17 จว.เหนือป้อง ครม.สัญจร
วันเดียวกัน ที่ศูนย์ประสานงานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จ.อุตรดิตถ์ นายปัณณวัฒน์ นาคมูล ประธาน นปช.อุตรดิตถ์ นายสิทธิชัย ต๊ะอาจ ประธาน นปช.เพชรบูรณ์ และนายจรัล บุญมาก ประธาน นปช.นครสวรรค์ ร่วมกันแถลงข่าวเพื่อเตรียมมวลชนไปปกป้องการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ที่ จ.กำแพงเพชร โดยสรุปว่า การแสดงออกทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยของกลุ่มต่างๆ นั้น สามารถทำได้ แต่การเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนอย่างที่กลุ่มหน้าเดิมๆ กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้ เป็นเรื่องที่ผิดปกติ พฤติกรรมดังกล่าวทางกลุ่ม นปช.ไม่สามารถยินยอมให้กระทำได้ และพร้อมที่จะออกมาปกป้องรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทุกรูปแบบ
ปชป.เหน็บรัฐล้มเพราะสนิมเนื้อใน
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่มีการพูดถึงนักธุรกิจที่สนับสนุนกลุ่มที่มีแนวคิดล้มรัฐบาลนั้น รัฐบาลไม่น่าจะกังวลเรื่องนี้ เพราะรัฐบาลนี้มีอำนาจเสียงข้างมากในสภาอยู่ในมืออยู่แล้ว และยังมีอำนาจรัฐ พร้อมทั้งมีเงินให้จับจ่ายใช้สอยจำนวนมาก จึงไม่ควรกังวลกลุ่มคนที่จะล้มรัฐบาล แต่ตนเห็นว่าสิ่งที่จะทำให้รัฐบาลไปต่อไม่ได้คือรัฐบาลและคนแวดล้อมรัฐบาลเอง เพราะขณะนี้การกระทำของคนที่มีอำนาจเหนือรัฐบาล รัฐบาล หรือคนแวดล้อมรัฐบาลล้วนสร้างผลกระทบต่อรัฐบาล รัฐบาลควรกังวลเรื่องนี้ เพราะเหมือนสนิมเกิดแต่เนื้อในเหล็ก ซึ่งตอนนี้สนิมรัฐบาลมีเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น ที่มีการกินหัวคิวจำนวนมาก ปล่อยให้คนภายนอกที่อยู่เหนือรัฐบาลเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ และยังมีการใช้อำนาจรัฐอย่างไม่เป็นธรรมอีกด้วย ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะเป็นสนิมที่รัฐบาลต้องกำจัดออกไป หากต้องการที่จะอยู่ครบเทอม ไม่ใช่ปล่อยให้มีปัญหาอยู่ และออกมาโวยวายว่าคนนั้นคนนี้จ้องล้มรัฐบาลซึ่งไม่เป็นประโยชน์
จวก พท.ให้ท้ายแดงใช้ความรุนแรง
นายองอาจ ยังกล่าวถึงกรณี น.พ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ออกมาแสดงความเห็นกรณีหน้ากากขาวที่บอกว่าจะให้คนเสื้อแดงกระทืบว่า คำพูดดังกล่าวจะเป็นการนำไปสู่ความรุนแรงในสังคม เพราะจะทำให้คนเสื้อแดงเกิดอาการไม่พอใจ ซึ่งตนเห็นว่ารัฐบาล และแกนนำคนเสื้อแดงควรปล่อยให้การเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่มต่างๆ เป็นไปตามปกติ โดยที่แกนนำหรือรัฐบาลไม่ควรให้ท้ายคนเสื้อแดงไปใช้ความรุนแรงกับกลุ่มอื่นที่ออกมาเคลื่อนไหว เพราะรัฐบาลและแกนนำคนเสื้อแดงเองต่างพูดถึงประชาธิปไตยตลอดเวลา ดังนั้นประชาชนไม่ว่ากลุ่มใดก็ตามที่ออกมาเคลื่อนไหวตามระบอบประชาธิปไตย อยู่ภายใต้กฎหมายไม่ทำผิดรัฐธรรมนูญ และไม่ก่อให้เกิดความรุนแรง ประชาชนก็มีสิทธิ์เคลื่อนไหวได้ อยากเรียกร้องไปยังแกนนำทุกกลุ่ม ทุกสี ที่จะออกมาแสดงจุดยืน หรือเคลื่อนไหวใดๆ นั้น ต้องอยู่ภายใต้กรอบที่กฎหมายกำหนด เคลื่อนไหวภายใต้รัฐธรรมนูญ และไม่นำไปสู่ความรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งจะช่วยทำให้บรรยากาศของบ้านเมืองเป็นไปในทางที่ดี
“สังศิต” ชี้กลุ่มหน้ากากขาวแค่สัญลักษณ์
วันเดียวกัน ที่อาคารสาทรธานี นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวผ่านหัวข้อขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่เพื่อประชาธิปไตย ในงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “ปรากฏการณ์หน้ากากขาว ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม” ซึ่งจัดโดย วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับกลุ่มกรีน โพลิติก, สถาบันพัฒนาการเมือง, ชมรม สสร.50 และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ว่า การเคลื่อนไหวแบบใหม่มีความแตกต่างจากการเคลื่อนไหวแบบเก่า คือ ไม่ได้ต่อสู้เพื่อต้องการอำนาจทางปกครอง ไม่เป็นประเด็นทางการเมือง เช่น การต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์, การพิทักษ์สิ่งแวดล้อม, ต่อต้านคอรัปชั่น โดยประเทศไทยได้เข้าสู่การเคลื่อนไหวแบบใหม่มาตั้งแต่ พ.ศ.2535 และมีพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และรอบล่าสุดที่เกิดใน พ.ศ.2549 โดยกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่รวมตัวเพื่อต่อต้านการยึดอำนาจ ซึ่งกลุ่มดังกล่าวถือเป็นขบวนการที่ใหญ่กว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ส่วนการเคลื่อนไหวแบบใหม่ของภาคประชาชนก็มีเกิดขึ้นมาทุกทวีปทั่วโลก กระบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มหน้ากากขาว เป็นเหมือนกับปรากฏการณ์เคลื่อนไหวที่มีมาทั่วโลกคือใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่มีผู้นำ คนที่มาร่วมการเคลื่อนไหวล้วนเป็นผู้มีการศึกษา ระดับปัญญาชน ที่มีความเห็นร่วมกันในประเด็นที่รัฐบาลบริหารประเทศแล้วมีผลประโยชน์ทับซ้อน หาประโยชน์เข้ากระเป๋าตนเอง หากวันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศว่าการใช้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างโปร่งใสและจะเข้าไปกำกับการใช้งบประมาณเอง เชื่อว่าคงไม่มีประเด็นที่กลุ่มหน้ากากขาวจะเคลื่อนไหว ส่วนประเด็นที่ต้องใส่หน้ากาก มีเหตุผลสำคัญเพราะกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัย และเป็นเพียงสัญลักษณ์ ผมว่าคุณเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ สบายใจได้ ไม่ต้องหาว่าใครเป็นแกนนำ เพราะการเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่มีใครเป็นผู้นำ และขอให้คุณเฉลิมยุติการยั่วยุให้สังคมเกิดความรุนแรงทุกรูปแบบหรือกล่าวหาใครแบบรายวัน
“สุริยะใส” ชูทรงพลังกว่าเสื้อหลากสี
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวในการเสวนาเดียวกันว่า จากการตรวจสอบพบว่า กลุ่มหน้ากากขาว เกิดขึ้นหลังจากการก่อตั้งของกลุ่มไทยสปริงส์เพียง 2 สัปดาห์ ซึ่งการเคลื่อนไหวของกลุ่มหน้ากากขาว เป็นการเคลื่อนไหวสมัยใหม่ โดยใช้โซเชียลมีเดีย นอกจากนี้การนำหน้ากากขาวมาใช้เป็นสัญลักษณ์ ถือเป็นแนวคิดที่ชาญฉลาด เพราะว่าทั่วโลกเห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่า สัญลักษณ์ดังกล่าวเป็นการต่อต้านอำนาจรัฐ อย่างไรก็ตาม หน้ากากขาว ไม่ใช่แฟชั่น หรือปรากฏการณ์ แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่สังคมน่าจับตามอง โดยสร้างพื้นที่เสมือนและโลกของความเป็นจริง และทรงพลังกว่ากระบวนการและเสื้อหลากสี ทำให้รัฐบาลหวาดกลัว เนื่องจากทางประชาชนที่มาเคลื่อนไหวนั้นเป็นชนชั้นกลาง
รัฐหิ้วชาวนาออกทีวีแจงจำนำข้าว
วันเดียวกัน ในรายการยิ่งลักษณ์พบประชาชน นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. เป็นวันข้าวและชาวนาไทย ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนา โครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการสำคัญที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนนั้นดีขึ้น ซึ่งได้มีตัวแทนชาวนาจาก จ.กำแพงเพชร ชัยนาท อ่างทอง อยุธยา ลบบุรี พิษณุโลก และสุพรรณบุรี มาเปิดเผยถึง ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนา ภายหลังรัฐบาลมีโครงการรับจำนำข้าว โดยนายถวิล ชาวนา จ.กำแพงเพชร เปิดเผยว่าความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ปัญหาเดียวกันที่เราแก้ไม่ตกปัญหานี้คือ เรื่องขั้นตอนการรับจำนำกว่าจะผ่านกว่าจะได้ใบประทวนและนำไปขึ้นกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ต้องใช้เวลา 2-3 เดือน และเกษตรกรที่ไม่มีทุนมาทำของตัวเอง ซื้อปุ๋ย ซื้อยา มาจากร้านค้า เพราะร้านค้าดอกเบี้ยขึ้นทุกวัน กว่าจะได้เงินรวมทั้งข้าวอยู่ในแปลงนา 4 เดือนกว่า แล้วกว่าจะได้เงินอีก 2-3 เดือน เป็น 5-6 เดือน พอได้เงินมาแทนที่จะได้มาลงทุนใหม่ต้องเอาไปใช้หนี้เสียค่าดอกเบี้ยเงินก็หมด และก็ต้องกู้มาใหม่อีก เพราะฉะนั้นชาวนาจะไม่มีการหมดหนี้ ถ้าระบบเป็นแบบนี้
อ้างราคาดีขึ้น-เปลี่ยนวิถีชีวิต
ด้านตัวแทนชาวนาจังหวัดอ่างทอง กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวช่วยให้เกษตรกรที่เมื่อก่อนเราขายข้าวกันราคาไม่ถึง 10,000 บาท ประมาณ 7,000-8,000 บาท แต่รัฐบาลรับจำนำอยู่ที่ 15,000 บาท ตอนที่เราไปขายเรื่องของความชื้นเราเกี่ยวสดได้ประมาณ 11,000-14,000 บาท ถือว่าดีมาก และอยากจะฝากรัฐบาลคือตอนแรก ท่านนายกรัฐมนตรีบอกว่าจำนำได้ทุกเมล็ด แต่ช่วงหลังมาตั้งกติกาที่เกิน 500,000 บาท และมาตรวจสอบกันทำให้เกษตรกรล่าช้า ของจังหวัดอ่างทอง ตอนนี้ร้อยรายที่ต้องผ่านกระบวนการ 9 ขั้นตอน ที่มาตรวจสอบย้อนหลัง จริงๆ ผ่านกระบวนการมาแล้ว ผ่านการประชาคม ผ่านการขึ้นทะเบียนมาแล้ว ทุกอย่างถูกต้องหมดแล้ว การรับรองของผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ถูกต้องหมด แต่มาตั้งกติกาเกิน 500,000 บาท ทำให้ล่าช้า เกษตรกรก็เดือดร้อน ถ้าหากเป็นไปได้คือจำนำได้ทุกเมล็ด โครงการรับจำนำข้าวขอให้มีต่อไป เพราะว่าเป็นขวัญและกำลังใจของชาวนาทั้งประเทศ และที่พูดว่ามีผู้สวมสิทธิ์ ผมว่าไม่จริง อาจจะเป็นการสร้างข่าวลือ หรืออาจจะเป็นบางที่ อันนี้ก็ขอฝากไว้ที่ได้พูดว่าสวมสิทธิ์ของจังหวัดอ่างทอง หรือของภาคกลางผมคิดว่าเป็นศูนย์
หนุนรัฐบาลสานต่อ
เมื่อถามว่า มีการดำเนินการอย่างไรเพื่อลดต้นทุน ไม่ใช่แค่เฝ้ารอจากโครงการรับจำนำข้าว แต่ได้มีการปรับปรุงตนเองอย่างไรบ้าง ตัวแทนชาวนา จ.กำแพงเพชร ตอบว่า การลดต้นทุนนี้ ต้องทำให้การทำนาที่ได้มาเป็นเกษตรกรปราดเปรื่อง การทำนานี้จะมี 3 แม่ การดูแลมี 3 ขั้นตอน และอื่นๆ จะมีอยู่ 7 ข้อ แต่ที่พูดวันนี้ไม่ได้อยู่ในเชิงลึก คำว่า 3 แม่ แม่ที่ 1 ที่สำคัญที่สุด นั่นคือแม่พันธุ์จากโครงการข้าว รับรองตรงตามสายพันธุ์ต้านทานต่อโรค และเป็นที่ต้องการของตลาด แม่ที่ 2 ที่สำคัญคือ ถ้าได้ผลประโยชน์จากแม่ สิ่งที่คืนให้แม่ก็เผาแม่เลย ผิดจากกลุ่มพวกเรา เมื่อได้ผลประโยชน์จากท้องไร่ท้องนาจากแม่พระนางธรณี เราก็คืนความอุดมสมบูรณ์กลับโดยไม่ทำลายธรรมชาติ การทำการเกษตรต้องทำการเกษตรแบบยั่งยืน คืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนแม่ที่สำคัญที่สุดอีกอันหนึ่ง ฝากถึงรัฐบาลชุดนี้คือเรื่องน้ำ เขาบอกว่า 2 แม่จะดีเลิศประเสริฐขนาดไหน ถ้าไม่มีแม่ที่ 3 คือแม่พระคงคา ซึ่งบางสถานที่แห้งแล้งน้ำไม่ทั่วถึง เกษตรกรทำกินลำบาก ฝากรัฐบาลช่วยดูแลพื้นที่ที่น้ำไม่เพียงของเกษตรกรไทย จะเหลื่อมล้ำกันตรงนี้น่าเป็นห่วงมาก และความรู้ต่างๆ ด้านการลดต้นทุนพวกเรารู้ เกษตรกรท่านใดสนใจข้อมูลการลดต้นทุนพวกเรายินดีให้ความรู้เหมือนอาจารย์บางท่านที่เรายกระดับ ซึ่งท่านจะมีแนวคิดอยู่ว่า ถ้ามีความรู้แล้ว ถ้าไม่แบ่งปันให้กับผู้อื่น เมื่อเราตายความรู้ก็ตายตามเรา แต่ถ้าเราปล่อยความรู้นี้ให้ผู้อื่น เช่น เกษตรกรไทยได้รับ เขาได้ความรู้ ถึงพวกเราตายไปแต่ความรู้เราไม่ได้สูญหาย เหมือนองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่าน สามารถนำความรู้จาก 100 เปอร์เซ็นต์ อาจจะดึงความรู้มาเพียงแค่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ก็ทำให้มีความสุขแล้วถ้าหากว่าทำได้
ป้อง “ปู” โต้ลอยตัวปัญหาจำนำข้าว
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) อย่าลอยตัวเรื่องโครงการรับจำนำข้าวนั้น รัฐบาลตามใจนายอภิสิทธิ์ไม่ถูก เพราะเมื่อนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลงานใกล้ชิดก็บอกว่าล้วงลูก แสดงว่ามีผลประโยชน์ แต่เมื่อนายกรัฐมนตรี มอบหมายงานให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปทำก็บอกว่าลอยตัว อีกทั้งนายกรัฐมนตรีเรียกประชุมสั่งการที่บ้านพิษณุโลก ก็บอกว่าก้นร้อน ขาลง ซึ่งสิ่งที่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหานั้น ตนมองว่าเป็นเกมการเมืองแบบเดิมๆ เพื่อลดความน่าเชื่อถือ ทั้งที่โครงการรับจำนำพืชผลทางการเกษตรเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ที่มีข้อมูลดีที่สุด ยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้นำประเทศ ไม่เคยลอยตัวหรือเลี่ยงความรับผิดชอบ ซึ่งท่านให้ความสนใจในการติดตามแก้ปัญหาของกระทรวงพาณิชย์ เพราะนโยบายจำนำข้าวเป็นประโยชน์ต่อชาวนา ในสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เคยทำโครงการประกันราคาข้าว มีชาวนามาก่อม็อบประท้วงทุกฤดูการผลิต แต่ยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้มีการประท้วง อีกทั้งผลสำรวจของอีสานโพล ก็เผยว่าคนอีสานใน 20 จังหวัดพอใจการแก้ปัญหาราคาข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงร้อยละ 61
พท.หงุดหงิดบุญทรงแจงจำนำข้าว
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ฟังการชี้แจงตัวเลขจำนำข้าวของนายบุญทรงแล้วหงุดหงิด ที่พูดแล้วประชาชนเข้าใจยาก ทั้งที่ชี้แจงได้ง่ายๆ เชื่อว่า นายบุญทรงคงไม่มีตัวเลขจริงเกี่ยวกับจำนวนข้าวที่ค้างสต๊อกและจำนวนข้าวที่ขายไปได้ในปี 55-56 ที่ทางองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การค้าภายในยังไม่ส่งข้อมูลมาให้ จึงไม่กล้าพูด ทำให้สังคมยิ่งเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งปกตินายบุญทรงเป็นคนพูดน้อย ไม่ค่อยอธิบาย ดังนั้นในการชี้แจงครั้งต่อไปนายบุญทรงต้องเตรียมอธิบายและมีข้อมูลประกอบให้มากกว่านี้ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าถูกโจมตี อย่างไรก็ตามส่วนตัวเห็นว่า นโยบายจำนำข้าวไม่ได้ล้มเหลว และเป็นประโยชน์ต่อชาวนา แต่ขึ้นอยู่กับฝ่ายปฏิบัติ ทั้งรัฐมนตรีและข้าราชการต้องไปปฏิบัติให้ดี
“มาร์ค” ย้ำจำนำข้าวเจ๊ง 2.6 แสน ล.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่รัฐบาลออกมาแถลงข่าวยืนยันว่า โครงการรับจำนำข้าวไม่มีการขาดทุนถึง 2.6 แสนล้านบาท แต่ไม่สามารถให้ตัวเลขการขาดทุนได้ เนื่องจากเป็นความลับนั้น รัฐบาลต้องทำความชัดเจนเกี่ยวกับสถานะของโครงการที่มีความสับสนหรือพยายามบ่ายเบี่ยง โดยยืนยันว่า ตัวเลขที่ใช้แถลงเป็นของราชการ ไม่มีของพรรคประชาธิปัตย์กำหนดขึ้นเอง นอกจากนี้ รัฐบาลพยายามบอกว่า ตราบใดที่ยังขายข้าวไม่หมด ก็จะไม่มีทางทราบว่าสถานะเรื่องการขาดทุนของโครงการจำนำข้าวเป็นอย่างไรนั้น ตนมองว่า เรียนว่าหากใช้หลักคิดนี้ตราบเท่าที่โครงการจำนำข้าวยังดำเนินการต่อ จะไม่มีทางทราบว่าขาดทุนเท่าไหร่ เพราะจะมีข้าวที่ขายออกไปและรับจำนำเข้ามาไม่จบไม่สิ้น อีกทั้งตนยังมองว่า การที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีประมาณการว่าการขาดทุนอยู่ที่ 220,976 ล้านบาท จึงมีพื้นฐานหลักคิดที่ตรวจสอบได้ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่สามารถสรุปตัวเลขได้เหมือนอย่างที่รัฐบาลอ้าง จากข้อมูลพบว่าเงินที่รัฐบาลใช้ในโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลว่าใช้ไปแล้ว 661,224 ล้านบาท แต่ในการแถลงข่าวรัฐมนตรีได้ระบุว่า สามารถนำเงินที่ระบายข้าวไปคืน ธ.ก.ส.ได้แล้ว 120,000 ล้านบาท และประเมินมูลค่าข้าวในสต๊อกว่าอยู่ที่ 226,000 ล้านบาท เท่ากับว่าเงินยังหายไปจากวงเงินที่ใช้อีกจำนวน 315,224 ล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การขาดทุนในโครงการจำนำข้าวไม่ถึง 2.6 แสนล้านบาท อีกทั้งในขณะนี้ตัวเลขทางการยืนยันชัดเจนแล้วว่า เกษตรกรได้รับประโยชน์ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเงินที่เสียไป เท่ากับเงินไม่ถึงมือชาวนา ดังนั้น ถ้ารัฐบาลจะเสียเงินกว่า 2 แสนล้านกับการขาดทุนในโครงการนี้ ก็น่าจะนำเงินก้อนดังกล่าวหารเฉลี่ยแจกให้กับชาวนา ซึ่งจะทำให้ชาวนาได้ประโยชน์มากกว่าปัจจุบันเท่าตัว
วอนรัฐบาลยอมรับความจริง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลยอมรับความจริง ซึ่งตนมีความกังวลใน 2 เรื่อง คือ 1.กระทรวงพาณิชย์ส่งสัญญาณว่าจะมีการทบทวนตัวเลขการขาดทุนของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีใหม่ ทั้งที่ตัวเลขดังกล่าวเป็นการคำนวณตามตัวเลขของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธ.ก.ส. ดังนั้น หากตัวเลขการปิดบัญชีผิดก็เท่ากับว่ามีการให้ข้อมูลผิดจากหน่วยงานเหล่านี้ ทั้งนี้ ตนคิดว่าน่าจะมีความพยายามเอาตัวเลขไปทบทวนเพื่อสร้างความสับสน เพราะรัฐบาลไม่ยอมรับว่าโครงการนี้สร้างความเสียหายต่อการเงินการคลังอย่างไร และ 2.รมช.พาณิชย์ กำลังขอเงินงบประมาณ 9 ล้านบาทเศษ เพื่อทำโครงการมวลชนโดยการทำงานสัญจรเรื่องจำนำข้าวนั้น ตนมองว่ามีแนวโน้มว่าจะไปยุให้เกษตรกรเข้าใจผิดว่า คนที่ออกมาท้วงติงโครงการจำนำข้าวไม่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกร นอกจากจะเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงแล้ว ยังเป็นการเพิ่มความแตกแยกในสังคม ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล และเป็นประธาน กขช.ได้รับรายงานตัวเลขไปแล้วกว่า 1 สัปดาห์ จะต้องรับผิดชอบด้วยการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะกำลังจะมีการเสนอ ครม.ให้ขยายวงเงิน และขยายกรอบ นายกฯ ต้องทบทวนโครงการนี้ทั้งหมด หาวิธีการอื่นในการช่วยเหลือเกษตรกร ไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการประกันรายได้ แต่ขอให้เป็นโครงการที่เงินถึงชาวนาทุกบาททุกสตางค์ ไม่ใช่ไม่ถึงครึ่งอย่างโครงการรับจำนำข้าว และต้องไม่ทำลายอนาคตข้าวไทย เกษตรกรไทยด้วย โดยพรรคประชาธิปัตย์จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะห่วงว่ารัฐบาลมีความพยายามปกปิดความจริง ในขณะที่นายกรัฐมนตรีหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่จะแก้ปัญหา
“หมอวรงค์” ซัดบุญทรงแจงฟังไม่ขึ้น
น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การชี้แจงของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เป็นการชี้แจงที่ฟังไม่ขึ้น และคิดว่าไม่สามารถชี้แจงได้ เพราะตัวเลขที่ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ดูแลกรมบัญชีกลางและสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ในฐานะประธานปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว ได้เปิดเผยมาก่อนหน้านี้เป็นตัวเลขที่สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน และ น.ส.สุภา ก็มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ จนได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลให้เป็นประธานปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว แต่พอทำตัวเลขออกมาไม่ตรงใจรัฐบาล จนเกิดปัญหาขึ้น สาเหตุที่นายบุญทรงไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้ เพราะเชื่อว่าตัวเลขจริงไม่แตกต่างไปจากที่ น.ส.สุภา สรุปออกมาก่อนหน้านี้ และไม่สามารถที่จะตกแต่งตัวเลขได้ การที่พยายามปกปิดตัวเลขการขาดทุนในครั้งนี้ จะไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล เพราะเป็นพฤติกรรมที่เลวร้ายกว่าการแถลงตัวเลขจริง เนื่องจากสังคมจับตามองเรื่องนี้มาก และรอที่จะเปรียบเทียบตัวเลขที่กระทรวงพาณิชย์ชี้แจง กับตัวเลขที่มีการเปิดเผยมาก่อนหน้านี้ การไม่เปิดเผยตัวเลขครั้งนี้ยิ่งจะทำให้สังคมสงสัย และถือว่าเข้าข่ายการปกปิดข้อมูล ซึ่งจะทำให้ความน่าเชื่อถือของเครดิตรัฐบาลจะยิ่งลดลง อยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่แต่งตั้งให้นายบุญทรงดำเนินการ เรื่องนี้ต้องรับผิดชอบทางใดทางหนึ่ง และนายบุญทรงที่ไม่สามารถชี้แจงข้อมูลโครงการได้ ก็สมควรที่จะทบทวนการทำหน้าที่ตัวเองได้แล้ว
เตือนปกปิดตัวเลขอันตราย
น.พ.วรงค์ กล่าวว่า ส่วนที่นายบุญทรงระบุว่า มีเงินเข้าโครงการและสามารถคืนเงินให้ ธ.ก.ส. ได้กว่า 1.2 แสนล้านบาทนั้น ไม่น่าจะใช่ตัวเลขจากโครงการรับจำนำข้าวทั้งหมด และอาจจะมีตัวเลขจากโครงการอื่น เช่น รับจำนำมันสำปะหลังกับยางพารา หรือเป็นตัวเลขจากโครงการรับนำข้าวเก่า ซึ่งจะนำมาใช้ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์หลังจากนี้ รัฐบาลจะไม่มีความน่าเชื่อถือ เพราะสัญญากับสังคมไว้แล้ว แต่แถลงไม่ได้ ส่วนกรณี พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ออกมาชี้แจงตอบโต้การอภิปรายโครงการจำนำข้าวในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ที่ผ่านมานั้น เป็นความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นจากที่ตนอภิปราย เพราะมีการอ้างว่า ตนถูกตำหนิจากผู้ใหญ่ในพรรคนั้นไม่เป็นความจริง และยืนยันว่าข้อมูลที่ตนอภิปรายและยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นตัวเลขจริง นอกจากนั้น ก็พยายามเบี่ยงเบนประเด็นเรื่องที่ว่าตนไปใส่ร้ายภรรยาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริต ทั้งที่ตนแค่อภิปรายเชื่อมโยงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกับเสี่ยเปี๋ยง และมีการพยายามเดิมพันตำแหน่งกับตนในเรื่องที่ว่าการประมูลถูกต้องหรือไม่ ทั้งที่ตนอภิปรายว่ารัฐบาลขายข้าวในราคาถูก ไม่ใช่การทุจริตในการประมูลข้าว อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ เตรียมข้อมูลที่จะไปชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ดีกว่า ส่วนกรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ปฏิเสธว่าเคยประกาศท้าเดิมพันด้วยตำแหน่งหากโครงการรับจำนำข้าวขาดทุนเกิน 6 หมื่นล้านบาทนั้น นพ.วรงค์ กล่าวว่า ตนเข้าใจว่า ตอนนี้กระแสสังคมบีบนายกิตติรัตน์มาก เพราะมีการเปิดเผยตัวเลขการขาดทุนจำนำข้าวที่สูง จึงทำให้มีแรงกดดันให้นายกิตติรัตน์รับผิดชอบ และเชื่อว่าเป็นการไวท์ไลอีกรอบของนายกิตติรัตน์เท่านั้น
“ปปช.” ตั้ง 2 อนุฯ สอบจำนำข้าว
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมา 2 ชุด เพื่อไต่สวนนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เกี่ยวกับเรื่องโครงการรับจำนำข้าว ตามที่ น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ และบุคคลอื่นที่ได้ร้องเรียนมา ซึ่งมีทั้งในภาพรวมและการให้ตรวจสอบการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เพราะจากการตรวจสอบเอกสารที่ยื่นมานั้น พบว่ามีข้อมูลข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะตั้งอนุกรรมการไต่สวนนายบุญทรงในเรื่องโครงการรับจำนำข้าว โดยมอบให้กรรมการ ป.ป.ช. 3 คน คือ นายวิชา มหาคุณ, พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง และนายกล้านรงค์ จันทิก เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ


วันที่ 9/06/2556 เวลา 7:55 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น