วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กระสอบข้าว "ใกล้ทับ" ยิ่งลักษณ์ เมื่อ 10 มิ.ย.56

กระสอบข้าว "ใกล้ทับ" ยิ่งลักษณ์


 ลงท้าย...เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ "ดิ้นไม่หลุด" จากตัวเลข "คณะกรรมการปิดบัญชี" กระทรวงการคลังที่ว่า การรับจำนำข้าวมีผลขาดทุนกว่า ๒.๖ แสนล้าน ถึงพาณิชย์จะออกมาปฏิเสธว่าไม่ถึง แต่ก็ไม่สามารถนำตัวเลขซื้อ-ขายข้าวในมือตัวเองมาแสดงได้ว่า "แล้วที่ว่าถึงนั้น...มันคือเท่าไหร่?" เมื่อถูกต้อนจนหลังชนฝา รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็เผยลายระบอบทักษิณ
    "...โกงไม่เป็นไร แบ่งปันให้ชาวนาได้ด้วย!"
    นี่แหละจุดประสงค์นักการเมืองใช้ประชานิยมเป็นยาเสพติดมอมประชาชนก็อยู่ตรงนี้ เมื่อจนแต้ม รัฐบาลก็จะจับชาวบ้านเป็นตัวประกัน ซึ่งเห็นชัดในกรณีนี้ 
    คือเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกจับได้ว่า โครงการรับจำนำข้าวส่อทุจริต ก็จับชาวนาเป็นตัวประกัน พลิกประเด็นที่โกงกินกันมาพูดในอีกด้าน "ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ทำอย่างนี้ เพราะเป็นนโยบายช่วยเหลือชาวนา รู้กันอยู่แล้วว่ามันต้องขาดทุน แต่มันเป็นการขาดทุนที่ชาวนาได้"
    ก็เถลือกไถลกันไป...กะให้ควายหลงเชื่อ ที่ว่าขาดทุน ๒.๖ แสนล้านนั้น มันไปอยู่ในกระเป๋าชาวนา"!
    ครับ...มันด้านจนผมอายแทน ในหลักการช่วยเหลือชาวนานั้น ไม่มีใครค้าน แต่เขาไม่เห็นด้วยในวิธีการ "รับจำนำทุกเมล็ดเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ซึ่งสูงเกินจริง เป็นความสูงที่ซ่อนเร้นเจตนาไม่สุจริตของรัฐบาลไว้ ขนาดนายกสมาคมชาวนายังออกปาก "แค่เกวียนละ ๑๐,๐๐๐ ก็พอใจแล้ว"
    ในขณะที่ชาวนาได้เกวียนละ ๑๐,๐๐๐ ก็พอใจ แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้อง ๑๕,๐๐๐ ถึงพอใจ เพราะอย่างนี้ เพื่อนเก่าผมทางฝั่งปอยเปตถึงได้มาถาม
    "รู้จักคนชื่อสุนีย์มั้ย?"
    ผมงงว่าสุนีย์ไหน ร้อยวันพันปีไม่เคยมาถาม ไหงมาถามตอนนี้ เขาก็บอกว่า "เจ๊สุนีย์ที่รับส่งสินค้าชายแดนทางปอยเปตนี่ไง"
    ผมบอกไม่รู้จัก และถามกลับไปว่า...ทำไม มีอะไรหรือ เพื่อนก็ว่า
    "ไม่มีอะไร นึกว่ารู้จัก เห็นเจ๊สุนีย์เข้ามาปลูกข้าวฝั่งเขมรตั้งร่วม ๑๐,๐๐๐ เฮกเตอร์ ลำเลียงเข้ามาขายฝั่งไทยรวยไม่รู้เรื่อง"!
    ใครคือเจ๊สุนีย์ผมก็ไม่ทราบ ถ้ายิ่งลักษณ์อยากทราบ ให้โอนความอยากไปให้นายธาริตรับเป็นคดีพิเศษก็ได้ แต่ฟังที่เพื่อนเก่าเล่าให้ฟัง แล้วย้อนไปดูข่าวที่รัฐมนตรีเขมรแถลงวันก่อนที่ว่า ปีนี้...ส่งข้าวขายไทยได้สูงเป็นประวัติการณ์
    อืมมมม มันก็เข้าเค้านะ!? 
    ความจริงทางปฏิบัติ ที่ว่ารับจำนำทุกเมล็ดของรัฐบาล คือเป็นพ่อค้ารับซื้อข้าวทุกเมม็ด "ด้วยราคาเหนือตลาด" ซื้อแล้วขายกระทั่งราคาทุนก็ยังไม่ได้ เก็บไว้เน่าล้นโกดัง เวียนเทียนกันเองบ้าง มุมมิบส่งเข้า-ส่งออกกันเองบ้าง คุยว่าโปร่งใส-ตรวจสอบได้ แต่ทุกอย่างกลับเป็นความลับดำมืด
    เป็น "กระทรวงพาณิชย์" ล้านปีที่แล้ว!
    งบประมาณซื้อข้าว ๖ แสนกว่าล้าน เอาไปทำอะไรกันบ้าง ถึงมือชาวนาซักกี่บาท ขายจีทูจีกับประเทศไหน ขายไปกี่ตัน ขายราคาเท่าไหร่ การค้าเสรียุคยิ่งลักษณ์กลับเป็นความลับทั้งหมด กระทั่งกำไร/ขาดทุน แค่ไหน-อย่างไร ในรอบปี-รอบบัญชี ก็ไม่มี 
    อ้างภาษาควายผูกโบ "ต้องรออีก ๒-๓ ปี ขายข้าวหมดแล้วถึงจะรู้"!
    นี่...ตรงนี้ตะหากที่ไม่เพียงคนไทยทั้งประเทศสงสัย คนนอกชาติ-นอกภาษา กระทั่งสหประชาชาติ และมูดีส์ ยังสงสัย ในความไม่โปร่งใสรัฐบาลระบอบทักษิณ ที่ยึดหลักการ "โกงไม่เป็นไร ได้แล้วเอามาแบ่งกัน" ในการบริหาร!
    ตรงนี้เป็นอุทาหรณ์กับทุกคนที่มาเป็นรัฐบาล เมื่อใช้ประชานิยม อย่าคิดว่าใช้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าชั่วครั้ง-ชั่วคราวแล้วจะเลิกได้ 
    มันเหมือนยาเสพติด จะติดทั้งผู้ขาย "คือรัฐบาล" และผู้ซื้อ "คือชาวบ้าน" เอาเข้าจริง...มันเลิกไม่ได้ ทุกอย่างมันสมประโยชน์-ลงตัว รัฐบาลได้คะแนนนิยม ชาวบ้านได้เงินฟรี-ของฟรี แต่เป็นฟรีที่ทำลายทั้งอนาคตคน-อนาคตประเทศในระยะกลางและยาว
    ไม่ต้องดูไกล เอาแค่นโยบาย รถเมล์ฟรี-น้ำฟรี-ไฟฟรี แก๊สหุงต้มราคาอุ้ม ต้องต่ออายุไปทีละเดือน...ทีละเดือน จากเดือนกลายเป็นปี จากปีกลายเป็นปีๆ จนถึงขณะนี้ จากรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ผ่านรัฐบาลอภิสิทธิ์ มาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ งอมแงมทั้งรัฐบาล-ทั้งชาวบ้าน
    "เลิกไม่ได้"...เป็นประชานิยมถาวรไปแล้ว!
    และนับวัน ทุกโครงการประชานิยม เมื่อรัฐบาลหนึ่งมอมชาวบ้านไว้ ใครมาต่อ ก็ต้องมอมต่อเนื่องกันไปไม่สิ้นสุด กลายเป็น "ภาระ-หน้าที่" ที่ใครมาเป็นรัฐบาลต้องป้อนสารเสพติดนี้เรื่อยไป เป็นเรื่องน่าห่วงและอันตรายยิ่ง ผู้หวังดีต่อชาติบ้านเมืองควรต้องคิดหาทางแก้ไข 
    ขืนปล่อยนานไป ๑๐-๒๐ ปี ประชานิยมเข้ากระดูกดำ ชาวบ้านส่วนหนึ่งจะไม่คิดทำมาหากินอะไร คอยแต่เงินแจก-ของฟรี นายกฯ เป็นกระดี่แถกแลกเสียง จะล่มสลายกันไปทั้งสังคมชาติ-สังคมประชาชน อย่างอาร์เจนตินา ซึ่งจนบัดป่านนี้ 
    ๒๐-๓๐ ปี ก็ยังกู้ไม่ฟื้น!
    เรื่องนโยบายมอมเมาให้ประชาชนเสพติดนี่ ถ้าศึกษาให้ดี จะเห็นเลยว่าที่ยุโรปพังขณะนี้ ต้นรากก็จากประชานิยมในรูปแบบ "รัฐสวัสดิการ" นั่นแหละ และตอนนี้แทนที่จะสำนึกและหาทางแก้ไข ตรงกันข้าม ทั้งสหรัฐ-ญี่ปุ่นกลับนำประชานิยมมาใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจ และยุโรปซีกใต้ โดยฝรั่งเศส ก็กำลังจะนำมาใช้บ้าง
    นั่นคือ QE ปั๊มกระดาษเป็นดอลลาร์ เป็นเยน เป็นยูโร ใช้เอง โดยไม่ต้องมีแบบแผน มีทองคำ มีเงินตราสกุลอื่นๆ หรือทรัพย์สินมีมูลค่าสูงใดๆ ในท้องคลังหนุนหลัง นอกจาก...
    "ไซส์รองเท้า!"
    จะเห็นง่ายๆ ว่าทั้งโลกเสพติดขนาดไหน แค่ "นายเบอร์นันเก" พูดเป็นนัยๆ เท่านั้นว่า ไตรมาสที่ ๓ อาจลดขนาด QE ตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดทอง ป่วนทั้งโลก กลัวสหรัฐลดขนาด แค่ลดโลกยังป่วน ถ้าเลิกเลย...มันจะขนาดไหน?
    เราอย่ายอมให้ประเทศไทยตกอยู่ในกับดัก "QE มอมโลก" ได้เป็นอันขาด ขืนถลำเข้าไป จะเหมือนเรืออีแปะพายเข้าใกล้เรือรบ จะถูกกระแสน้ำเรือใหญ่ดูดเรืออีแปะจมเข้าไปใต้ท้องเรือรบไม่ได้ผุด-ได้เกิด
    เงื่อนไขปัจจัยทางสังคมแต่ละชาติเป็นตัวกำหนดเศรษฐกิจ เขาแก้ของเขาด้วยเหตุผลสอดคล้องสังคมเขา ส่วนของเรา เศรษฐกิจก็อยู่บนฐานเงื่อนไขปัจจัยทางสังคมแบบของเรา ต้องเข้าใจตรงนี้ ขืนไปเดินตามเศรษฐกิจติด QE เขาฟื้น 
    เราจะฟุบ ถึงขั้นจมหายใต้ท้องเรือใหญ่ไปเลย!
    ที่พูดนี่ ไม่ได้หวังให้นางสาวยิ่งลักษณ์ได้ยิน แต่หวังให้คนที่จะมาเป็นผู้นำบริหารคนต่อไปได้สำเนียกไว้ ลำพังยิ่งลักษณ์นั้น ตอนนี้ "เสียผู้-เสียคน" ทางความเป็นผู้นำบริหารไปแล้ว  
    เคยเป็น CEO ชินคอร์ป ไม่รู้เป็นได้ไง เพราะไม่รู้จักข้อมูล ไม่รู้จักบัญชี แสดงว่าเป็นโดยเขาเชิดไว้ เพราะถ้าเป็นตัวจริง จะปล่อยให้ลูกน้องใช้เงินกว่า ๖ แสนล้าน แล้วทำเอ๋อๆ โดยไม่รับผิดชอบได้อย่างไร ว่า... 
    ฝ่ายปฏิบัติคือกระทรวงพาณิชย์ รายงานด้วยข้อมูล ด้วยตัวเลขงบดุลทางบัญชีในรอบเดือน/รอบไตรมาส/รอบปี อย่างไรบ้าง สินค้าคงเหลือ สินค้าเสื่อมสภาพ ค่าบริหารสภาพ ต่างๆ นานา สถานภาพปัจจุบันอยู่ตรงไหน สรุปแล้ว ขาดทุน/กำไร ขนาดไหน อย่างไร?
    พื้นฐานขั้นต้นแค่นี้ ยิ่งลักษณ์ต้องรู้ ถ้าไม่รู้ ไปฝึกเป็นนางแบบท็อปโมเดลจะถูกทางกว่ามาเป็นนายกฯ เจว็จ!
    ทำเป็น "นางลอย" ไปเถอะ โดยตำแหน่งนายกฯ ใช่ว่าจะลอยตัวเหนือความรับผิดชอบไปได้ ได้ยินมั้ย เมื่อวาน (๑๐ มิ.ย.๕๖) คุณวิชา มหาคุณ ป.ป.ช. ผู้เป็นกรรมการไต่สวนโครงการรับจำนำข้าว ท่านเปรยๆ
    "......กำลังเร่งไต่สวนคดีนี้อย่างเต็มที่ คืบหน้าไปแล้ว ๕๐% ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบตัวเลขการดำเนินโครงการว่า มีการขายข้าว ส่งออกข้าว และจำนำข้าวไปจำนวนเท่าใด รวมถึงตรวจสอบเส้นทางการเงินว่ามีการเข้าออกไปยังใครบ้าง เพราะตัวเลขเหล่านี้ยังไม่มีความชัดเจน แต่ยังติดปัญหาเรื่องกระทรวงพาณิชย์ไม่ยอมส่งข้อมูลหลักฐานตัวเลขการขายข้าวและส่งออกข้าวมาให้ ป.ป.ช. ทั้งที่ ป.ป.ช.ขอไปนานแล้ว และทวงแล้วทวงอีกอยู่ตลอด
    ป.ป.ช.กำลังพิจารณาอยู่ว่า หากยังไม่ได้รับความร่วมมือ ก็จะมีมาตรการดำเนินการเรื่องการละเว้นปฏิบัติหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนกรณีที่กระทรวงพาณิชย์ปกปิดตัวเลขการขาดทุนในโครงการจำนำข้าวนั้น ป.ป.ช.ก็กำลังติดตามตรวจสอบอยู่เช่นกัน” 
    แต่เท่าที่ดูๆ มา ลูกพี่คือยิ่งลักษณ์ ลูกน้องคือบุญทรง ตอนนี้ "จนทาง" ไม่รู้จะหารูรอดได้ตรงไหน ผมแนะให้หันหน้าเผชิญความจริงเถอะ หยิบสูตรที่อดีตรัฐมนตรีคลัง "คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล" โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กมาทำการบ้านหาตัวเลขไปตอบนักข่าว เขาจะได้ไม่ว่าเป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรี โมฆสตรี-โมฆบุรุษ
    ผมจะยกที่คุณธีระชัยโพสต์ไว้เมื่อ ๘ มิ.ย. มาให้อ่านทั้งดุ้นเลย ดังนี้
    "เมื่อวานนี้ รัฐมนตรีพาณิชย์แถลงว่ายังไม่สามารถคำนวณกำไรขาดทุนจำนำข้าวได้ เพราะต้องรอให้ขายข้าวจนหมดเสียก่อน เฮ้อ!!! ฟังแล้วลมจับ สงสัยจะต้องรอไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเสียแล้ว
    กระทรวงพาณิชย์มีหน้าที่กำกับดูแลนักบัญชีทั่วประเทศ แต่กลับไม่ปฏิบัติตามหลักการบัญชีเสียเอง เป็นที่น่าละอายมากนะครับ
    ถ้าบริษัทธุรกิจเอกชนขอใช้หลักการนี้บ้าง จะได้หรือไม่ กรณีบริษัทซื้อสินค้ามาล็อตใหญ่ ขายไปเพียงบางส่วน ที่เหลือยังค้างอยู่ในสต็อก จะขออ้างว่า เนื่องจากยังมีสินค้าที่ขายไม่หมด ก็เลยขอยังไม่ปิดบัญชีประจำปี 
    ธุรกิจเอกชนจะขอทำเหมือนกระทรวงพาณิชย์ได้หรือไม่ครับ
    ข้าราชการกระทรวงการคลังควรจะชี้แนะหรือประท้วงพฤติกรรมของข้าราชการกระทรวงพาณิชย์นะครับ เพราะหากบริษัทเอกชนต่างหันใช้หลักการเดียวกันนี้ บริษัทจะไม่มีการปิดบัญชีกำไรขาดทุน แล้วกระทรวงการคลังจะเก็บภาษีประจำปีกันอย่างไรเล่าครับ
    ผมก็บังเอิญเคยเรียนวิชาสอบบัญชีที่ประเทศอังกฤษ จึงขออธิบายหลักวิธีทางบัญชีไว้ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจนะครับ
    ก.ทุกองค์กรต้องมีการปิดบัญชีเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเป็นทุกเดือน หรือทุกสามเดือน ทุกหกเดือน หรือทุกสิบสองเดือนก็ได้ แต่โดยทั่วไปต้องไม่เกินรอบสิบสองเดือน
    ต่อไปนี้ สมมุติต้องการปิดบัญชี ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ (เพื่อให้ตรงกับของคณะกรรมการปิดบัญชี) ก็ให้หาข้อมูลสามบรรทัดตามนี้
    ข.จนถึงวันที่ดังกล่าว รัฐบาลใช้เงินไปในการรับจำนำสะสมเป็นจำนวนเท่าใด ก็ตั้งไว้เป็นบรรทัดแรก
    ค.จนถึงวันที่ดังกล่าว รัฐบาลขายข้าวไปทั้งสิ้นได้เงินเท่าใด ก็ใส่เป็นบรรทัดที่สอง
    ง. ณ วันที่ดังกล่าว มีการตรวจนับสต็อกโดยบุคคลที่เชื่อถือได้หรือยัง เขาพบว่ามีข้าวอยู่จริงๆ เท่าใด ให้ใช้เฉพาะตัวเลขที่นับสต็อกเหลืออยู่จริงๆ 
    จ.สต็อกข้าวที่มีอยู่ ณ วันที่ดังกล่าว มีคุณสมบัติและสภาพเฉลี่ยอย่างไร ให้ตีตามราคาตลาดในวันนั้น โดยลดทอนราคาตลาดลงตามสภาพเฉลี่ย เป็นบรรทัดที่สาม
    ช.กำไรขาดทุน ก็คือคำนวณโดยเอาบรรทัดแรกลบด้วยบรรทัดที่สองและบรรทัดที่สามเท่านั้นเอง
    ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับ ว่าถ้าตั้งใจทำกันจริงๆ แล้ว จะไม่ยากเย็นอะไรเลย
    วันนี้มีผู้สื่อข่าวถามผมว่ากรณีนี้จะเป็นต้นเหตุให้รัฐบาลพังหรือไม่ ผมตอบว่าไม่ทราบ เพราะไม่ชำนาญด้านการเมือง
    แต่ผมอยากจะตอบในที่นี้ ถึงแม้ผมไม่ทราบว่ารัฐบาลจะพังหรือไม่ แต่ที่ผมทราบแน่ๆ  ก็คือ ในฐานะประชาชนผู้เสียภาษี พวกเราพังกันหมดแล้วครับ
    ถ้าใช้ตัวเลขขาดทุนแบบกลมๆ ๒ แสนล้าน เฉลี่ยต่อคนสำหรับคนไทยทั้ง ๖๗ ล้านคน ก็เป็นเงินคนละเกือบ ๓ พันบาทแล้วครับ นี่นับหัวเฉลี่ยลูกเด็กเล็กแดงไปด้วยทุกๆ คน
    แต่ผมคิดว่าคนที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในแต่ละปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างกินเงินเดือนนั้น คงมีไม่ถึง ๕ ล้านคน ถ้าใช้ตัวเลข ๕ ล้านคน ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นตัวหาร ภาระจะตกคนละ ๔ หมื่นบาททีเดียวครับ
    ถ้าขาดทุนบานออกไปเป็น ๓ แสนล้าน ภาระก็จะเพิ่มเป็นคนละ ๖ หมื่นบาท
    รัฐมนตรีคลังกับรัฐมนตรีพาณิชย์ร่วมกันสร้างภาระให้แก่ประชาชนมากขนาดนี้ ก็ควรจะปิดบัญชีให้เขาดูกันหน่อยซิครับ ประชาชนเขาจะได้รู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับเลือดที่ไหลออกไปกันหน่อย".

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น