วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แม้วซ่อมDNAโกง สำรอกใส่รธน.ด่ากราดแบงก์ชาติ-ศาล/ซัด‘นพดล’แพร่ข้อมูลเท็จ เมื่อ 12 พ.ค.56



แม้วซ่อมDNAโกง สำรอกใส่รธน.ด่ากราดแบงก์ชาติ-ศาล/ซัด‘นพดล’แพร่ข้อมูลเท็จ



ถล่มแถลงการณ์ลวงโลก บิดเบือนข้อเท็จจริง ฟอกแม้ว-ชินวัตร อ้างอัปยศ! สงครามยาเสพติดตายแค่ 50 ศพ ส่วน 2.5 พันศพเกิดจากอาชญากรรมทั่วไป  สุดแถครอบครัวชินฯ ไม่ได้มีกิจการผูกขาด และได้สัมปทานจากรัฐบาลพลเรือนในปี 32 แต่พบภาพถ่ายคนหน้าเหลี่ยมยืนห่อไหล่กุมเป้าดอดพบ "ประธาน รสช."  หลังรัฐประหารปี 34 ก่อนได้สวาปามไทยคม
"นพดล"   อ้อมแอ้มบอกนายใหญ่ไม่ได้รวยจากทำดาวเทียม เผยหนังสือโต้ประชาธิปัตย์ส่งถึงสถานทูตแล้ว "ทักษิณ" โผล่โพสต์เรื่องความบกพร่องของ DNA มนุษย์ กระทบกระเทียบแดกดันองค์กรอิสระ ศาล แบงก์ชาติก็โดน
    แถลงการณ์ 10 ข้อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมอบหมายให้นายนพดล ปัทมะ ในฐานะที่ปรึกษากฎหมายเขียนขึ้น แล้วชี้แจงไปยังสถานทูตประจำประเทศไทย เพื่อตอบโต้แถลงการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่โต้แย้งปาฐกถาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ประเทศมองโกเลียนั้น
    พบว่า ในหลายข้อมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง เช่น กรณีนโยบายปราบปรามยาเสพติด ที่อ้างตัวเลขว่ามีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจริงเพียงแค่ 50 ราย แต่จำนวน  2,500 ศพนั้น เป็นตัวเลขการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ และจากทุกอาชญากรรมในช่วงเวลาหนึ่ง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยมีนโยบายยิงเพื่อสังหารผู้ค้ายา และไม่เคยสั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายไปฆ่าใคร
    นายคณิต ณ นคร ซึ่งเคยเป็นประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ ศึกษาและวิเคราะห์การกำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้โทษ และการนำนโยบายไปปฏิบัติจนเกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียงและทรัพย์สินของประชาชน (คตน.) กล่าวเมื่อวันเสาร์ถึงเรื่องนี้ว่า ต้องไปอ่านรายงานของ คตน. ที่แต่งตั้งในสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี โดยรายงานของ คตน.สรุปว่า มีการกระทำความผิดอาชญากรรมต่อมนุษยชาติเกิดขึ้น มีการเสียชีวิตจากนโยบายการทำสงครามต่อต้านยาเสพติดจริงตามรายงานของ คตน.
    “แต่พอรัฐบาลเปลี่ยนมาเป็นสมัยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิก คตน. ผมได้เขียนหนังสือรวบรวมข้อเสนอแนะตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยได้เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ แต่ต่อมา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กลับบอกว่าไม่มีการฆ่ากันเลย ซึ่งหนังสือเล่มดังกล่าวได้ต่อว่า ร.ต.อ.เฉลิม ว่าหาคะแนนใส่ตัว ทั้งที่ผมได้ชี้ชัดไปแล้วว่ามีการตายเกิดขึ้น เนื่องจากมีการตั้งบัญชี ให้จัดการผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวมทั้งได้กำหนดเวลาชัดเจน และมีการสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษร” นายคณิตกล่าว
    ขณะที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงที่พรรคถึงแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ผิดข้อเท็จจริงหลายประการ เช่น ที่ระบุว่าการตั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการแทรกแซงและใช้อำนาจลับ ทั้งที่ข้อเท็จจริงเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยสมาชิกรัฐสภา ส่วนประเด็นที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ประโยชน์จากรัฐบาลเผด็จการ แต่ความจริงกลับได้รับสัมปทานสัญญาดำเนินการดาวเทียม ซึ่งมีการเซ็นสัญญาชัดเจนเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2534
    นายชวนนท์กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่นายนพดล บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีทรัพย์สินก่อนเข้าสู่การเมือง 60,000 ล้านบาท แต่ตนพบการแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. เมื่อปี 2540 ในรัฐบาล พล อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จำนวน 23,878 ล้านบาท และในปี 2544 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ 1 จำนวน 15,204 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นตัวชี้และมัดตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ามีการซุกหุ้นและทุจริตคอรัปชั่นเชิงนโยบายจริง
ชินวัตรได้ดีหลังรัฐประหาร
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มอบหมายให้นายนพดลเขียนขึ้นนั้น ในข้อที่ 1 ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวร่ำรวยมานานก่อนเข้าสู่การเมืองในปี 2537 ความร่ำรวยของครอบครัวได้ถูกประเมินไว้ไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณเข้ารับตำแหน่งนักการเมืองครั้งแรกในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในปี 2537 ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนแรกและคนเดียวที่ชนะการเลือกตั้งทั่วไป 2 ครั้งติดต่อกัน ในปี 2544 และ 2548
    “ธุรกิจโทรคมนาคมที่ครอบครัวเป็นเจ้าของ ไม่ได้เป็นกิจการผูกขาด เพราะมีผู้แข่งขันรายอื่น และสัมปทานได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย จากรัฐบาลพลเรือนในปี 2532 ไม่ใช่จากรัฐบาลทหาร ตามคำกล่าวหาเท็จโดยพรรคประชาธิปัตย์” แถลงการณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุ
    จากการตรวจสอบพบว่า ในปี 2532 ครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณได้รับสัมปทานธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกจาก อสมท ในชื่อ “ไอบีซี” ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับบริษัท เคลียร์วิว ไวร์เลส ของนายวิลเลียม ไลล์ มอนซัน นักธุรกิจชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงตามที่แถลงการณ์อ้างถึง
    แต่แถลงการณ์ไม่ได้ระบุถึงเหตุการณ์หลังคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) รัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ที่ครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณได้รับสัมปทานดาวเทียมไทยคม ในชื่อบริษัท ชินวัตร แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
    ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ปาฐกถาที่ประเทศมองโกเลีย โดยระบุว่า ครอบครัวชินวัตรเจ็บปวดจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกต โดยเฉพาะภาพถ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ในท่าห่อไหล่ยืนกุมเป้า โดยมี พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ หรือ “บิ๊กจ๊อด” ประธาน รสช.ยืนโอบไหล่ ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายหลังรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้รับสัมปทานดาวเทียมไทยคม
    นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวถึงกรณีที่แถลงการณ์ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณถูกสอบสวนโดย คตส.ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร และสมาชิกประกอบไปด้วยบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงขัดกับหลักนิติธรรมว่าไม่เกี่ยวกับการตั้งข้อกล่าวหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ปัญหาคือ พ.ต.ท.ทักษิณทำผิดจริงหรือไม่ เพราะตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจอยู่ ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตำรวจก็เป็นพวกเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่มีใครทำงานเลย
    “ดังนั้น พอมีการรัฐประหารแล้ว ก็มีการเอากฎหมายมาทำงาน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณทำผิดอะไรไว้ก็ต้องมีการตรวจสอบ อะไรที่ผิดก็ต้องฟ้องศาล หากไม่มีหลักฐาน พ.ต.ท.ทักษิณก็ชนะ ซึ่งก็ชนะไปหลายคดี และแพ้เป็นบางคดี ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ” นายแก้วสรรระบุ
“แก้วสรร” จวกเผด็จการ
    ผู้สื่อข่าวถามว่า แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เรียกร้องให้ฝ่ายตรงข้ามเคารพประชาธิปไตย หลักนิติธรรม และความยุติธรรม นายแก้วสรรกล่าวว่า ประชาธิปไตยของเขาคืออะไร ใครที่เป็นเผด็จการและครอบงำประชาธิปไตยอยู่ พยายามครอบงำระบอบกฎหมายจนทำให้คนไม่ยอมรับ เอาเสียงข้างมากมาทำลายการตรวจสอบทั้งหมด จึงอยากถามย้ำว่าประชาธิปไตยคืออะไร คือเสียงข้างมากทำอะไรก็ได้แล้วใครห้ามมาขวางใช่หรือไม่ การกระทำแบบนี้มันไม่ใช่ประชาธิปไตย
    นายกิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความเห็นว่า การทำแถลงการณ์ที่จะชี้แจงไปยังต่างประเทศนั้น ควรที่จะเป็นข้อมูลข้อเท็จจริง เพราะหากให้ข้อมูลผิด ก็จะสร้างความเสียหายให้กับตัวผู้ออกแถลงการณ์ในเรื่องความน่าเชื่อถือ และยังสร้างความเสียหายให้กับส่วนรวมอีกด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่แถลงการณ์ดังกล่าวปฏิเสธว่า ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่เคยดำเนินการ ในการพยายามออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านโดยไม่มีความผิด
    “ทั้งที่เหตุการณ์ในขณะนั้น นายสมัครประกาศหลังจากเข้ารับตำแหน่งว่าจะนิรโทษกรรมให้กับ 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณรวมอยู่ด้วย และมีความพยายามผลักดันกฎหมายปรองดอง ซึ่งก็ทำให้มีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองขึ้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ผู้คนในประเทศต่างก็รู้ แต่ก็อาจจะมีบางคนที่หลงลืมไป
    ผมอยากให้การออกแถลงการณ์ชี้แจงไปยังต่างประเทศนั้นมีความรอบคอบมากกว่านี้ เพราะหากชี้แจงข้อมูลที่ผิดพลาด ก็จะทำให้เสียความน่าเชื่อถือ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่านายนพดลลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือตั้งใจที่จะบิดเบือนข้อมูลในเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายนพดล รู้ว่าแถลงการณ์ดังกล่าวไม่ตรงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ก็ควรแก้ไขให้ถูกต้องก่อนที่จะส่งแถลงการณ์ไปยังต่างประเทศ” นายกิตติศักดิ์กล่าว
    ด้านนายนพดล ปัทมะ เผยว่า แถลงการณ์ตอบโต้พรรคประชาธิปัตย์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ได้เริ่มส่งให้กับทางสถานทูตประเทศต่างๆ ทางไปรษณีย์ไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา และหลังจากนี้ตนก็จะยุติเรื่องดังกล่าวไว้เพียงเท่านี้ เนื่องจากว่าตนมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อที่ต้องการให้ทุกฝ่ายเข้าใจและรับรู้ข้อเท็จจริงมากขึ้น ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเท่านั้น
“นพดล” โพสต์โต้ ปชป.
    นายนพดลได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว (Noppadon Pattama) ว่า "ไม่เหนือความคาดหมายว่าโฆษกพรรคประชาธิปัตย์จะออกมาตอบโต้แถลงการณ์ที่ผมออกไปเมื่อวานอยู่ 3 ประเด็น ผมจะไม่เรียกโฆษกว่าเป็นลิ่วล้อหรือปลาบู่ชนเขื่อนเหมือนที่โฆษกท่านนี้เรียกคนอื่น เพราะมันจะเป็นการตอบโต้แบบใช้อารมณ์ที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ เขาตอบโต้มา 3 ประเด็นจากที่ผมเขียนไป 10 ประเด็น
    1.นายชวนนท์บอกว่า ผมใช้จินตนาการและฝรั่งจะหัวเราะที่ผมพูดว่า พรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลภายหลังการเจรจาลับ และมีการบีบบังคับพรรคการเมืองขนาดเล็กให้ไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล ในประเด็นนี้ ฝรั่ง แขก หรือชาวจีน คงคิดได้ไม่ยากว่าผมใช้จินตนาการหรือไม่ ผมไม่รู้ว่าเขาจะหัวเราะคำชี้แจงของใครกันแน่ แต่ที่แน่ๆ เขาคงถามว่าแล้วทำไมเลือกตั้งทีไร แพ้เลือกตั้งตลอด ยกเว้นครั้งที่บอยคอตการเลือกตั้ง ไม่แพ้เพราะไม่เข้าแข่งขัน
    2.พรรคประชาธิปัตย์บอกว่า ครอบครัวท่านทักษิณ  รวยมาจากสัมปทานผูกขาดในธุรกิจโทรคมนาคม และได้สัมปทานจากรัฐบาลหลังรัฐประหาร ผมบอกไปว่า สัมปทานธุรกิจมือถือที่เป็นธุรกิจหลักทำให้ครอบครัวร่ำรวยนั้นได้มาในปี 2532 ซึ่งเป็นรัฐบาลพลเรือนครับ และไม่ใช่ธุรกิจผูกขาดด้วย เพราะมีคนอื่นทำธุรกิจมือถือในระบบอื่นเช่น ระบบ 800 ส่วนที่โฆษก ปชป.บอกว่าสัมปทานไทยคมได้ในช่วงรัฐบาล รสช.นั้น ธุรกิจนี้ไม่ได้สร้างความร่ำรวยอะไรเลยให้ครอบครัวอย่างที่อ้างครับ เพราะที่กำไรคือธุรกิจมือถือที่ได้มาอย่างถูกต้องในสมัยรัฐบาลพลเรือนครับ
    3.ผมระบุว่า ท่านทักษิณรวยมาก่อนเป็นนักการเมือง และในปี 2537 ทั้งครอบครัวมีทรัพย์สินกว่า 60,000 ล้านบาท และทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก็ตรวจสอบได้จากจำนวนหุ้นและคูณด้วยราคาในตลาดหลักทรัพย์ตามดัชนีในขณะนั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมา ง่ายๆ ตื้นๆ แต่นายชวนนท์ก็ไปเอามูลค่าทรัพย์สินในเวลาอื่น ปีอื่น และเอาเฉพาะทรัพย์สินของตัวท่านทักษิณที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. มาแสดงเพียงคนเดียว โดยไม่รวมของลูกและของครอบครัว ตัวเลขมันก็อาจต่ำกว่า 60,000 ล้านในบางปี และตามราคาหุ้นที่ผันผวนตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคนที่เล่นหุ้น และไม่ใช่นักเล่นการพนันจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนเลยครับ"
    นายนพดลระบุว่า "ความจริงผมไม่อยากเสียเวลาตอบโต้เลย แต่ขอชี้แจงให้สาธารณชนให้ได้ทราบความจริง เพราะผมมีหน้าที่ปกป้องประชาชนจากความเท็จ และปิดโอกาสพวกที่เชื่อว่าการโกหกก่อน ได้เปรียบก่อน พี่น้องประชาชนสมควรได้ทราบความจริงครับ"
    ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า “ท่านเคยได้ยินคำว่า Functional Medicine ไหมครับ ตอนนี้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของวงการแพทย์อเมริกาที่กำลังฮิต ผมบังเอิญมาปักกิ่ง ได้พบกับแพทย์ชาวจีนที่เป็นลูกศิษย์ของหมออเมริกันที่ดูแลสุขภาพให้ทั้งประธานาธิบดีโอบามา และประธานาธิบดีคลินตัน เขาใช้วิธีการ Functional Medicine นี้นั่นเอง
    หลักการก็คือ เขามีความเชื่อว่าอวัยวะทุกส่วน ถ้าทำงานร่วมกันได้ดีไม่มากไปไม่น้อยไป ก็จะทำให้ร่างกายกลับมามีความสมดุลและก็จะแข็งแรง โรคเล็กโรคน้อยก็จะหายไปอย่างปลิดทิ้ง โดยอาศัยการค้นพบ DNA ของมนุษย์แล้ววิเคราะห์ได้อย่างละเอียดถึงความบกพร่องในการทำงานของมันแล้วให้ยาที่เหมาะสมเพื่อแก้ไข หมอจีนคนนี้ก็เลยเจาะเลือดผมไปเป็นสิบหลอดพร้อมปัสสาวะ ส่งไปตรวจ Lab ที่สหรัฐอเมริกา จะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ก็จะวิเคราะห์กลับมาพร้อมบอกว่าจะต้องทานยาอะไร งด/เพิ่มอาหารหมวดไหน ร่างกายเราก็จะทำงานได้เหมือนคนอายุน้อยกว่าอายุจริง ที่เมืองไทยก็มีการทำเช่นนี้แล้ว แต่ก็ต้องส่งไปตรวจ Lab ที่อเมริกาเช่นกัน
“แม้ว”แขวะแบงก์ชาติ
    ที่ผมพูดให้ฟังก็อยากจะให้ทุกคนได้รู้จักรักษาร่างกายตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปให้ดีขึ้น และมากกว่านั้นคือผมอยากจะพูดถึงวิชาการบริหารองค์กร และแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงไปของมนุษย์ (Paradigm Shift) ที่เปลี่ยนจากวิธีคิดที่เป็นไปตามวิวัฒนาการตามที่ Alvin Toffler เคยพูดไว้เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วในหนังสือ The Third Wave คือยุคเกษตร มาสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมและยุคสังคมข่าวสาร ซึ่งวิธีคิดก็จะเปลี่ยนตาม ช้า/เร็วแล้วแต่สาขาวิชาและประเทศ
    Functional Medicine ก็เป็นการเปลี่ยนความคิดที่มองปัญหาเป็นจุดๆ เหมือนยุคอุตสาหกรรม มาเป็นยุคการมองแบบองค์รวมของการทำงานร่วมกันของอวัยวะภายในร่างกายหรือองค์กรเดียวกันนั่นเอง ไม่แยกส่วน การแก้ปัญหาก็จะง่ายเพราะมองปัญหาได้ในภาพรวม วางยุทธศาสตร์ วิธีคิดและวิธีการศึกษา วิธีการบริหารองค์กร
โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ยังล้าหลังอยู่มาก ยังมองปัญหาแยกส่วน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น หรือองค์กรอิสระ ศาล รัฐบาล สภาซึ่งประเทศต้นแบบที่เราไปเรียนมาเขาก็ไม่เป็นแบบเรา ประเทศไทยจึงขาดการมียุทธศาสตร์ชาติที่เป็นการมองประเทศไทยอย่างเป็นองค์รวม การแก้ปัญหาก็ยังไม่เข้าใจ คำว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คือเราไม่จริงจังกับการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุนั่นเอง” พ.ต.ท.ทักษิณระบุ
    มีรายงานว่า เมื่อเวลา 03.30 น.ของวันที่ 11 พ.ค. ได้เกิดเหตุคนร้ายขว้างลูกเปตองและประทัดใส่ป้อมยามของสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เลขที่ 1 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ทำให้กระจกป้อมยามแตกเสียหาย ทั้งนี้ที่เกิดเหตุเป็นป้อมยามกระจก บริเวณทางเข้า-ออก ประตู 3 (ฝั่งถนนวิภาวดีรังสิต) ด้านหน้าของสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ที่บริเวณกระจกป้อมยามด้านหน้าอยู่ในสภาพแตกละเอียด จากการตรวจสอบภายในป้อมพบลูกเปตองตกอยู่ 1 ลูก และตกอยู่ที่ถนนหน้าป้อมอีก 1 ลูก อีกทั้งมีเศษชิ้นส่วนประทัดยักษ์ โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการถูกเศษกระจกบาด
    พล.ต.ต.สุธีร์ เนรกัณฐี ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2  กล่าวว่า จากการสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์ให้การว่า คนร้ายเป็นชาย 4 คน สวมหมวกกันน็อก ขี่รถจักรยานยนต์มา 2 คัน และโยนลูกเปตองเข้าไปในป้อมยามจนกระจกแตก ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบาดเจ็บ 2 ราย เนื่องจากกระจกบาดมือ ก่อนจะโยนประทัดยักษ์เข้าไปจนเกิดเสียงระเบิด และขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีไปมุ่งหน้าห้าแยกลาดพร้าว ซึ่งก่อนคืนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ให้การด้วยว่า มีบุคคลต้องสงสัยได้เอาระเบิดปิงปองขนาดเล็กโยนใส่บริเวณที่เกิดเหตุ
สอบปาประทัดป่วน 'ไทยรัฐ”
    ส่วนจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของไทยรัฐไม่สามารถจับภาพได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุง ส่วนประเด็นการก่อเหตุได้ตั้งไว้คือ ประเด็นของความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างหนังสือพิมพ์และกลุ่มการเมือง กรณีคอลัมนิสต์ชื่อดังวิจารณ์นายกรัฐมนตรี ส่วนอีกประเด็นก็จะเป็นเรื่องมือที่สามเข้าสร้างสถานการณ์ แต่ยังคงไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้กำชับให้ดูแลส่งกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลสำนักงานของสื่อต่างๆ หลังจากมีการประท้วงการทำงานของสื่อ
    นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงเหตุขว้างประทัดยักษ์เข้าใส่สำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้เกี่ยวข้องเร่งหาตัวผู้กระทำความผิดมาให้ได้ เบื้องต้นทราบว่าเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานได้เก็บชิ้นส่วนประทัดยักษ์ดังกล่าวเพื่อไปตรวจสอบหาชนิดและแหล่งที่มา พร้อมตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี
    รองโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ไปประท้วงหนังสือพิมพ์ไทยรัฐก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์จากผู้ไม่ประสงค์ดี แม้พรรคเพื่อไทยและกลุ่มผู้สนับสนุนจะไม่พอใจในท่าทีและพฤติกรรมของ "ชัย ราชวัตร" แต่เราก็เคารพและเชื่อมั่นในการเป็นสถาบันสื่อมวลชนที่เก่าแก่ของประเทศของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และจะเร่งรัดเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการอย่างเต็มที่ อีกทั้งขอประณามพฤติกรรมความรุนแรงในครั้งนี้
    นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการแฮ็กเว็บไซต์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ยืนยันว่า พรรคไม่เห็นด้วยกับการกระทำลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือบุคคลใดในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชี้ให้เห็นชัดเจนว่าทำเนียบรัฐบาลที่ทำงานสูงสุดของผู้บริหารประเทศมีความไม่ปลอดภัยของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทั้งที่ระบบความปลอดภัยของทำเนียบรัฐบาลน่าจะมีความปลอดภัยสูงสุด เพราะเป็นสถานที่เก็บความลับของราชการทุกระดับ
      นายองอาจกล่าวต่อว่า ในส่วนเรื่องการจับกุมคนผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ยังเป็นไปด้วยความหละหลวม และมีความพยายามเอาใจนายกฯ จนเกินเหตุ จากกรณีที่รัฐบาลพยายามโยงถึงคนที่ทำความผิด เพราะท้ายที่สุดพบว่าบุคคลที่ถูกรัฐโยงความผิดได้ออกมาเปิดเผยชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่คนทำ และพร้อมให้ตรวจสอบทุกอย่าง ตนจึงคิดว่าก่อนที่รัฐบาลจะกล่าวหาใครควรตรวจสอบและมีหลักฐานเสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น