วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เมื่อ “ทักษิณ” หน้ามืด เล่มเกมแรงเสี่ยงกลียุค โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 พฤษภาคม 2556 05:36 น.

เมื่อ “ทักษิณ” หน้ามืด เล่มเกมแรงเสี่ยงกลียุค
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์13 พฤษภาคม 2556 05:36 น.


ดูจะร้อนตัวไปหน่อย สำหรับการออกมาประสานเสียงของ “คนเพื่อไทย” ที่ปฏิเสธทันควันว่าเหตุการณ์ที่มือดีขว้างลูกเปตองซ้ำด้วยประทัดยักษ์เข้าใส่สำนักงานไทยรัฐ ริมถนนวิภาวดี-รังสิต เมื่อเช้ามืดวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมาว่าไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดง         
       โดยเฉพาะรายของ “ตุ๊ดตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ออกมาปัดสวะพ้นตัว โบ้ยไปว่างานนี้เป็นผลงานของ “มือที่สาม เท้าที่สี่” ที่หวังสร้างภาพความขัดแย้งระหว่างไทยรัฐ-คนเสื้อแดง-พรรคเพื่อไทย       
       ส่วนจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวอย่างไร ก็คงต้องฝากไว้กับฝีมือตำรวจในการสืบสวนหาคนผิดมาลงโทษ และทำให้เรื่องราวกระจ่าง เพราะทางตำรวจเองก็ฟันธงว่า คนร้ายต้องเตรียมการ หรือวางแผนไว้ล่วงหน้า       
       ก็ต้องขอดักคอกันก่อนตรงบรรทัดนี้เลยว่า ไม่ใช่สืบไปสืบมาชนตอเข้าแล้วมาปิดสำนวนสรุปว่าเป็นแค่พวกวัยรุ่นขาป่วน ทำด้วยความคึกคะนองก็กระไรอยู่       
       เพราะถือเป็นการ “คุกคามสื่อมวลชน” อย่างร้ายแรง       
       กลับมาว่ากันต่อถึงสาเหตุที่คนของพรรคเพื่อไทยร้อนรน จนต้องออกมาแถลงข่าวว่าไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดง ก็คงมาจากที่ไม่กี่สัปดาห์ก่อนเกิดวลี “กะหรี่เร่ขายตัว-คนชั่วเร่ขายชาติ” ในสังคมออนไลน์ ทำให้คนเพื่อไทย และกลุ่มผู้สนับสนุนไม่พอใจพฤติกรรมของ “ชัย ราชวัตร” การ์ตูนนิสต์แห่งค่ายไทยรัฐ       
       และก็เป็นคนเสื้อแดงที่แห่กันไปถือป้ายประท้วงหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถึงสองครั้งสองครา เมื่อช่วงต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา พร้อมประกาศ “บอยคอต” ให้สาวกประท้วงโดยการไม่ซื้อ นสพ.ไทยรัฐทั่วประเทศ แถมยังมีนัดให้คนเสื้อแดงบุกไปชุมนุมทวงคำตอบจากไทยรัฐอีกในวันที่ 14 พ.ค.ที่จะถึงนี้       
       พฤติการณ์ “ถ่อย-เถื่อน” ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันนั้นทำให้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยออกแถลงการณ์ประณามว่าเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนมาแล้ว       
       พอมี “ประทัดยักษ์-ลูกเปตอง” โผล่ตูมเข้าไปในสำนักงาน นสพ.ยักษ์ใหญ่ ก็ย่อมต้อง “ร้อนตัว” เป็นไส้เดือนถูกขี้เถ้าเป็นธรรมดา       
       ที่สำคัญวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อภาพของคนเสื้อแดง ผูกติดกับความรุนแรงไปแล้ว ฐานะ “ผู้ต้องหาหมายเลขหนึ่ง” ก็หนีไม่พ้นเช่นกัน       
       ในความเป็นจริง “สื่อยักษ์หัวเขียว” ฉบับนี้ก็เป็นแนวร่วมของ “ทักษิณ ชินวัตร” และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมา แบบรู้ๆ กันอยู่ จนพูดกันว่าอุดมการณ์ความเป็น “หมาเฝ้าบ้าน” เลือนรางจนแทบไม่เหลือ       
       ดูแค่ “บทวิเคราะห์การเมืองหน้า 3” ที่เคยได้รับการยอมรับ มาวันนี้กลับสร้างประเด็นเชียร์รัฐบาลเพื่อไทยอย่างออกนอกหน้าออกตา อาจจะมีเพียง “ฉบับวันอาทิตย์” เท่านั้นที่ยังนำเสนออย่างตรงไปตรงมาอยู่บ้าง       
       พอเกิดกรณี “ชัย ราชวัตร” ก็ทำให้น้ำผึ้งเริ่มขม ความสัมพันธ์อันดีของทักษิณ-ไทยรัฐเริ่มปริร้าว มีความขัดแย้งกันหนักขึ้น แต่การจะไปเปิดหน้าชนกับสื่อที่ได้ชื่อว่าเป็น “นสพ.ยอดนิยม” ย่อมไม่ใช่หนทางที่ฉลาดนัก “ลิ่วล้อ-แนวร่วม” มีหรือจะหาญกล้าเปิดหน้าแลก??       
       คงต้องเป็นระดับ “นายใหญ่” กดปุ่มไฟเขียวเท่านั้น       
       ดังนั้นสิ่งที่เกิดกับไทยรัฐคงตีความเป็นอื่นไม่ได้ว่า ได้รับความเห็นชอบจากคนระดับนายใหญ่แล้ว และเท่ากับว่าวันนี้หากใครวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในทางเสียหายไม่ได้ หรือ“ผู้มีอำนาจ”ทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อไม่ได้       
       แม้จะเป็นมหามิตรกันมาก่อนก็ตาม ก็จะถูกเขี่ยไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามแบบไม่ใยดี ซ้ำยังระดมสมุนไปไล่ล่า เอาคืนอีกสารพัดวิธี       
       นี่แล...ที่เขาว่ากันว่าเป็น “การเมืองสไตล์ทักษิณ”       
       ขนาดสื่อหัวเขียวที่เคยคบกันมา อี๋อ๋อกันมานานยังโดนหนักข้อขึ้นทุกขณะ ก็ไม่แปลกที่เวทีผ่าความจริงฯ รายสัปดาห์ของพรรคประชาธิปัตย์ จะถูกคนเสื้อแดงก่อกวนในทุกจังหวัดที่ไปเปิดวิก บางจังหวัดถึงขนาดบุกถล่มเวทีก็มี       
       โดยเฉพาะระยะหลังที่เหมือนเจาะจงเลือกจัดในจังหวัดทั้งภาคเหนือ-อีสานที่เป็นดงเสื้อแดง อย่างล่าสุดที่ จ.พะเยา บรรดาแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากคนเสื้อแดง ตั้งแต่ลงจากเครื่องที่สนามบิน จ.เชียงราย พร้อมนำเครื่องขยายเสียงประชันก่อกวนตลอดระยะเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์ปราศรัย       
       กลายเป็น “โมเดล” ที่คอยปั่นป่วนผู้ที่เห็นต่าง       
       บรรยากาศการเมืองแบบนี้สวนทางกับถ้อยคำหวานของผู้นำประเทศ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่เจื้อยแจ้วว่า น้อมรับความคิดของผู้เห็นต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการเมืองแบบที่คิดว่าเสียงข้างมากเป็นใหญ่เบ็ดเสร็จ และเป็นอารมณ์ของคนลุแก่อำนาจ มากกว่า       
       ด้วยหลักคิดดังกล่าว ย่อมส่งผลให้วิกฤติความแตกแยกลุกลามบานปลายขึ้นเรื่อยๆ “จุดแตกหัก” ก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ เมื่อการไล่ล่าของเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่เกิดขึ้นกับกับผู้ไม่เห็นด้วย ถูกผลักให้เป็น“ฝ่ายตรงข้าม”เข้มข้นขึ้นตามอารมณ์ของผู้นำตัวจริง       
       และยิ่งเป็นอารมณ์ “หน้ามืด” ที่พร้อมเอาเป็นเอาตายแม้แต่กับมหามิตรด้วยแล้ว ความเสี่ยงที่ประเทศจะต้องเข้าโหมด “กลียุค” ก็สูงขึ้นทุกขณะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น