วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 7-11 พ.ค.2556 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 พฤษภาคม 2556 02:26 น

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 7-11 พ.ค.2556
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์12 พฤษภาคม 2556 02:26 น


1. มือดี แฮกเว็บสำนักนายกฯ ด่า “ยิ่งลักษณ์” คาด เย้ย รมว.ไอซีที ด้าน ตร.เจอแค่ผู้ต้องสงสัย ยังไม่ได้มือแฮกตัวจริง! 
เว็บไซต์สำนักนายกฯ ขณะถูกแฮก (8 พ.ค.)
       
เมื่อวันที่ 8 พ.ค. เวลาประมาณ 12.00น. เว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรี http://www.opm.go.th ได้ถูกแฮกเกอร์ในนาม Unlimited Hack Team ทำการเปลี่ยนชื่อตำแหน่งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็น I’m a slutty moron. ซึ่งเป็นคำหยาบ แปลว่า สำส่อน และผู้พิการทางสมอง พร้อมแนบภาพถ่ายใบหน้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ในอิริยาบถที่น่าตลกขบขัน นอกจากนี้ยังระบุข้อความด้านล่างรูป น.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วยว่า I know that I am the worst Prime Miniser ever in Thailand history!!! ซึ่งแปลว่า “ฉันรู้ว่าฉันคือนายกรัฐมนตรีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย”
      
       ทั้งนี้ หลังเว็บไซต์ถูกแฮก ทางสำนักนายกฯ ได้ปิดเว็บไซต์ดังกล่าวชั่วคราว พร้อมประสานกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ให้ตรวจสอบหามือแฮก
      
       การแฮกเว็บไซต์สำนักนายกฯ เพื่อด่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ครั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่า เป็นการท้าทายรัฐบาลและกระทรวงไอซีที เนื่องจากเมื่อวันที่ 5 พ.ค. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที ได้ออกมาขู่ปิดเว็บไซต์ที่วิพากษ์วิจารณ์ด่าทอนายกฯ กรณีปาฐกถาที่ประเทศมองโกเลีย รวมทั้งจะเอาผิดผู้ที่โพสต์ข้อความด่าทอนายกฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ด้วย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
      
       ขณะที่กลุ่ม Unlimited Hack Team ซึ่งถูกลงชื่อว่าเป็นผู้แฮกเว็บไซต์สำนักนายกฯ ได้ออกมาปฏิเสธการกระทำดังกล่าวผ่านแฟนเพจของกลุ่ม โดยยืนยันว่า ไม่มีสมาชิกคนใดของกลุ่มเข้าไปแฮกเว็บไซต์ดังกล่าว พร้อมอ้างว่า “อาจเป็นเพราะมีแฮกเกอร์บางท่านหรือบางกลุ่มมีความคิดที่จะโยนความผิดมาให้ Unlimited Hack Team ซึ่งทุกๆ ครั้ง หากเราได้แฮกเว็บไซต์ใด เราก็จะออกมายอมรับการกระทำของเรา แต่ครั้งนี้ขอให้ทุกท่านรอเวลาที่ตำรวจจับผู้กระทำความผิดตัวจริงมาลงโทษ แล้วท่านจะได้รู้ว่าใครเป็นคนทำ” 
      
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคงเป็นปฏิกิริยาต่อกระทรวงไอซีที เพราะรัฐบาลเริ่มทำในสิ่งที่ทำให้ความขัดแย้งเกิดขึ้น และทำให้สังคมเกิดความอึดอัด นายอภิสิทธิ์ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า บรรยากาศทางการเมืองในขณะนี้ ดูเหมือนย้อนกลับไปสู่ภาวะที่ฝ่ายบริหารพยายามรวบอำนาจ ซึ่งจะเพิ่มความขัดแย้งให้มากขึ้น จึงอยากให้รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาให้ประชาชนมากกว่า
      
       ทั้งนี้ หลังเว็บไซต์ถูกแฮก ตัวแทนจากสำนักนายกฯ ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ผบก.ปอท.) ให้ดำเนินคดีทีมแฮกเกอร์ โดยแฮกเกอร์จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 16 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังกองบังคับการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) รายงานผลตรวจสอบการแฮกเว็บไซต์สำนักนายกฯ ให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทราบแล้ว ปรากฏว่า ร.ต.อ.เฉลิม รีบออกมาเผยว่า ทราบแล้วว่ามือแฮกเป็นชาว อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม อายุ 29 ปี และเคยแฮกสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 มาครั้งหนึ่งแล้ว
      
       ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ส่วนตัวไม่ติดใจการแฮกดังกล่าว และว่า ทุกคนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ พร้อมยืนยันว่า ไม่ใช่ทุกเวทีที่ตนจะต้องไปพูดเรื่องประชาธิปไตยแบบที่ประเทศมองโกเลีย ต้องดูจังหวะและความเหมาะสมด้วย
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง ร.ต.อ.เฉลิม ออกมาเปิดรายละเอียดเกี่ยวกับมือแฮกเว็บไซต์สำนักนายกฯ ปรากฏว่า ในเวลาต่อมา ได้มีการเปิดภาพบุคคลดังกล่าว คือนายณรงค์ฤทธิ์ สุขสาร หรือฉายา “ตาเล็ก วินโดว์ 98 เอสอี” อายุ 29 ปี อาชีพนักพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ (โปรแกรมเมอร์) บริษัทเกมชื่อดังแห่งหนึ่ง
      
       ซึ่งต่อมา นายณรงค์ฤทธิ์ ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผบก.ปอท.เมื่อวันที่ 10 พ.ค. เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแฮกเว็บดังกล่าว พร้อมบอกว่า ตนอาจถูกกลั่นแกล้งจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเคยมีปัญหาขัดแย้งกับ Unlimited Hack Team มาก่อน และว่า การเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจครั้งนี้ เพื่อให้คำแนะนำในการสืบหาตัวผู้กระทำผิดตัวจริง เนื่องจากตนมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ และเคยเป็นผู้สอนการแฮกข้อมูล ดังนั้นจะเข้าไปดูว่าผู้แฮกข้อมูลใช้วิธีใดแฮกข้อมูล
      
       ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก ปอท.ได้เข้าตรวจค้นห้องพักของนายณรงค์ฤทธิ์ ที่ไอบิสซ่า คอนโดมิเนียม อาร์ซีเอ ย่านถนนพระรามเก้า โดยได้อายัดคอมพิวเตอร์พีซี 1 เครื่อง จากนั้นได้เข้าตรวจค้นอาคารยูเอ็ม ทาวเวอร์ ย่านคลองตัน ซึ่งเป็นที่ตั้งบริษัท ไซเบอร์เกมส์ คอร์ปอเรชั่น สถานที่ทำงานของนายณรงค์ฤทธิ์ พร้อมอายัดคอมพิวเตอร์ที่นายณรงค์ฤทธิ์ใช้ประจำอีก 1 เครื่อง เพื่อนำไปตรวจสอบ รวมทั้งสอบปากคำหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานด้วย
      
       ซึ่งนายพิพัฒน์ รุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการบริษัท ไซเบอร์เกมส์ฯ บอกว่า แฮกเกอร์ในท้องตลาดขณะนี้มีจำนวนมาก มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง พร้อมยืนยันว่า นายณรงค์ฤทธิ์เป็นไวท์แฮกเกอร์ โดยจะคอยเผยแพร่วิธีแก้ปัญหาให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ จึงเชื่อว่า นายณรงค์ฤทธิ์ไม่มีเหตุผลที่จะก่อเหตุดังกล่าว และว่า ในวันเกิดเหตุ นายณรงค์ฤทธิ์ทำงานอยู่ที่บริษัท ส่วนช่วงค่ำไปรับประทานอาหารย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา มีรูปถ่ายยืนยันได้ เชื่อว่าไม่น่าจะมีเวลาไปแฮกเว็บไซต์ของสำนักนายกฯ
      
       ด้าน พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เผยว่า เบื้องต้น นายณรงค์ฤทธิ์ยังไม่ตกเป็นผู้ต้องหาและยังไม่แจ้งข้อกล่าวหา โดยเป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มผู้ต้องสงสัยเท่านั้น จึงได้เชิญตัวเข้าพบเจ้าหน้าที่ เพราะต้องการให้ช่วยเหลือนำความรู้ด้านแฮกเกอร์มาช่วยสอบสวนหาผู้กระทำผิดตัวจริง และว่า นอกจากนายณรงค์ฤทธิ์แล้ว ยังมีกลุ่มแฮกเกอร์ต้องสงสัยอีกประมาณ 20 คน ดังนั้นจะใช้วิธีการให้แฮกเกอร์จับแฮกเกอร์ เชื่อว่า จะสามารถหาตัวผู้กระทำผิดตัวจริงได้
       
       2. เสื้อแดงยุติการชุมนุมแล้ว หลังแนวร่วมไม่ถึงแสน เปลี่ยนแผนเดินหน้าถอดถอน-แจ้งจับตุลาการฯ ด้านศาล รธน.แจ้งความกลับ! 
แกนนำกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(กวป.) แถลงยุติการชุมนุมที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญ (8 พ.ค.)
       
หลังจากกลุ่มเสื้อแดง นำโดยนายพงษ์พิสิษฐ์ คงเสนา หรือเล็ก บ้านดอน ประธานกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(กวป.) ซึ่งปักหลักชุมนุมที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญเพื่อกดดันให้ตุลาการฯ ทั้ง 9 คนลาออก พร้อมประกาศระดมพลเพื่อกดดันตุลาการฯ ในวันที่ 8 พ.ค.นั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 6 พ.ค. นายชาญ ไชยะ หรือหนุ่ม โคราช รองประธาน กวป.ได้ประกาศว่า วันที่ 8 พ.ค.จะเป็นวันชี้ชะตาการชุมนุมของ กวป. ถ้าประชาชนมาร่วมชุมนุมถึง 1 แสนคน ทางกลุ่มจะชุมนุมต่อ แต่ถ้ามาไม่ถึง 1 แสนคน จะยุติการชุมนุม และยุติบทบาทลงทันที
      
       ขณะที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ได้ออกมาจี้ให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เพื่อควบคุมการชุมนุมของกลุ่ม กวป.เช่นเดียวกับที่เคยประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้กับการชุมนุมขององค์กรพิทักษ์สยาม(อพส.) มาแล้ว ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการกระทำที่สองมาตรฐาน
      
       ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อ้างว่า การชุมนุมของ กวป.ไม่เข้าเงื่อนไขที่ต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพราะกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มใหม่ มีมวลชนไม่มาก และการชุมนุมที่ผ่านมา 15 วัน ก็มีผู้ชุมนุมแค่ประมาณ 500 คน รวมทั้งไม่ปรากฏเหตุรุนแรง ประกอบกับการข่าวของสันติบาลประเมินว่า วันที่ 8 พ.ค.จะมีผู้มาร่วมชุมนุมไม่ถึง 1 แสนคน จึงไม่น่าจะมีปัญหาในการรักษาความปลอดภัย
      
       ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนด(8 พ.ค.) ปรากฏว่า เป็นไปตามคาด คือมีผู้มาร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กวป.ไม่ถึง 1 แสนคน ซึ่งทางกลุ่มได้มีการเคลื่อนขบวนจากหน้าศาลรัฐธรรมนูญไปยังรัฐภา เพื่อยื่นถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 5 คน ประกอบด้วย นายจรัญ ภักดีธนากุล ,นายสุพจน์ ไข่มุกด์ ,นายจรูญ อินทจาร ,นายนุรักษ์ มาประณีต และนายเฉลิมพล เอกอุรุ โดยอ้างว่าตุลาการฯ ทั้งห้าปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และขาดจริยธรรม โดยหลังจากยื่นหนังสือต่อนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ในฐานะรักษาการประธานวุฒิสภา เพื่อแสดงเจตจำนงรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 2 หมื่นคนเพื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ทางแกนนำกลุ่ม บอกว่า ขณะนี้มีผู้เข้าชื่อแล้วกว่า 5 หมื่นคน หลังจากนี้จะทำการคัดกรองภายใน 15 วัน ก่อนนำรายชื่อมายื่นต่อประธานวุฒิสภาอีกครั้งเพื่อเข้ากระบวนการถอดถอนต่อไป
      
       นอกจากยื่นถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว นายพงษ์พิสิษฐ์ คงเสนา หรือเล็ก บ้านดอน แกนนำ กวป.ยังได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อดำเนินคดีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 3 คน คือ นายจรัญ ภักดีธนากุล ,นายจรูญ อินทจาร และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ซึ่งเป็นตุลาการเสียงข้างมากที่ลงมติรับวินิจฉัยคำร้องของนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 โดยอ้างว่า การกระทำของตุลาการฯ ทั้งสาม เข้าข่ายกบฏ ล้มล้างรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 113 ,83 และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นายพงษ์พิสิษฐ์ ยังบอกด้วยว่า จะทำสำเนาคำร้องแจกจ่ายให้เครือข่าย กวป.ทั่วประเทศ เพื่อนำคำร้องเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจทั่วประเทศด้วย
      
       ด้านสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อดำเนินคดีแกนนำ กวป.เช่นกัน ประกอบด้วย นายพงษ์พิสิษฐ์ คงเสนา ,นายมาลัยรักษ์ ทองชัย หรือศรรักษ์ มาลัยทอง และนายชาญ ไชยะ เนื่องจากมีเจตนาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จโดยรู้อยู่แล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้กระทำผิด การปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ.2550 การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องไว้วินิจฉัย จึงเป็นไปตามอำนาจหน้าที่และตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้ว การกระทำของแกนนำ กวป.จึงแสดงให้เห็นว่า มีเจตนาก่อให้เกิดความเสียหายต่อศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการฯในวงกว้าง รวมทั้งมุ่งทำลายความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนที่มีต่อศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการฯ
       
       3. ศาลฎีกาฯ แจกใบแดง “การุณ” กรณีใส่ร้าย “แทนคุณ” ด้าน กกต.เตรียมฟ้องให้ชดใช้ค่าจัดเลือกตั้งใหม่ 10 ล้าน! 
นายการุณ โหสกุล อดีต ส.ส.กทม.เขต12 (ดอนเมือง) พรรคเพื่อไทย
      
 เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ได้นัดอ่านคำสั่งคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.เขต 12 (ดอนเมือง) พรรคเพื่อไทย กรณีเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.2554 และ 12 มิ.ย.2554 นายการุณได้ปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 ก.ค.2554 กับประชาชนที่ตลาดบุญอนันต์และตลาดนัดโกสุมรวมใจ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ใส่ร้ายนายแทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 12 พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อจูงใจให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตดอนเมืองเข้าใจผิด รวมทั้งไม่ลงคะแนนให้นายแทนคุณ อันเป็นการกระทำผิด พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 โดย กกต.ขอให้ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายการุณ เป็นเวลา 5 ปี และให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.กทม.เขต 12 ใหม่
      
       ทั้งนี้ ศาลฯ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของนายการุณ เป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จหรือจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของนายแทนคุณและพรรคประชาธิปัตย์ มีผลให้การเลือกตั้ง ส.ส.กทม.เขต 12 ไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายการุณเป็นเวลา 5 ปี และให้เลือกตั้ง ส.ส.กทม.เขต 12 ใหม่ แทนนายการุณ
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า นายการุณไม่ได้เดินทางมาฟังคำสั่งศาลด้วยตัวเอง แต่ให้ทนายความมาแทน ซึ่งทนายไม่ให้สัมภาษณ์ใดใด
      
       ด้าน กกต.ได้ประชุมและมีมติกำหนดวันเลือกตั้งในเขตดังกล่าวใหม่ในวันอาทิตย์ที่ 16 มิ.ย. โดยหลังจากนี้จะเสนอร่าง พ.ร.ฎ.การเลือกตั้งไปให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบ ส่วนค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งใหม่ กกต. คาดว่าจะตกประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งจะฟ้องเรียกค่าใช้จ่ายในการจัดเลือกตั้งใหม่จากนายการุณต่อไป
      
       ด้านนายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 12 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแสดงความเสียใจกับนายการุณ พร้อมขอโทษหากมีอะไรกระทบกระทั่งกัน และว่า อยากให้นายการุณปรับตัว ทำงานแบบไม่ว่าร้ายกัน ส่วนตนจะได้ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพรรค แต่ยืนยันว่า มีความพร้อมที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ แม้มีข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ลงสมัคร ตนก็ไม่รู้สึกหวั่นไหว
      
       ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เผยว่า พรรคจะประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตดอนเมืองในวันที่ 13 พ.ค. ก่อนส่งชื่อให้คณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณา คาดว่าจะได้ข้อสรุปในวันเดียวกันว่าจะส่งใครลงสมัคร
      
       ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เผยว่า พรรคได้นัดประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อพิจารณาผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตดอนเมืองในวันที่ 14 พ.ค. ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือไม่
       
       4. ศาล อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ก่อแก้ว” เชื่อ สำนึกผิดแล้ว พร้อมสั่งห้ามยั่วยุปลุกปั่น-ออกนอกประเทศ! 
นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย
       
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ศาลอาญาได้นัดไต่สวนคำร้องกรณีนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) จำเลยที่ 5 คดีก่อการร้าย ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 3 พ.ค. หลังศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 2 พ.ค. เนื่องจากเห็นว่านายก่อแก้วกระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยตัว โดยมีพฤติการณ์ข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเข้าข่ายยุยง ปลุกปั่น ปลุกระดม ถึงขนาดอาจทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยต่อบ้านเมือง และยังไม่สำนึกในการกระทำผิด
      
       ทั้งนี้ นายก่อแก้วเบิกความว่า ที่ศาลเห็นว่าตนไม่สำนึกในการกระทำผิดนั้น ความจริงแล้วตนให้ความเคารพในดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งเพิกถอนประกัน ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว โดยไม่มีเจตนาโต้แย้งดุลพินิจของศาล และว่า ช่วงที่ได้รับเอกสิทธิ์การเป็น ส.ส. ระหว่างวันที่ 22 ธ.ค. 55 - 29 เม.ย. 56 ตนได้ตระหนักในคำสั่งศาลที่เพิกถอนการประกันตนเพียงคนเดียว ทั้งยังได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ให้กับจำเลยคนอื่นๆ ด้วย แต่ตนไม่สามารถกล่าวคำขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ เนื่องจากตุลาการฯ แจ้งความดำเนินคดีตนไว้ หากขอโทษ จะเป็นเครื่องผูกมัดว่าตนได้กระทำผิดจริง และจะไม่สามารถมองหน้าเพื่อนสมาชิกได้ ทั้งยังขัดต่อจุดยืนทางการเมืองของตนด้วย
      
       นายก่อแก้ว ยังบอกอีกว่า การกักขังตนไว้เป็นการเสียโอกาสในการช่วยเหลือสังคม การทำหน้าที่ของ ส.ส. และทำหน้าที่พ่อเลี้ยงดูครอบครัว ทั้งยังเป็นภาระของกรมราชทัณฑ์ด้วย หากศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ยินดีจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลทุกประการ และหากการเคลื่อนไหวของ นปช.ขัดต่อเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวก็จะหลีกเลี่ยง ด้านศาลนัดฟังคำสั่งว่าจะอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ ในวันที่ 10 พ.ค.
      
       ซึ่งเมื่อถึงกำหนด ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า ฟังคำเบิกความในชั้นไต่สวนของนายก่อแก้วแล้วเห็นว่า จำเลยรู้สำนึกในการกระทำผิดเงื่อนไขต่อศาล อีกทั้งระหว่างที่ได้รับการปล่อยตัวในระหว่างสมัยประชุมสภาฯ ก็ไม่เคยขึ้นเวทีปราศรัยที่ใด หรือกระทำการใดที่ส่งผลให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย นอกจากนี้นายก่อแก้วยังยอมรับจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาล แต่ที่ไม่ได้ขอโทษศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถูกศาลรัฐธรรมนูญแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท หากขอโทษอาจส่งผลต่อรูปคดีที่ให้การปฏิเสธไว้
      
       นอกจากนี้ศาลยังเห็นว่า การที่นายก่อแก้วเบิกความหนักแน่นว่า หากได้รับการปล่อยชั่วคราวจากศาลในครั้งนี้จะไม่ไปกระทำการใดใด เช่น การขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่ม นปช.อีก หรือให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนพาดพิงทำให้บุคคลหรือองค์กรอื่นใดเสียหายนั้น ดูมีเหตุผลและน้ำหนักรับฟังได้ และศาลเห็นว่า นายก่อแก้วมีลักษณะท่าทีนุ่มนวลอ่อนลงมาก เมื่อพิจารณาคำยืนยันต่างๆ จึงเห็นว่า นายก่อแก้วมีความสำนึกในการกระทำผิดเงื่อนไขของศาลแล้ว ประกอบกับเห็นว่า หลังศาลเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวไปเมื่อวันที่ 30 พ.ย.55 จนบัดนี้นายก่อแก้วถูกขังตามหมายขังของศาลรวม 37 วัน ซึ่งเหมาะสมเพียงพอกับการกระทำแล้ว จึงมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวนายก่อแก้วอีกครั้ง โดยตีราคาประกัน 6 แสนบาท
      
       ทั้งนี้ ศาลได้กำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว โดยห้ามนายก่อแก้วกระทำการใดใดในลักษณะดูหมิ่นผู้อื่น ยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายกระทบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง และความเป็นอยู่ของผู้อื่น หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล พร้อมย้ำให้นายก่อแก้วปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลอย่างเคร่งครัด หากฝ่าฝืนเงื่อนไขอีก ศาลก็สามารถเพิกถอนคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวได้อีก
       
       5. เลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดี 3 อดีต กกต.จัดเลือกตั้งมิชอบเอื้อ ทรท. หลัง “ปริญญา” เข้า รพ.ผ่าตัด! 
พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต.ขณะเดินทางมาศาลอาญา (7 พ.ค.)
      
 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ศาลอาญา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ,พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต. และอดีตกรรมการ กกต. ประกอบด้วย นายปริญญา นาคฉัตรีย์ ,นายวีระชัย แนวบุญเนียร (เสียชีวิตแล้ว) ,พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ และ พล.ต.ต.เอกชัย วรุณประภา อดีตเลขาธิการ กกต. เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต.
      
        คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 3-5 เม.ย. 2549 จำเลยได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่และใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่รอบ 2 ใน 38 เขต 15 จังหวัด เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2549 และเปิดรับสมัครใหม่ ทั้งที่ไม่มีอำนาจ รวมทั้งอนุญาตให้ผู้สมัครรายเดิมเวียนเทียนลงสมัครข้ามเขตได้ เพื่อช่วยให้ผู้สมัครพรรคไทยรักไทย(ทรท.) มีคู่แข่ง เพื่อเลี่ยงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดว่าต้องได้คะแนน 20% ขึ้นไป ทำให้การเลือกตั้งใหม่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม
      
        ซึ่งคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2549 ว่า จำเลยที่ 2 (พล.ต.อ.วาสนา) ,จำเลยที่ 3 (นายปริญญา) และจำเลยที่ 4(นายวีระชัย) กระทำผิดจริง ให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยทั้งสามเป็นเวลา 10 ปี สำหรับจำเลยที่ 1 (สำนักงาน กกต.) และจำเลยที่ 6 (พล.ต.ต.เอกชัย) ศาลยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 5 (พล.อ.จารุภัทร) ได้ลาออกจาก กกต. โจทก์จึงถอนฟ้อง ซึ่งต่อมา จำเลยที่ 2 ,3 และ 4 ได้ยื่นอุทธรณ์ ขณะที่ศาลอุทธรณ์ พิจารณาแล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสามจึงได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลยกฟ้อง
      
        ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลานัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ปรากฏว่า ทนายความของนายปริญญา จำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลพร้อมใบรับรองแพทย์ว่า นายปริญญาได้เข้ารับการรักษาผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ไม่สามารถมาฟังคำพิพากษาได้ จึงขอเลื่อนฟังคำพิพากษาออกไปก่อน ด้านศาลพิจารณาแล้วคำร้องดังกล่าวมีเหตุสมควร จึงอนุญาตให้เลื่อนฟังคำพิพากษาออกไปเป็นวันที่ 13 มิ.ย.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น