วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ขยายแผลปรองดอง เมื่อ 6 พ.ค.56




ขยายแผลปรองดอง

การปาฐกถาของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ บนเวทีการประชุมประชาคมประชาธิปไตย ณ ประเทศมองโกเลีย แม้จะผ่านไป 1 สัปดาห์แล้ว แต่ควันหลงในประเทศไทยยังคงไม่จางลง ตรงกันข้ามดูเหมือนเรื่องนี้น่าจะเป็นประเด็นให้เกิดการวิพากษ์กันอีกนาน ข้อเท็จจริงและรายละเอียด ซึ่งนายกฯ กล่าวไว้บนเวทีนั้น หลายท่านคงได้ทราบจากสื่อต่างๆ ไปแล้ว เพราะพรรคเพื่อไทยได้แปลปาฐกถาจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยเผยแพร่ให้คนไทยได้ทราบทั่วกัน
เกือบจะทันทีที่คำแปลปาฐกถาได้เผยแพร่ผ่านสื่อ เสียงวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมหาศาลผ่านช่องทางต่างๆ ก็เซ็งแซ่ มีทั้งที่เห็นว่าเหมาะสมซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเพราะคนไทยทราบดีว่าเป็นกลุ่มใด มีทั้งที่เห็นว่าไม่เหมาะสม ซึ่งคนไทยก็ทราบดีว่าเป็นกลุ่มใด ความจริงบนบรรทัดฐานของกลุ่มและความเกลียดชังกันระหว่างกลุ่มที่ยืนคนละข้าง กลายเป็นพลังเงียบที่สร้างความร้าวลึกระหว่างคนไทยมาตลอด ตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติด้วยซ้ำ และมันกลับมาถูกขยายแผลในวันนี้อีกครั้ง
นายกฯ ยิ่งลักษณ์พูดบนเวทีเรื่องอะไร ถึงทำให้เกิดเป็นประเด็นได้ โดยสรุปนั้น นายกฯ ยิ่งลักษณ์กล่าวถึงหลักการของประชาธิปไตยว่าดีเพราะให้เสรีภาพแก่ประชาชน แต่รัฐบาลประชาธิปไตยก็ต้องแลกมา เพราะมีคนอีกจำนวนหนึ่งไม่เชื่อในหลักประชาธิปไตย ชื่นชมหลายประเทศที่มีพัฒนาการทางประชาธิปไตยที่ดี บอกต่อว่าเมื่อมีรัฐธรรมนูญปี 2540 แล้วก็ไม่คิดว่าจะมีรัฐประหารถึง 2 ครั้ง ประชาธิปไตยไทยจึงเหมือนรถไฟตกราง รัฐบาลนายกฯ ทักษิณซึ่งเป็นพี่ชาย แม้นำเสนอโครงการที่เป็นประโยชน์แต่ก็ต้องโดนปฏิวัติ ไทยแปลว่าอิสระ ประชาชนจึงลุกขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยแต่ก็ถึงทำร้าย แกนนำต้องหลบหนีหรือถูกจำคุก ประชาชนเสียชีวิตถึง 91 ศพ บางรายเสียชีวิตจากสไนเปอร์ ต่อมามีการเลือกตั้ง แม้ประชาชนจะสนับสนุนรัฐบาลประชาธิปไตย แต่พวกต่อต้านประชาธิปไตยก็ยังเดินหน้าบิดเบือนผ่านกลไกรัฐธรรมนูญ ผ่านกลไกของวุฒิสมาชิกซึ่งครึ่งหนึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และบิดเบือนผ่านกลไกขององค์กรอิสระที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต
ปิดท้ายการปาฐกถา นายกฯ ยิ่งลักษณ์สรุปว่า อยากเห็นความปรองดองผ่านหลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมาย เชื่อว่าการพัฒนาประชาธิปไตยต้องให้ความรู้และเสรีภาพแก่ประชาชน เพราะเป็นเงื่อนไขของการพัฒนาและลดช่องว่างระหว่างชนชั้น แต่จะเกิดได้ทุกคนต้องร่วมมือกัน อยากให้ประชาคมโลกช่วยกัน หรือรวมถึงกดดันกลไกที่ต่อต้านประชาธิปไตยเพื่อนำเสรีภาพกลับสู่ประชาชน
แม้ในทางการทูต คำกล่าวนี้ชัดเจนอย่างยิ่งว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องการสื่อถึงอะไร หรือสื่อถึงใคร แต่เพื่อให้เข้าใจง่าย อาจกลั่นเฉพาะประเด็นหลักได้ว่า นายกฯ ต้องการบอกกับประชาคมโลกว่า รัฐบาลทักษิณนั้นมาจากประชาชนแต่ถูกปฏิวัติ เรียกพวกที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติว่าพวกต่อต้านประชาธิปไตย บอกว่าพวกนี้ทำร้ายหรือฆ่าประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ต้องการปรองดอง แต่พวกต่อต้านประชาธิปไตยพยายามวางกรอบรัฐธรรมนูญให้บิดเบือนกลไกบริหารผ่านองค์กรอิสระ อยากให้นานาชาติเข้ามาจัดการกับพวกต่อต้านเสียที ทั้งหมดบอกว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องการนิรโทษกรรมเพราะเชื่อว่าเป็นเครื่องมือของการปรองดอง บอกว่านายกฯ ไม่เชื่อวุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง ไม่เชื่อองค์กรอิสระว่าจะให้ความเป็นธรรมได้ และบอกว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหา ทั้งหมดอยากให้ต่างชาติเข้ามาช่วยกดดัน
เป็นจุดยืนที่ชัดเจนของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จากที่เคยสะท้อนด้วยคำพูดอ้อมๆ และพูดผ่านคนอื่นๆ แต่นายกฯ ควรจะมีจุดยืนอย่างนี้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และนี้ก็เป็นที่มาของการวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง คำถามต่อไปคือ แล้วประเทศไทยหรือคนไทยได้อะไรจากการสื่อสารจุดยืนของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตรงนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ขยายความหลังจากปาฐกถาว่า เป็นการสร้างความเชื่อมั่นกับนานาชาติว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์เน้นหลักนิติธรรม และอยากปรองดอง
ในเชิงการเมือง ปาฐกถานี้ได้ดึงมวลชนคนเสื้อแดงกลับมาร่วมกันกับรัฐบาลอย่างแนบแน่น เพราะที่ผ่านมา ดูเหมือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้ตอบสนองต่อกลุ่มมากอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งที่เบื้องหลังของการชนะเลือกตั้งมีพลังของคนเสื้อแดงสนับสนุนเป็นสำคัญ ตลอดจนข้อเรียกร้องให้ขับเคลื่อน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่รัฐบาลเคยปล่อยให้ฝ่ายค้านตีตก เหมือนไม่สนใจชะตากรรมของอดีตนายกฯ ทักษิณ บัดนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์เลือกแล้วว่าจะอยู่ข้างไหนอย่างไม่ต้องแอบกันอีกต่อไป ทั้งโลกไม่ต้องตีความ รวมถึงเลือกแล้วว่าจะต้องทำอย่างไร เลือกแล้วว่าความสัมพันธ์ของรัฐบาลต่อองค์กรอิสระจะเป็นอย่างไร ชัดเจนว่าอนาคตของรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร ใครได้ประโยชน์ก็ชัดแล้ว แต่ประชาชนส่วนรวมจะได้ประโยชน์หรือไม่
เมื่อโจทย์ของสังคมในปัจจุบันคือ การหาหนทางให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาคุยกันผ่านกระบวนการปรองดอง แปลว่า นายกฯ ควรสวมบทเป็นคนกลางที่ไม่ควรนำอดีตมาตอกย้ำเพียงครึ่งหนึ่งในมุมของกลุ่มผู้สนับสนุน แต่ละเลยที่จะไม่กล่าวความจริงของอีกกลุ่มหนึ่งให้นานาชาติได้รู้ ตลอดจนเรียกอีกกลุ่มว่าผู้ต่อต้านประชาธิปไตยอย่างนี้ ทั้งที่เขาเหล่านั้นก็เป็นคนไทยและมีความจริงอีกชุดหนึ่ง นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะนำคนทั้งประเทศมาขึ้นขบวนปรองดองได้อย่างไร ถ้านายกฯ ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่านี้คือการพูดความจริง ก็กล่าวได้ว่าเป็นความจริงที่ก่อประโยชน์ให้เฉพาะบางคนบางกลุ่ม ไม่ได้ก่อประโยชน์ให้กับสถานการณ์ปรองดองในประเทศ
ข้อความเพียงสั้นๆ ของชัย ราชวัตร จึงสร้างการสนับสนุนจากฝ่ายที่ถูกเหมาว่าเป็นพวกต่อต้านออกมาขยายความกันจนรอยแผลของความแตกแยกมันปริออกอีก เสียเวลาและเสียโอกาสมากขึ้นสำหรับประเทศ เป็นสถานการณ์ที่หนักหนากว่ารถไฟตกราง เสียดายกลยุทธ์ที่รัฐบาลวางภาพลักษณ์ไม่ให้นายกฯ ต้องมาปะทะ หรือเสียภาพพจน์ในรัฐสภาทั้งที่ไม่ควร เพื่อให้นายกฯ ชอบธรรมที่จะนำคนไทยมาปรองดอง ภาพนั้นก็ถูกฉีกออกไป บางทีการยื่นฟ้องชัย ราชวัตร อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายให้บ้านเมืองกลับมาวุ่นวายอีกรอบ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็ทราบแต่ก็ยังเลือกที่จะทำ เพื่ออะไร
ดร.สืบวงศ์ กาฬวง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น