วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

"กรณ์" โพสต์เฟซบุ๊ก เตือนหากรัฐบาลจะปลด ผู้ว่าฯแบงค์ชาติ เพราะสั่งไม่ได้ เป็นเรื่องแน่!!! เมื่อ 4 พ.ค.56



"กรณ์" โพสต์เฟซบุ๊ก เตือนหากรัฐบาลจะปลด ผู้ว่าฯแบงค์ชาติ เพราะสั่งไม่ได้ เป็นเรื่องแน่!!!
 
วันที่ 3 พ.ค. นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Korn Chatikavanij" มีเนื้อหาเกี่ยวกับกรณีกระแสข่าวฝ่ายการเมืองกดดันให้ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล  ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) ลาออก ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งเรื่องการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ย ว่า 
อย่าลุแก่อำนาจ
เมื่อประมาณ ๔-๕ เดือนก่อน ผมได้พบกับรองผู้ว่าฯแบงค์ชาติท่านหนึ่งในงานศพ ผมได้บอกท่านว่า ผมมั่นใจว่ารัฐบาลนี้จะต้องกล่าวหาแบงค์ชาติต่อเนื่องและช่องทางที่เขาจะใช้ ก็คือการโจมตีเรื่องการ ′ขาดทุน′ จากการถือดอลล่าร์ที่ได้มาจากการขายเงินบาทเพื่อบริหารไม่ให้เงินบาทแข็งค่า เกินไป ผมกำชับไปด้วย ว่าแบงค์ชาติต้องลงมาจากหอคอยงาช้างและอธิบายให้ประชาชนเข้าใจว่าการ ′ขาดทุน′ นั้น ข้อเท็จจริงเป็นเช่นใด เพราะรัฐบาลนี้เขาเก่งที่จะเอาความจริงมาครึ่งเดียวและขยายผลเพื่อโจมตีฝั่ง ตรงข้าม
และเมื่อวาน นี้เราเห็นภาพชัดแล้ว ว่าที่ผมและหลายคนคาดการไว้ เป็นจริงทั้งหมด รวมถึงการยกตัวเลข ′ขาดทุน ๑ ล้านล้าน′ ขึ้นมาด้วยเป้าหมายที่จะทำลายความน่าเชื่อถือในตัวผู้ว่าแบงค์ชาติ ผมได้อ่านบท ความที่อดีตรัฐมนตรีคลังคุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ได้เขียนในเฟสบุ๊คของท่านเมื่อวานนี้ ท่านได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่มีตรรกะที่น่าคิดอยู่หลายข้อ เช่นการขาดทุนในบัญชีที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการที่เงินดอลล่าร์ในมืออ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท แต่ข้อเท็จจริงคือเงินดอลล่าร์ของเราเป็นเงินสำรองที่สะสมมาตั้งแต่หลัง วิกฤติปี ๒๕๔๐ โดยหลายผู้ว่าฯ จะมาโทษผู้ว่าคนปัจจุบันทั้งหมดได้อย่างไร และนอกจากนั้น การแทรกแซงในตลาดเงินก็เป็นหน้่าที่โดยตรงของแบงค์ชาติ เพื่อรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเลี่ยน เพื่อภาคธุรกิจจะได้ค้าขายได้ ถ้าแบงค์ชาติไม่ทำอะไรเลย เอกชนและประเทศชาติอาจจะเสียหายมากกว่านี้
มีนักวิชาการ อีกท่านหนึ่งคือดร. วีรไท สันติประภพได้เขียนบทความในเรื่องนี้ไว้ว่า เราควรเปรียบเทียบว่า การขาดทุนของแบงค์ชาตินั้นเมื่อเทียบกับงบประมาณแผ่นดินปัจจุบัน มีค่าเท่ากับเพียงประมาณ 0.5% ของงบโดยรวมในแต่ละปีเท่านั้น หรือเท่ากับโครงการรถคันแรก แต่ผู้ได้ประโยชน์อาจจะมากกว่าเยอะ นอกจากนั้นใน ประเด็นว่าแบงค์ชาติควรลดดอกเบี้ยนโยบายลงหรือไม่ ดร.วีรไทก็ได้ชี้ให้เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวได้ปรับขึ้นแม้ตอน ที่แบงค์ชาติได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายความหมายก็คือการลดดอกเบี้ยไม่ได้มีผล แต่อย่างใด และส่วนหนึ่งคุณธีระชัยเองก็ได้ชี้ให้เห็นว่า อาจเป็นเพราะรัฐบาลเองกู้เยอะ จึงทำให้มีพันธบัตรรองรับความต้องการของทุนต่างชาติมากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยประเทศอื่นในเอเชียส่วนใหญ่ก็สูงกว่าของไทยอีกด้วย จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุที่ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า ที่เงินบาทแข็งนั้นเป็นเพราะดอกเบี้ยเราสูงจริงหรือ
ที่ผมอยากจะ เสริมก็คือ การลดดอกเบี้ยในช่วงที่รัฐบาลอัดฉีดเงินเข้าไปในเศรษฐกิจเต็มที่อย่าง ปัจจุบัน เป็นเรื่องที่อันตรายมาก โดยเฉพาะเมื่ิอการว่างงานเราตํ่ามาก และทั้งหุ้นทั้งอสังหาฯเริ่มส่งสัญญานที่ทำให้ต้องระมัดระวังเรื่องการก่อ ตัวฟองสบู่
การดูแลค่า เงินประเทศอย่างเรามีข้อจำกัดค่อนข้างมาก แต่ผมมองว่าผู้ที่ทำได้มากที่สุดในเวลานี้คือกระทรวงคลัง ไม่ใช่แบงค์ชาติ ผมเคยเขียนไว้แล้วว่า นักเก็งกำไรวันนี้เขาไม่ได้กลัวการปรับลดดอกเบี้ย แต่เขากลัวมาตรการ ′การสกัดทุน′ (capital controls) มากกว่า และเครื่องมือทางภาษีอยู่ที่คลังหมด ผมเองก็เคยใช้มาแล้วในช่วงปี ๒๕๕๓ โดยก็ได้ปรึกษาแนวทางร่วมกันกับท่านผู้ว่าคนปัจจุบัน (จำได้ว่านั่งคุยกันอยู่ที่ลอบบี้โรมแรมแห่งหนึ่งที่กรุงวอชิงตัน ก่อนเข้าประชุมธนาคารโลก) ครังนั้นก็เรียบร้อยและมีผลสำเร็จเป็นอย่างดี
ดังนั้น กระทรวงคลังไม่ควรออกมากล่าวโทษแบงค์ชาติอย่างนี้ และดร.วีรไท ได้แนะนำด้วยว่ารัฐบาลเองก็ต้องทบทวนมาตรการต่างๆที่หวังผลกระตุ้นเศรษฐกิจ จนเกินไป เพราะทั้งหมดมีผลต่อการดึงดูดเงินทุนต่างประเทศทั้งสิ้น
ตอนนี้ศึกนี้ ดูเหมือนกลายเป็นเรื่องทิฐิไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในการบริหารในระดับประเทศ ทุกฝ่ายต้องลดอัตตาและหันมาร่วมมือกันด้วยเหตุผลและความจริงใจครับ ถ้ารัฐบาลยังดื้อดึงจะปลดผู้ว่าฯเพียงเพราะ ′สั่งไม่ได้′ ผมยืนยันว่าเสียหาย และเป็นเรื่องแน่นอนครับ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น