วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แฉ'เฉลิม'แกล้งโง่ลิ้นพันคอ อดีตตลก.ชี้'แม้ว'ผิดอาญา เมื่อ 21 พ.ค.56



แฉ'เฉลิม'แกล้งโง่ลิ้นพันคอ อดีตตลก.ชี้'แม้ว'ผิดอาญา
 
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง

21 พ.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ได้โพสต์ข้อความทางกฎหมายลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัวที่ใช้ชื่อว่า Chuchart Srisaeng ภายหลังจากที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่า จะตัดมาตรา 5 ออกและร่าง กม.ฉบับนี้ครอบคลุมเฉพาะคดีอาญาเท่านั้นไม่เกี่ยวกับคดีแพ่งว่า ร.ต.อ.เฉลิมโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่เพื่อหลอกลวงประชาชนที่ไม่รู้ให้หลงประเด็น เพราะความรู้แบบนี้นักศึกษานิติศาสตร์ปี 2 ที่เรียนกฎหมายอาญาภาคหนึ่งจบแล้วก็รู้ว่ากรณีนี้เป็นคดีอาญาหรือคดีแพ่ง
นอกจากนี้ยังโพสต์ด้วยว่า คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลนั้น เป็นคดีที่ดำเนินการโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 275 บัญญัติว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเท่านั้น ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง
ดังนั้น ถ้าร่าง พ.ร.บ. ปรองดองของ ร.ต.อ.ดร.เฉลิมมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย กระทรวงการคลังก็ต้องเอาเงินงบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นเงินที่เก็บภาษีไปจากคนไทยทุกคนรวมทั้งคนเสื้อแดงด้วยคืนแก่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณจำนวน 46,000 ล้านบาท แน่นอน
ข้อความทั้งหมดที่นายชูชาติโพสต์ลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว
....ดอกเตอร์กฏหมายเฉลิม อยู่บำรุง เจ้าของร่าง พรบ ปรองดองแห่งชาติ บอกสื่อมวลชนว่า จะตัดร่างมาตรา 5 ออก และร่าง พรบ นี้มีผลเฉพาะคดีอาญาไม่เกี่ยวกับคดีแพ่ง จึงไม่ต้องคืนเงินจำนวน 46,000 ล้านบาทให้แก่ทักษิณ
....น่าสงสัยว่า ดอกเตอร์กฎหมายอย่างร้อยตำรวจเอกเฉลิมไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้เพื่อหลอกคนที่ไม่รู้ให้หลงประเด็น ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นประการหลัง เพราะไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คนจบปริญญาเอกทางกฎหมายไม่รู้ แค่นักศึกษานิติศาสตร์ปีที่ 2 ที่เรียนกฎหมายอาญาภาคหนึ่งจบแล้วก็รู้ว่ากรณีนี้เป็นคดีอาญาหรือคดีแพ่ง
....ร่าง พรบ ปรองดองแห่งชาติ มาตรา 4 บัญญัติว่า บรรดาการกล่าวหาการกระทำความผิดบุคคลใด ๆ ฯลฯ ที่เกิดจากคณะบุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฯลฯ ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด ให้ถือว่าเป็นการกล่าวหาในความผิดทางการเมือง และให้การกล่าวหาการกระทำความผิดนั้นเป็นอันระงับไป โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เป็นผู้กระทำความผิด
....กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ผู้ที่ถูกกล่าวหาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือ คตส ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด ให้การกล่าวหาการกระทำความผิดนั้นเป็นอันระงับไป โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้กระทำความผิด และตามมาตรา 3 วรรค 2 ก็บัญญัติว่า ถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด ถ้าผู้นั้นรับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุด
....ดังนั้นถ้าร่าง พรบ ปรองดองแห่งชาติ มีผลใช้บังคับ คดีที่ทักษิณที่ถูกกล่าวหาจาก คตส ทุกคดี รวมทั้งคดีที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ได้ทรัพย์สินมาโดยมิชอบที่ทักษิณถูกฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและถูกศาลมีคำพิพากษาให้ริบเงินจำนวน 46,000 ล้านบาท ก็เป็นระงับไปโดยให้ถือว่า ทักษิณไม่เคยกระทำความผิดและไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิด
....เมื่อทักษิณกลายเป็นคนที่ไม่เคยกระทำความผิดและไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด ก็ย่อมหมายความว่าไม่มีคำพิพากษาของศาลให้ริบเงินจำนวน 46,000 ล้านบาท เมื่อไม่มีคำพิพากษาก็ริบเงินไม่ได้ เงินจำนวนดังกล่าวก็ต้องคืนให้แก่ทักษิณ
....ที่ท่านดอกเตอร์เฉลิมว่า เรื่องเงิน 46,000 ล้านบาทเป็นคดีแพ่งนั้น คดีนี้ทักษิณถูกฟ้องที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 275 บัญญัติว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเท่านั้น ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง
....ประมวฎหมายอาญา มาตรา 18 บัญญัติว่า โทษสําหรับลงแก่ผู้กระทําความผิดมีดังน้ี
........(1) ประหารชีวิต
........(2) จําคุก
........(3) กักขัง
........(4) ปรับ
........(5) ริบทรัพย์สิน
....การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้ริบเงินของทักษิณที่ได้มาโดยมิชอบจำนวน 46,000 ล้านบาท ก็คือการลงโทษให้ริบทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 (5) นั่นเอง ซึ่งก็เป็นลงโทษผู้กระผิดคดีอาญา
....สรุปก็คือ ถ้าร่าง พรบ ปรองดองแห่งชาติ มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย กระทรวงการคลังก็ต้องเอาเงินงบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นเงินที่เก็บภาษีไปจากคนไทยทุกคนรวมทั้งคนเสื้อแดงด้วยคืนแก่ทักษิณจำนวน 46,000 ล้านบาท แน่นอนครับ
ภาพจากแนวหน้า
ภาพจากแนวหน้า
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์แนวหน้า 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น