วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

ศาลฯไม่รับคำร้องยุบปชป. ส.ว.ชงผู้ตรวจขวางแก้รธน.เมื่อ 11 เม.ย.56


ศาลฯไม่รับคำร้องยุบปชป. ส.ว.ชงผู้ตรวจขวางแก้รธน.




เรืองไกรแห้ว-ปชป.เฮ มติเอกฉันท์ศาล รธน.ไม่รับคำร้องคดียื่นยุบพรรค ให้เหตุไม่เข้าข่ายมาตรา 68 พ่วงรับอีกคำร้องขวาง ส.ส.-ส.ว.ร่วมเสนอแก้มาตรา 68 ตามรอยคดี "สมชาย แสวงการ" ด้วยมติ 5 ต่อ 3 เผย "วสันต์-อุดมศักดิ์" เสียงข้างน้อยเช่นเดิม เพิ่ม "บุญส่ง" 40 ส.ว.ขวางไม่เลิก ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภาอีกช่องทาง 
     เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2556 ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงภายหลังการประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติ 5 ต่อ 3 รับคำร้องของนายบวร ยสินทร กับคณะ ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่า ประธานรัฐสภากับพวก รวม 312 คน ว่ากระทำการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการตัดสิทธิ์ของบุคคลในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญหรือไม่
     โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า คำร้องนี้เป็นกรณีที่ผู้ร้องใช้สิทธิ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่านายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา และคณะได้ร่วมกันเข้าชื่อเพื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมต่อประธานรัฐสภา โดยยกเลิกข้อความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 พร้อมเสนอเนื้อความใหม่ ที่เป็นการยกเลิกสิทธิ์ของประชาชนในการที่จะใช้สิทธิ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ด้วยการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงออกไป คงเหลือแต่เพียงยื่นต่ออัยการสูงสุดเพียงทางเดียว นอกจากนี้ยังให้สิทธิ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ในกรณีที่ประชาชนจะใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ในหมวดที่ 3 เท่านั้น จึงถือว่าเป็นการลิดรอนสิทธิ์ของประชาชน จึงมีมูลกรณีที่ผู้ร้องจะใช้สิทธิ์ยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการตรวจสอบ ตามมาตรา 68 วรรคสอง กรณีจึงต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ.2550 ข้อ 17 วรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญจึงรับคำร้องไว้พิจารณา
    "หลังจากนี้ทางศาลรัฐธรรมนูญขอให้ผู้ร้องทำสำเนาคำร้องส่งต่อศาล จำนวน 312 ชุด เพื่อส่งให้ผู้ถูกร้อง พร้อมทั้งให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง หากไม่ยื่นภายในกำหนดถือว่าไม่ติดใจ ส่วนคำขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีฉุกเฉิน ศาลเห็นว่ายังไม่ปรากฏมูลกรณีอันเป็นเหตุฉุกเฉินหรือเหตุผลอันสมควรเพียงพอที่จะใช้วิธีการชั่วคราว จึงให้ยกคำขอ" นายพิมลกล่าว 
    ทั้งนี้ ตุลาการศาล รธน.เสียงข้างน้อย 3 เสียง ที่เห็นว่าไม่ควรรับคำร้องคือ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายบุญส่ง กุลบุปผา และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี โดยให้เห็นผลว่ายังไม่ควรรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะยังมีโอกาสที่จะแก้ไขในวาระที่ 2 ได้อีก คำร้องจึงเป็นเพียงการคาดการณ์ล่วงหน้า จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสอง รวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และยังไม่มีมูลกรณีที่เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ในคดีที่ศาล รธน.รับคำร้องของนายสมชาย แสวงการ เมื่อ 3 เมษายน ตุลาการเสียงข้างน้อย 2 คน คือ นายวสันต์และนายอุดมศักดิ์ โดยวันดังกล่าวนายบุญส่งไม่ได้เข้าประชุม  
        เมื่อถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการนำคำร้องดังกล่าวรวมพิจารณาไปกับคำร้องของนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ที่ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องหรือไม่ นายพิมลกล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะตุลาการอีกครั้งว่าจะมีดุลยพินิจอย่างไร ทั้งนี้ ขณะนี้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ส่งหนังสือสำเนาคำร้องกรณีดังกล่าวแจ้งไปยังรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว
    นายพิมลกล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยังได้มีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่า นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กับคณะ รวม 11 คน และพรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ กระทำการร่วมกันใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ในญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ที่มีการตัดสิทธิ์ของบุคคลในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยศาลพิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่า ตามคำร้องไม่ปรากฏว่ามีการกระทำฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง จึงมีมติเป็นเอกฉันท์รับคำร้อง และเมื่อมีคำสั่งไม่รับคำร้อง การขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินย่อมตกไป
    เมื่อถามว่า กรณีที่นายเรืองไกรขอคัดค้านไม่ให้ตุลาการ จำนวน 8 คน ยกเว้นนายจรัญ ภักดีธนากุล เป็นองค์คณะในการพิจารณาคำร้องของนายสมชาย เนื่องจากตุลาการทั้ง 8 มีส่วนได้ส่วนเสียจากการวินิจฉัยคำร้องตามมาตรา 68 นายพิมลกล่าวว่า กรณีดังกล่าวที่ประชุมตุลาการได้มีการหารือถึงเรื่องนี้ ซึ่งเห็นว่าคำคัดค้านดังกล่าว หากตุลาการมีส่วนได้ส่วนเสียในคำร้องนั้น ก็ไม่สามารถเป็นองค์คณะในการพิจารณาได้ แต่เรื่องนี้ตุลาการไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในคำร้อง จึงสามารถพิจารณาได้
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีตุลาการเข้าร่วมประชุม จำนวน 8 คน ยกเว้นนายชัช ชลวร ที่ได้ขอลาการประชุม
    ด้านนายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา กลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวว่า เมื่อ 11 เม.ย. ได้ยื่นเรื่องต่อประธานผู้ตรวจการแผ่นดินให้ตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของ ส.ส.-ส.ว. ในการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตรา ประกอบด้วยมาตรา 68 และมาตรา 111-120 เนื่องจากเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตรา 122 มีลักษณะขัดกันแห่งผลประโยชน์ และการแก้ไขมาตรา 68 ที่ ส.ส.และ ส.ว.ร่วมกันกระทำในสิ่งที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน โดย ส.ว.ขอแก้ไขมาตรา 68 และ 237 ในขณะที่ ส.ส.ขอแก้ไขมาตรา 111-120 ในเรื่องการยกเลิกวาระของ ส.ว. จึงถือว่าเป็นการร่วมกันกระทำผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ และจงใจใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง หากผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบแล้วเป็นความผิดจริงตามที่ได้ร้อง ผู้ตรวจการแผ่นดินก็สามารถส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองสูงสุด และ ป.ป.ช.ให้ยับยั้งการกระทำหรือลงโทษทางอาญาต่อไป
    นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภานัดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 18 เม.ย. เพื่อลงมติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตราที่ยังมีปัญหากรอบเวลาในการแปรญัตติว่า เรื่องนี้ประธานรัฐสภายืนยันว่า จะพิจารณาเสร็จด้วยความรวดเร็ว ส่วนที่พรรคเพื่อไทยมีปัญหาองค์ประชุมก่อนปิดการประชุมนัดที่ผ่านมา ความจริงเรื่องเหล่านี้ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเป็นเรื่องจุกจิกเหมือนเรื่องของเด็กอนุบาล ซึ่งกฎเกณฑ์ในการควบคุมการประชุมก็มีอยู่แล้ว หากช่วยกันขับเคลื่อนจะไม่เกิดปัญหาที่ผ่านมา ไม่มีการจู้จี้จุกจิกกันมากขนาดนี้ 
       วันเดียวกันศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “อุบัติเหตุทางการเมืองกับนายกฯ คนต่อไป” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-5 เมษายน 2556 จากประชาชนทั่วประเทศ ทุกภูมิภาค จำนวน 1,252 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับบุคคลที่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.51 ระบุว่า ยังไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป รองลงมา ร้อยละ 8.87 เป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ร้อยละ 4.71 เป็นนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ร้อยละ 4.23 เป็นนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ร้อยละ 3.67 เป็น พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ร้อยละ 1.12 เป็นนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ร้อยละ 1.68 เป็นใครก็ได้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น