วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556

“มาร์ค” ชูคลิปมัด “โอ๋” ล้วงลูกทหาร ชี้ ดับแน่-แนะย้ำไทยมีแต่ช่วยเขมร ไร้เหตุรุกราน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 เมษายน 2556 16:42 น.

“มาร์ค” ชูคลิปมัด “โอ๋” ล้วงลูกทหาร ชี้ ดับแน่-แนะย้ำไทยมีแต่ช่วยเขมร ไร้เหตุรุกราน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์19 เมษายน 2556 16:42 น.


หน.ปชป.แจง ป.ป.ช.ถอด รมว.กห.ล้วงลูกตั้ง-ย้ายนายพล ของสำนักปลัดกห.ตามที่ยื่นซักฟอก ย้ำหลักฐานคลิปเสียงมัด ดัก แถจ้อที่ประชุมก็ถือว่าแทรกแซง หวังเร่งตัดสิน เตือน “ทูตวีรชัย” หักล้างเขมรทุกประเด็น เชื่อข้อเท็จจริง แนะ ย้อนอดีตไทยมีแต่ช่วยเขมร ไม่จำเป็นต้องรุกราน ย้ำไทยรักษาความสัมพันธ์พร้อมป้องดินแดน รับเดาคำตัดสินยาก ชี้ ปมหลักอยู่ที่ไม่รับแผนที่ 1:2 แสน ติงรัฐอย่าชี้นำว่าแพ้
       
       

       
       วันนี้ (19 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.เกี่ยวกับกรณีขอให้ถอดถอน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล และมีคำสั่งย้ายนายทหารชั้นนายพลของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมโดยมิชอบว่า จะยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งได้มีการเสนอในการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว โดยมีหลักฐานชัดว่า รมว.กลาโหม มีการปฏิบัติฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายแต่งตั้ง เช่น ระเบียบกระทรวงกลาโหม จากเทปเสียงที่มีการนำเสนอในสภา และ รมว.กลาโหม ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ใช่เสียงของตัวเอง แต่พยายามตั้งคณะกรรมการสอบเกี่ยวกับเทปเสียง ก็น่าจะเป็นการยืนยันได้ว่าเป็นเสียงของ รมว.กลาโหม ซึ่งตนคิดว่าหลักฐานชัดที่สุด มีเสียงว่าพูดอย่างไร และเจ้าตัวก็ไม่ได้ปฏิเสธ โดยสิ่งที่ทำผิดข้อกฎหมายชัดเจน
       
       นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พล.อ.อ.สุกำพล จะอ้างว่าเป็นการประชุมภายในไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะประชุมภายในหรือภายนอก การกระทำก็ขัดต่อหลักกฎหมาย เพราะแทรกแซงและกระทำการเกินอำนาจหน้าที่ของตนเอง เนื่องจากกฎหมายเขียนไว้ให้มีคณะกรรมการในส่วนราชการ และคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะ เพื่อพิจารณากลั่นกรอง ไม่ใช่อำนาจของรัฐมนตรีที่จะไปสั่งให้เสนอชื่อใครมา ทั้งนี้ยังคาดหวังว่า ป.ป.ช.จะพิจารณาได้เร็ว เนื่องจากข้อเท็จจริงไม่ซับซ้อน ข้อกฎหมายก็ชัดเจน
       
       นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารของฝ่ายไทยในการแถลงด้วยวาจาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศรอบสุดท้ายว่า นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก หัวหน้าทีมกฎหมายฝ่ายไทย ยืนยันแล้วว่าจะหักล้างกัมพูชาในทุกประเด็นซึ่งตนก็ไม่อยากให้ตกหล่น ทั้งเรื่องข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงต้องหักล้างไว้ก่อน เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าศาลจะหยิบจุดไหนมาเป็นหลักในการพิจารณาตัดสิน ดีที่สุดจึงต้องหักล้างไว้ก่อน และตนมั่นใจในข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่ทีมทนายของไทยนำเสนอไปว่าอยู่บนความถูกต้อง ที่เหลือจึงต้องทำให้สมบูรณ์ที่สุด อย่าให้มีช่องว่าง
       
       สำหรับท่าทีของฝ่ายการเมืองก็อยากให้สนับสนุนอย่างเต็มที่ ส่วนกรณีที่ นายฮอร์นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แถลงปิดคดีโดยขู่ศาลว่าสองประเทศจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติไม่ได้ถ้าศาลไม่ตัดสินตามคำขอของกัมพูชานั้น ตนเห็นว่าไทยต้องยืนยันข้อเท็จจริงว่าในอดีตที่ผ่านมาไทยไม่เพียงแต่พยายามไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างไทยกับกัมพูชาเท่านั้น แต่ในบางช่วงของประวัติศาสตร์ ไทยไปช่วยให้เกิดสันติภาพในกัมพูชาด้วยซ้ำ ตอนที่เขามีปัญหา จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่ไทยจะไปใช้กำลัง หรือความรุนแรงรุกรานกัมพูชา และเราก็มีข้อตกลงในการจัดทำหลักเขตแดนร่วมกันอยู่แล้ว เพียงแต่ขอให้เคารพในสิทธิของแต่ละฝ่ายเท่านั้น
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่าในขณะที่กัมพูชาประกาศพร้อมใช้กำลัง แต่รัฐบาลไทยกลับยืนยันแต่เรื่องการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะส่งผลอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราก็อยากให้มีความสัมพันธ์ที่ดี แต่ต้องอยู่บนความเคารพอธิปไตยและสิทธิของกันและกัน รัฐบาลไทยต้องยืนยันให้หนักแน่นตรงนี้ ส่วนผลจากคำพิพากษาจะเป็นอย่างไรคงวิเคราะห์ล่วงหน้ายาก เพราะศาลมีทางเลือกหลายทาง แต่การนำเสนอของไทยต้องย้ำไปที่ข้อเท็จจริงที่กัมพูชาพยายามขอให้ศาลทำความชัดเจนเกี่ยวกับคำพิพากษาเดิมทั้งที่มีความชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ตัดสินในเรื่องเขตแดน ไม่ยอมรับสถานะแผนที่ 1:2 แสนว่าเป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันฯ และข้อพิพาทในขณะนั้นมีการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยไปแล้ว ประเด็นหลักอยู่ตรงนี้
       
       นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวเตือนรัฐบาลว่าไม่ควรชี้นำสังคมผ่านสื่อมวลชนของตัวเองว่าไทยอาจพ่ายแพ้ในคดีนี้ เพราะหน้าที่คือการต่อสู้คดีจนถึงที่สุด และต้องช่วยกันให้เกิดความเข้าใจกับประชาคมโลกที่อาจจะไม่มีโอกาสติดตามปัญหานี้ตั้งแต่ปี 2505 ทำให้ทราบเพียงว่ากัมพูชาเคยชนะคดีเท่านั้น ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา จึงควรใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจกับประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น