วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

40สว.ฟ้องผู้ตรวจฯเช็คบิล สว.-สส. อ้างใช้อำนาจหน้าที่ขัดรธน. ปชป.คลั่งด่ากราดแม้ววิปริต เมื่อ 11 เม.ย.56




40สว.ฟ้องผู้ตรวจฯเช็คบิล สว.-สส.

อ้างใช้อำนาจหน้าที่ขัดรธน. ปชป.คลั่งด่ากราดแม้ววิปริต

“40 ส.ว.” เดินหน้าล้ม 3 ร่างแก้ รธน. บุกร้องผู้ตรวจการฯ สอบ ส.ส.-ส.ว. จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัด รธน. ชี้ลิดรอนสิทธิ ปชช.-ทำเพื่อนักการเมือง จี้ชงศาล รธน.-ป.ป.ช.เชือด ขณะที่ “ขุนค้อน” ยันนัดประชุม 2 สภา 18 เม.ย. แค่ลงมติเรื่องคงค้างให้จบ ปัดใช้ดุลพินิจผิดพลาด สรุปแปรญัตติแก้ รธน. 15 วัน ทั้งที่องค์ประชุมไม่ครบ อ้างทำตามข้อบังคับ ด้าน “พท.” ตะแบงขุนค้อนไม่ผิด อัด ปชป.ชวนทะเลาะไม่เลิก เตือนมุ่งเอาชนะ แต่แพ้ในสายตา ปชช. ส่วน “ปชป.” จวกยับแม้ว มนุษย์ 5 วิปริตจิตอำมหิต ปลุกคนไทยฆ่ากันเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ขณะที่ “มาร์ค” ตอกแสบ คนจิตวิปริต รวยแล้วไม่รู้จักพอ-โกงไม่ยอมรับผิด-หลอกคนไปตาย ด้าน “โอปอ” ป้องแม้วปัดสั่งคนไปตาย ตอก ปชป.อย่ากล่าวหาทั้งที่ขาสั่น ส่วน “โหร ส.ว.” ฟันธงดวงเมือง สงกรานต์เลือด-ปฏิวัติ-กลียุค ส่วน “ปู” มีสิทธิ์หลุดนายกฯ “เจ๊แดง” เสียบ
“ขุนค้อน” ไม่รับผิดองค์ประชุมไม่ครบ
หลังการเรียกประชุมร่วมรัฐสภา ในวันที่ 18 เม.ย. เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาลงความเห็นในญัตติขอแปรญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 60 วันตามข้อเสนอของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ค้างการพิจารณาอยู่นั้น วันที่ 11 เม.ย. นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา กล่าวว่า จะเรียกประชุมรัฐสภาในวันที่ 18 เม.ย.นี้ เวลา 09.30 น. คิดว่าคงใช้เวลาไม่มาก เนื่องจากเป็นการลงมติเท่านั้น หลังจากนี้ก็ถือว่าจบขั้นตอนในส่วนญัตติที่ค้างอยู่ในสภา เนื่องจากในขณะที่มีการเสนอแปรญัตตินั้นองค์ประชุมไม่ครบจึงต้องปิดประชุมไปทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่เมื่อเรื่องค้างอยู่ก็เรียกประชุมเพื่อให้เรื่องจบ ส่วนมติจะเป็นอย่างไรก็ว่าตามนั้น หมายถึงว่าถ้าที่ประชุมเห็นชอบให้เป็น 60 วันก็เป็น 60 วัน เพราะข้อบังคับเขียนไว้ชัดเจนว่า 15 วันตามข้อบังคับเว้นแต่รัฐสภาจะเห็นเป็นอย่างอื่น ยืนยันว่าการแปรญัตติเป็นไปตามข้อบังคับ 15 วันอยู่แล้ว ยกเว้นรัฐสภาเห็นเป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นในวันนั้นก็ต้องสรุปให้เป็น 15 วัน แต่เมื่อองค์ประชุมไม่ครบก็ต้องปิดจึงถือว่าเป็น 15 วันโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อมีญัตติค้างอยู่ก็ต้องมาขอมติ สรุปคือข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 96 เขียนไว้ชัดเจนว่าเมื่อตั้งกรรมาธิการเสร็จในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีเวลาแปรญัตติ 15 วัน เป็นโดยอัตโนมัติ เมื่อเสนอแล้วองค์ประชุมไม่ครบก็ต้องปิดประชุม จึงต้องสรุปว่า ณ ตอนนั้นต้องแปรญัตติ 15 วัน แต่ตอนนี้เราก็เรียกประชุมอีกครั้งเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาว่าจะเห็นเป็นอย่างอื่นหรือไม่ เพราะญัตติยังไม่ตกไป ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการเรียกประชุมรัฐสภาเพราะกลัวถูกยื่นถอดถอน เนื่องการการใช้ดุลพินิจสรุปว่าแปรญัตติ 15 วันทั้งที่ยังมีญัตติแปรญัตติ 60 วันค้างอยู่ เป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญนั้น ตนไม่เคยพูดว่าจะไม่เรียกประชุมรัฐสภา เคยได้ยินตนพูดเมื่อไหร่ ตนมีแต่เรียกร้องว่าอะไรยอมกันได้ก็ยอมกันไป
พท.เชื่อไร้ปัญหาลงมติ
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การลงมติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตรา ประธานรัฐสภา ยืนยันว่า จะไม่มีปัญหาคงใช้เวลาในการประชุมไม่มาก ซึ่งน่าจะพิจารณาเสร็จด้วยความรวดเร็ว ส่วนที่พรรคเพื่อไทยมีปัญหาองค์ประชุม ก่อนปิดการประชุมนัดที่ผ่านมานั้น ความจริงเรื่องเหล่านี้ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเป็นเรื่องจุกจิกเหมือนเรื่องของเด็กอนุบาล ซึ่งกฎเกณฑ์ในการควบคุมการประชุมก็มีอยู่แล้ว หากช่วยกันขับเคลื่อนจะไม่เกิดปัญหาแบบที่ผ่านมา ไม่มีการจู้จี้จุกจิกกันมากขนาดนี้ ในฐานะหัวหน้าพรรคคงต้องไปพูดกันในพรรค โดยจะรับฟังเหตุและผลจากทุกฝ่าย หากมีความผิดก็ว่ากันไปตามกฎระเบียบ และรับฟังจากวิปว่าเกิดปัญหาอะไร
ป้องขุนค้อนไม่ผิด
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ข้อบังคับเขียนไว้ชัดเจน การแปรญัตติใช้เวลา 15 วัน เว้นแต่รัฐสภาจะเห็นเป็นอย่างอื่น ดังนั้นถ้าที่ประชุมเห็นชอบให้เป็น 60 วันก็เป็นเป็นสิทธิ์เสนอได้ การเรียกประชุมรัฐสภาครั้งนี้ มิได้เป็นการยอมรับว่า การใช้ดุลพินิจสั่งปิดประชุมและสรุปให้แปรญัตติ 15 วัน ของประธานเป็นเรื่องผิดพลาด เพราะข้อ 96 ของข้อบังคับการประชุมรัฐสภา เขียนไว้ชัดว่า เมื่อตั้งกรรมาธิการเสร็จ ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีเวลาแปรญัตติ 15 วัน เป็นโดยอัตโนมัติ เมื่อเสนออย่างอื่น แล้วองค์ประชุมไม่ครบก็ต้องปิดประชุม พรรคประชาธิปัตย์พลาดเองแล้วจะโทษใคร แต่ตอนนี้ก็จะเรียกประชุมอีกครั้งเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาว่าจะเห็นเป็นอย่างอื่นหรือไม่ เพราะญัตติยังไม่ตกไป ประชาชนเห็นอยู่ว่าใครทำงานการเมืองยังไง อะไรพอถอยให้กันได้ก็ถอยกันบ้างเถอะ เพลาๆ กันหน่อย ที่โพลสะท้อนว่าประชาชนเบื่อหน่ายการเมืองก็มาจากเหตุนี้แหละ เพราะทำงานการเมืองลักษณะคิดเล็กคิดน้อยตลอด คิดว่าป่วนจนเอาชนะ นายนิคม ไวยรัชพานิช ได้ จะยกระดับมาถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ทำตัวเป็นอันธพาลเสียงข้างน้อย ชวนทะเลาะไม่เลิก คิดว่าเป็นชัยชนะ แต่แท้จริงแล้ว อาจเป็นความพ่ายแพ้ในสายตาประชาชนก็เป็นได้
40 ส.ว.พึ่งผู้ตรวจการฯ ล้มแก้ รธน.
นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา แถลงว่าในวันนี้ เวลา 15.00 น. ตนในฐานะ ส.ว. ซึ่งใช้สิทธิ์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 122 จะเดินทางไปยังสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อยื่นเรื่องร้องเรียนต่อประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้มีการพิจารณากรณีที่มี ส.ส.และ ส.ว. ได้ร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่) พ.ศ. ….ทั้ง 3 ฉบับ เนื่องจากตนเห็นว่ามี 2 ฉบับ ที่เป็นการกระทำที่ส่อว่าเป็นการกระทำที่ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 โดยฉบับที่ 1 เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ในมาตรา 3 ได้มีการยกเลิกสิทธิของบุคคลในการจะใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญด้วยการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงออกไป คงเหลือแต่ให้บุคคลผู้ทราบการกระทำเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุด ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพียงประการเดียว ซึ่งในประเด็นนี้เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของปวงชนขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2550 ในมาตร 26 27 28 และ 29 อีกทั้งยังเป็นการฝ่าฝืนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18-22/2555 นอกจากนี้ยังให้มีการยกเลิกมาตรา 237 เพื่อให้กลุ่ม ส.ส. ได้ประโยชน์ในเรื่องมาตรการยุบพรรคที่ถูกตัดออก โดยเรื่องนี้ประธานรัฐสภาได้มีคำสั่งให้มีการบรรจุระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เป็นการด่วนในวันที่ 1-3 เม.ย.56 ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นว่าทั้งผู้ที่ถูกร้อง คือ ส.ส. และ ส.ว.ที่ร่วมลงชื่อในร่างแก้ไขดังกล่าว รวมถึงประธานรัฐสภา ไม่ยอมปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การดำเนินการของบุคคลดังกล่าวทั้งหมดจึงไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม
ชี้จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัด รธน.
นายประสาร กล่าวอีกว่า ส่วนในฉบับที่ 2 ที่มีการแก้ไขเกี่ยวกับวุฒิสภาในมาตราที่ 111-120 และให้ยกเลิกความในมาตรา 117 และ 118 โดยให้ใช้ข้อความแทนว่า “สมาชิกสภาพของสมาชิกวุฒิสภาเริ่มตั้งแต่วันที่มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาให้วาระของวุฒิสภามีกำหนดวาระ 6 ปี นับจากวันเลือกตั้ง” ซึ่งผู้ถูกร้องไม่ได้มีการระบุข้อห้ามเรื่องสมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระไม่ได้ จึงเป็นการเสนอแก้ไขโดยใช้ตำแหน่งและอำนาจหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งหมดจึงเป็นการร่วมมือกันกระทำความผิด โดยแบ่งหน้าที่กันหรือต่างสนับสนุนให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นตัวการในการกระทำความผิดโดยมีเจตนาหรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ส่อไปในทางกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งตนจึงต้องยื่นเรื่องนี้ต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณา ซึ่งหลังจากยื่นเรื่องไปแล้ว ก็เป็นเรื่องผู้ตรวจการแผ่นดินว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร หากพิจารณาแล้วว่ามีความผิดจริงตามคำร้องของตน ผู้ตรวจการแผ่นดินก็อาจจะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครอง และหากเป็นความผิดในคดีอาญาก็จะยื่นต่อไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไป
“มาร์ค” ซัดคนวิปริตพาคนไปตาย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเรียกประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 18 เม.ย.นี้ เพราะครั้งที่แล้วองค์ประชุมล่ม ก็ต้องเรียกประชุมใหม่ให้ครบองค์ประชุม ก็ว่าไปตามระเบียบวาระที่ค้างอยู่ และระหว่างนี้กรรมาธิการทั้ง 3 คณะก็คิดว่าคงทำงานได้ เพราะว่าการตั้งกรรมาธิการนั้น ตั้งขึ้นในขณะที่องค์ประชุมมันครบ ก็ว่ากันไป แต่ว่าจุดที่ค้างอยู่คือว่า ระยะเวลาที่จะเปิดโอกาสให้สมาชิกแปรญัตติมันควรจะเป็นกี่วัน ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วีดีโอลิงค์มาที่เวทีการชุมนุมรำลึกเหตุการณ์เมษายน 2553 ของกลุ่ม นปช.เมื่อวันที่ 10 เม.ย.นั้น เป็นความพยายามเล่นมุกเดิมปลุกกระแส แต่ก็ไม่แน่ใจ เพราะบางฉบับก็พาดหัวว่าด่า โดย พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่ามีคนจิตวิปริต ซึ่งมีคนจิตวิปริตจริง พวกที่รวยแล้วไม่รู้จักพอ นี่ก็จิตวิปริต พวกที่โกงแล้วไม่ยอมรับผิด ก็จิตวิปริต พวกที่ทำได้กระทั่งเอาผู้สนับสนุนตัวเองมาวางแผนให้เกิดความรุนแรง จนเกิดการล้มตายนี่ ก็จิตวิปริตมาก ก็ลักษณะของคนจิตวิปริตก็ตนให้ไว้อย่างนี้ ไปดูเอาเองก็แล้วกันว่าเป็นใคร และการพยายามจะต่อสู้เอาชนะ ไม่วิปริต แต่ว่ามันอยู่ที่ว่าวิธีการต่อสู้นั้น ต่อสู้เพื่ออะไร ที่จะเป็นตัวชี้ว่าวิปริตหรือไม่
โต้ยัดข้อหาก่อการร้ายโจกแดง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่อ้างว่า การตั้งข้อหาคดีก่อการร้ายกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนำเสื้อแดง สมัยที่ตนเป็นรัฐบาล เพื่อปกป้องฆาตกรนั้น ไม่เห็นจะมีความเกี่ยวพันอะไรเลย ก็ว่ากันไปตามข้อเท็จจริง ข้อมูล แล้วก็ข้อกฎหมาย เพราะฉะนั้นก็ต้องพิจารณากันไป ความจริงปัญหาเรื่องข้อหาการก่อการร้ายนี้ มันก็เริ่มต้นจากฝ่ายพรรคพลังประชาชน แล้วก็พรรคเพื่อไทย ซึ่งกล่าวหาทางกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองว่าพอใช้วิธีการรูปแบบบางรูปแบบเป็นการก่อการร้าย พอตั้งประเด็นกันอย่างนั้นมา หลังจากนั้นมันก็ไปทางนี้กันหมด ซึ่งความจริงแล้ว ข้อเท็จจริงก็ต่างกันด้วยใน 2 กรณี ก็ต้องไปว่ากัน ก็ต้องไปพิสูจน์กัน ถ้าใช่ไม่ใช่อย่างไร ก็มีกระบวนการยุติธรรมที่จะพิสูจน์ ปัญหาของคนจิตวิปริตก็คือว่า เวลาชนะคดีก็ทุกอย่างดี เวลาแพ้คดีก็บอก 2 มาตรฐาน ส่วนระบุว่า ภารกิจยังไม่จบ ประชาธิปไตยยังไม่ได้กลับคืนมานั้น ตนก็เห็นด้วย ประชาธิปไตยยังไม่สมบูรณ์ ถูกคุกคามโดยปัญหาของนักการเมืองซึ่งไม่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย เวลาที่ตัวเองไม่ได้อำนาจ ก็สร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง เวลาตัวเองมีอำนาจก็เอาอำนาจนั้นสร้างความร่ำรวยให้กับตนเอง นั่นคือสิ่งที่คุกคาม และตนก็เรียกร้องเหมือนกันว่า ทุกคนต้องต่อสู้เพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“ปชป.” อัดทักษิณคนวิปริต
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การวีดีโอลิงค์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเห็นว่ามีวาทะในการใช้ความเท็จพูดจาว่าร้ายองค์กรต่างๆ ในประเทศไทย ที่ไม่ปฏิบัติตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการ อาทิ ศาล องค์กรอิสระ และพรรคประชาธิปัตย์ และที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ย้ำคือการใช้คำว่าจิตวิปริต อำมหิต ในการดำเนินการสั่งฆ่าประชาชน ตรงนี้พ.ต.ท.ทักษิณกำลังเข้าใจผิด สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานั้น คนที่วิปริตที่สุดคือคนที่สั่งการจากต่างประเทศให้คนไทยฆ่ากันเอง เพื่อผลประโยชน์ เพื่อเงินทอง เพื่อการล้างผิดของคนที่อยู่ต่างประเทศ พฤติกรรมของคนวิปริต ที่น่าจะถูกตามพจนานุกรม 5 ประการ 1.กลุ่มติดอาวุธชายชุดดำ การ์ด นปช. รายชื่อทั้งหมดคือกลุ่มเดียวกันที่เป็นกลุ่มติดอาวุธทำร้ายประชาชน สังหารเจ้าหน้าที่ทหารในวันที่ 10 เมษายน 2553 คนวิปริตที่จะสั่งการให้ติดอาวุธแฝงในผู้ชุมนุมหวังให้เกิดการนองเลือด เกิดความสูญเสีย คนวิปริตเท่านั้นที่จะบงการให้ฆ่าทหาร สร้างสถานการณ์ให้เกิดความปั่นป่วนในบ้านเมือง และมีแต่คนวิปริตที่ยืนยันว่าไม่มีชายชุดดำ ทั้งที่รายงานจากคณะกรรมการหลายชุดยืนยันว่ามีอยู่จริง และคนเหล่านี้คือคนที่ฆ่าทหารและประชาชน โดยแกนนำรู้เห็นด้วย ตนขอเรียกร้องให้ดีเอสไอนำข้อเท็จจริงนี้ไปประกอบในสำนวนเพื่อสั่งฟ้องดำเนินคดีกับคนที่เกี่ยวข้อง เพราะเชื่อว่าดีเอสไอมีข้อมูลที่เชื่อมโยงกลุ่มติดอาวุธกับผู้ต้องหาก่อการร้าย 26 คน เนื่องจากผลสอบสวนในรัฐบาลที่แล้วมีความคืบหน้าไปมาก และน่าจะมีการดำเนินคดีได้
ฉะแก้ รธน.หวังล้างผิดตัวเอง
นายชวนนท์ กล่าวว่า วิปริตที่ 2 คือการสั่งการให้รัฐบาลกู้เงิน 2 ล้านล้านสร้างภาระหนี้สินให้ประชาชน 50 ปี วิปริตที่ 3 คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญของประชาชนที่มีการลงประชามติ โดยคนอำมหิตจิตวิปริตต้องการแก้ไข เพื่อให้เกิดกระบวนการล้างผิด นิรโทษกรรม ได้ทรัพย์สินคืน และเพื่อให้องค์กรอิสระของประเทศอ่อนแอลง คนที่ทำแบบนี้ คือคนจิตวิปริต อำมหิตเท่านั้นที่จะสั่งการได้ สำหรับวิปริตที่ 4 คือ เป็นคนจิตหลอนหลอกตัวเองว่าเป็นผู้ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ หลอกตัวเองมาสิบสองปี ทั้งที่เป็นคนที่อยู่ในรัฐบาลที่ไปทำสัญญากู้เงินไอเอ็มเอฟ เป็นคนที่สละเรือรัฐบาลหลังจากที่ประเทศเข้าสู่ภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ ทิ้งหนี้ให้กับประเทศประมาณ 5 แสนล้านบาทก่อนที่ตัวเองจะหนีหรือลาออกจากรัฐบาล และหลอกตัวเองว่าเป็นอัศวินขี่ม้าขาว ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้เร็วกว่ากำหนด ทั้งที่คนใช้หนี้ไอเอ็มเอฟเกือบทั้งหมดคือรัฐบาลชวน หลีกภัย ที่ต้องตามใช้หนี้จากสัญญากู้เงินที่รัฐบาลชวลิตทำไว้ และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่าใช้หนี้ก่อนกำหนดเป็นคำพูดโกหก เพราะการใช้หนี้ได้ก่อน 1 ปี เกิดจากสาเหตุเดียวคือรัฐบาลชวนหยุดกู้ ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนดหนึ่งปี ดังนั้นเมื่อกู้น้อยลง 1 ปี ทำให้ระยะเวลาการใช้หนี้ลดลง 1 ปี เพราะทุกงวดที่มีการกู้เงินจะใช้ในอีก 3 ปีถัดไป จึงถือว่าเป็นความวิปริตที่หลอกประชาชนมานานกว่าสิบปี วิปริตที่ 5 คือกรณีปราสาทเขาพระวิหาร มีคนวิปริตกล่าวหาคนรักชาติว่า คลั่งชาติ ยอมรักษาสันติภาพในประเทศโดยเอาอธิปไตยและแผ่นดินไปประเคนให้ประเทศเพื่อนบ้าน ยกแผ่นดินและผลประโยชน์ให้ประเทศอื่น เพียงเพื่อหวังประโยชน์ร่วมกันทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือแก๊ส เห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าผลประโยชน์ชาติ เป็นคนวิปริตและอำมหิตอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทั้งนี้ยังเห็นว่าการที่นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบ หากไทยแพ้คดีในศาลโลกนั้น ขอยืนยันว่าพรรคไม่เคยหนีความรับผิดชอบ แต่พร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ทอดทิ้งประชาชน เหมือนบางพรรคที่มีจิตวิปริตโยนความผิดให้คนอื่น หนีความรับผิดชอบ ทอดทิ้งประชาชน
“พท.” ย้อนอย่ากล่าวหาทั้งที่ขาสั่น
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงการวีดีโอลิงค์มายังเวทีการชุมนุมเพื่อรำลึกเหตุการณ์ 10 เมษายน ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าใจผิดในสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศ คนที่อำมหิต คือ คนที่สั่งการมาจากต่างประเทศ ให้คนไทยฆ่ากันเองนั้น ไม่มีใครที่ไหนทำแบบนั้น อย่ากล่าวหาทั้งที่ขาสั่น ถ้ามั่นใจว่าใครทำให้ระบุชื่อ เพราะที่เห็นๆ คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้แจ้งข้อหานายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล อันนี้ชัดเจนที่สุด ไม่มีผู้นำประเทศที่ไหนสั่งให้ใช้กระสุนจริงกับผู้ชุมนุมอย่างอุกอาจเช่นนี้ ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยมาชุมนุมเพื่อแสดงออกตามสิทธิ์ขั้นพื้นฐาน มาขอหีบบัตรลงคะแนน เรียกร้องยุบสภา กลับได้หีบศพ อันนี้ต่างหากคือความจริงที่ไม่ต้องผ่า ตำตาและทิ่มแทงใจคนไทยทั้งประเทศ คดีความก็ว่ากันไปแต่กรรมออนไลน์และวิญญาณวีรชนจะไล่ล่าคนทำเรื่องแบบนี้ไม่ให้มีที่ยืนทางการเมืองในที่สุด
โหร ส.ว.ฟันธงดวงเมืองนองเลือด
นายบุญเลิศ ไพรินทร์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคประชาธิปัตย์ หรือ ฉายา โหร ส.ว. โหรการเมืองชื่อดัง ทำนายดวงบ้านเมืองช่วงสงกรานต์ 2556 ว่า ปีนี้ดวงบ้านเมืองไม่ค่อยดี เนื่องจากดาวอาทิตย์กับดาวอังคาร โคจรมาตกอยู่ในราศีเมษ ดาว 2 ดวงนี้เป็นดาวคู่อุบัติเหตุ ประกอบกับ ราหูกับดาวเสาร์โคจรอยู่ในราศีตุลเล็งมาที่ดาวอาทิตย์กับดาวอังคาร ดาวบาปเคราะห์ทั้งสี่ดวงนี้ทำมุมถึงดวงกรุงเทพฯ และดวงโลก จึงน่าเป็นห่วงเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นพิเศษ เพราะจะมีคนตายจากอุบัติเหตุเป็นจำนวนมาก ขณะที่ความรุนแรงทางการเมืองจะมีมากขึ้นด้วย มีโอกาสเกิดการปฏิวัติอย่างไม่คาดฝันโดยมวลชนจำนวนมาก ถึงขั้นเกิดกลียุครุนแรง และจะเกิดการนองเลือดกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ตั้งแต่หลังสงกรานต์ไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ สำหรับดวงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรับมนตรี หากลัคขณาอยู่ราศีพิจิกตามที่โหรทั้งหลายผูกดวงไว้ หลังเดือนพฤษภาคมจะมีปัญหาเช่นเดียวกัน โดยมีโอกาสหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะที่ดวงของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เลขศาสตร์สากลและโหราศาสตร์จะมาเป็น ส.ส.แน่นอน และจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ อีกด้วย
ปชช.ชี้ยังไม่มีใครเหมาะนั่งนายกฯ
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “อุบัติเหตุทางการเมืองกับนายกฯ คนต่อไป” ในกรณีที่ นายกรัฐมนตรี เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง โดยประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.51 ระบุว่า ยังไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป รองลงมาร้อยละ 8.87 เป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ขณะที่ร้อยละ 4.71 เป็น นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองลงมาร้อยละ 4.23 เป็นนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ร้อยละ 3.67 เป็น พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ร้อยละ 1.12 เป็นนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ขณะที่ร้อยละ 1.68 ระบุว่าเป็นใครก็ได้ จากฝ่ายรัฐบาลหรือสมาชิกพรรคเพื่อไทยและร้อยละ 22.20 ระบุ ไม่แน่ใจ ด้าน ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ นิด้า กล่าวว่า จากผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า ในระบอบการเมืองไทยนั้น ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง การที่ใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศได้นั้น จะต้องเป็นเจ้าของพรรค ผู้นำไม่ได้เกิดขึ้นมาจากระบบการเติบโต จึงควรจะต้องมาจากการแข่งขันจากความสามารถมากกว่า จึงทำให้ประชาชนยังมองไม่เห็นผู้ที่จะสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศได้ ส่วนคะแนนความนิยมคนอื่นๆ ถือว่าน้อยมาก
ศาล รธน.ยกคำร้องยุบ ปชป.
วันเดียวกัน ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงภายหลังการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า ที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญวันนี้มีเรื่องพิจารณา จำนวน 2 เรื่อง ประกอบด้วย 1 เรื่องร้องของนายบวร ยสินทร ที่ขอให้ ศาล รธน.พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่า การกระทำของ นายสมศักดิ์ เกียรติ์สุรานนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมกับพวกรวมกัน 312 คนกระทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยการตัดสิทธิของบุคคลในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ซึ่งวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 3 เห็นว่ากรณีคำร้องกรณีคำร้องดังกล่าวน่าจะเป็นคำร้องแบบเดี่ยวกันกับ นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ที่เคยส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความมาแล้ว ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเสียง 5 ต่อ 3 จึงรับไว้พิจารณา ส่วนกรณีของนายเรืองไกร เรืองกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ขอให้ศาลรัฐธรรมพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่า นายวิรัตน์ กัลยาสิริ ส.ว.สรรหา พร้อมพวก ร่วม 11 คน และ พรรคประชาธิปัตย์ กระทำการร่วมกันใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีการตัดสิทธิของบุคคลในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ศาลพิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่า ตามคำร้องไม่ปรากฏว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตามรัฐธรรมมาตรา 68 วรรค 1 จึงมีมติเป็นเอกฉันท์สั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยเมื่อมีคำสั่งไม่พิจราณาคำร้องไว้วินิจัยแล้ว คำขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินย่อมตกไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น