วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

“เรืองไกร”ไล่บี้ศาล รธน.เมือ 21 เม.ย.56



“เรืองไกร”ไล่บี้ศาล รธน.
 
ภาพจาก เดลินิวส์
ภาพจาก เดลินิวส์

วันนี้ (21 เม.ย.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว.สรรหา กล่าวว่า วันที่ 22 เม.ย.นี้ จะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 62 ประกอบมาตรา 70 ร้องขอให้ประธานวุฒิสภา ตรวจสอบศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ว่า

มีการกระทำที่บิดเบือนพระบรมราชโองการหรือไม่ โดยจากการตรวจสอบข้อมูลที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เพื่อขอทราบความชัดเจนในด้านกฎหมาย กรณีที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบให้นายชัช ชลวร พ้นจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยยังคงดำรงตำแหน่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเลือกกันเองให้นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญนั้น พบว่าหนังสือที่ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงมา มีการบิดเบือนพระบรมราชโองการอย่างเห็นได้ชัด จากข้อความที่ว่า“... ซึ่งบุคคลทั้งเก้าได้ประชุมและเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ...” มาเป็น “... ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งเก้าได้ประชุมและเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ...”

นายเรืองไกร กล่าวว่า การเปลี่ยนข้อความในพระบรมราชโองการจากคำว่า “บุคคล” มาเป็น “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” ย่อมมิใช่เป็นการผิดหลงทั่วไป แต่เข้าลักษณะเป็นการแสดงเจตนาเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อแจ้งให้ประธานวุฒิสภาและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเข้าใจผิดคิดว่า นายชัช ยังมีความชอบธรรมที่จะมีสถานะเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ต่อไป การบิดเบือนข้อความดังกล่าวในพระบรมราชโองการ จึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรงที่ศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จะปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่ และการร้องครั้งนี้อยู่บนหลักฐานต่างๆ ที่วุฒิสภาต้องมีรายละเอียดอยู่แล้ว การร้องเป็นเพียงการชี้ช่องให้เห็นความไม่ชอบมาพากลในหนังสือของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว จึงขอให้ประธานวุฒิสภาตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดเพื่อโปรดพิจารณาสั่งการให้สำนักเลขาธิการวุฒิสภาในฐานะผู้เสียหาย ทำหนังสือร้องไปยังหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ไปตรวจสอบสืบสวนว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 หรือไม่ เป็นความอาญาที่ร้ายแรงเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86 หรือไม่.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น